“หลาย ๆ คนมักบอกว่าเอกลักษณ์ของงานเราคือการวาดภาพคนและดวงตาที่โดดเด่น แต่ถ้าจากความรู้สึกส่วนตัวของเรา เราชอบความรู้สึกแปลก ๆ ที่ได้รับเวลามองงานตัวเอง”
ในตอนที่ได้เห็นคำตอบนี้ของพฤษภา เมื่อเราถามเธอถึงเอกลักษณ์ในงานของตัวเอง เราก็รู้สึกเห็นด้วยทันที ไม่ใช่เพราะเธอคือผู้สร้างสรรค์ผลงานเหล่านั้นเลยต้องเชื่อ แต่เพราะเราเองก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เหมือนกันเวลาที่ได้มองภาพใบหน้าของใครบางคนที่ปรากฎในภาพวาดของเธอ
จริง ๆ แล้วมนุษย์เราสามารถรู้สึกไม่คุ้นเคยกับใบหน้าของผู้คนได้ง่ายมาก แม้แต่กับใบหน้าของตัวเอง เพราะสิ่งที่เรามองในกระจกทุกวันคือภาพกลับด้านของความจริง เป็นใบหน้าที่ไม่มีใครเห็นนอกจากตัวเราเอง ดังนั้นเมื่อวันหนึ่งเราได้เห็นภาพของตัวเองในแบบที่ไม่สลับข้าง (แบบที่คนอื่นมองเห็น) ไม่ว่าจะจากกล้องหรือกระจกพิเศษ สมองจึงรู้สึกสะดุดกับความไม่สมดุลเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น เผยให้เห็นว่าความเข้าใจของเราต่อตัวตนและภาพลักษณ์นั้นเปราะบางเพียงใด เพียงแค่กลับด้านครั้งเดียว ทุกอย่างที่เราคิดว่ารู้จักดี ก็สามารถกลายเป็นสิ่งแปลกหน้าได้ในทันที
สำหรับสิ่งที่ทำให้ใบหน้าในภาพวาดของพฤษภากลายเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่คุ้นเคย ก็ไม่ใช่กระจกพิเศษหรือแอปสลับข้าง แต่เป็นมวลความรู้สึกอันหนักอึ้งของพฤษภาที่ประสบกับความขัดแย้งภายในจิตใจ ทั้งความรู้สึก self doubt และมุมมองของสังคมที่มีต่อเพศหญิง ที่ทำให้เธอมองมนุษย์รวมถึงตัวเธอเองแตกต่างออกไป
พฤษภาเริ่มเล่าให้เราฟังว่า เธอเรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ สาขาประยุกต์ศิลป์ เอกภาพพิมพ์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และหลังจากเรียนจบเธอก็ได้ทำงานในหลากหลายแวดวงมาก ๆ ทั้งการเป็นเมคอัพอาร์ตติส การเป็นนางแบบ นักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ แต่ทุกอย่างที่ได้ลองทำกลับทำให้เธอรู้สึกกดดัน ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก และกลายเป็นก้อนความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกไม่เต็มอิ่ม และไม่ดีพอ
เธออธิบายว่า “ที่ผ่านมาเราค่อนข้างทำงานมาหลากหลาย เคยทำเมคอัพ นางแบบ นักแสดง อินฟลู แต่ส่วนตัวอาจจะไม่เหมาะกับสิ่งเหล่านั้น เพราะยิ่งทำกลับยิ่งกดดัน และยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่เคยรู้สึกเต็มอิ่มและเพียงพอ”
“เราเลยพักเบรคตัวเองไปนานพอสมควร พอช่วงโควิดมีโอกาสได้ทำงานสักลาย เลยมีโอกาสได้รื้อฟื้น และได้กลับมาจับสมุดดินสอเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ปัจจุบันได้ทำงานเป็นศิลปินแบบฟูลไทม์ มีทั้งพาร์ทที่ทำงานเพื่อสื่อสารและแสดงออกจากตนเอง และอีกพาร์ทที่ทำงานรับจ้าง ภาพประกอบ illustration อีกทั้งยังมีงานพาร์ทไทม์สนุก ๆ อย่างการได้เป็นครูสอนศิลปะเด็กด้วย”
“ส่วนจุดเริ่มต้นของการทำงานสไตล์นี้ เราคิดว่าค่อนข้างฮาร์ดคอร์เลย เพราะถึงแม้ว่าเราจะเรียนจบทางด้านศิลปะมา แต่เราไม่ได้จับดินสอหรือพู่กันอยู่หลายปี จนช่วงประมาณสี่ถึงห้าปีที่แล้ว ช่วงนั้นเรามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราได้รับคำแนะนำจากจิตแพทย์ให้ลองเขียนไดอารี แต่เขียนได้สามวันก็กลายเป็นสมุดระบายอารมณ์ที่มีแต่คำหยาบและกระดาษที่ฉีกขาด เราเลยเปลี่ยนมานั่งหน้ากระจกและวาดภาพตัวเองจากกระจกนั้นทุกวันติดต่อกันหลายเดือน เพื่อบันทึกความรู้สึกแทนการเขียนไดอารี เพราะเราเป็นคนที่เรียบเรียงคำพูดได้ไม่ค่อยดีนัก”
“ในช่วงแรกก็ยังเป็นภาพวาดปกติ แต่หลังจากที่เราได้ใช้เวลากับตัวเองหน้ากระจกไปนาน ๆ เรากลับมองเห็นแต่จุดบกพร่องบนใบหน้า และจุดบกพร่องนั้นมันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เรามัวแต่ไปโฟกัสกับมันจนเหลือแต่ความอัปลักษณ์ของตัวเอง ภาพที่เราวาดมันเลยค่อย ๆ บิดเบี้ยว บิดเบือน และแปลกประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ”
“ช่วงนั้นเราตั้งคำถามกับทุกอย่างของตัวเองจริง ๆ ตาสองข้างเราปรือไม่เท่ากัน สันจมูกเอียง ริมฝีปากล่างและกรามก็ใหญ่ไม่เท่ากัน ผลที่ได้คือช่วงนั้นเราไปเสริมจมูกเพื่อที่จะได้รู้สึกดีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้เป็นความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ที่ทำให้คนเราแตกต่างและมีสเน่ห์ แต่ปัจจุบันเรากลับชื่นชอบในทุก ๆ ความบิดเบี้ยว และความไม่สวยงามมาก ๆ หลังจากเราเข้าใจสิ่งนี้ในภายหลัง เราเลยไปเอาซิลิโคนออก”
“จนวันที่เราตั้งใจว่าจะกลับมายังเส้นทางของศิลปะจริง ๆ เราเลยพยายามหาแรงบันดาลใจจากสมุดเก่า ๆ เราเจอองค์ประกอบพวกนี้ที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจ และได้เริ่มขุดคุ้ยแนวความคิดและอะไรต่าง ๆ ในหัวของตัวเองตั้งแต่อดีตเอามาพัฒนาจนกลายเป็นงานในแบบปัจจุบันค่ะ”
“เรื่องเทคนิคการทำงาน ปกติเราจะเลือกใช้สีน้ำมันเป็นเบสหลัก แต่มักมีการผสมใช้สีอื่น ๆ เข้าไปบ้าง เช่น อะคริลิค ชอล์ค ก่อนหน้านี้ตอนเริ่มต้นลองใช้อะคริลิค แล้วค่อนข้างไม่ตอบโจทย์ชีวิตเพราะแห้งไวเกินไป เลยมาใช้สีน้ำมันล้วน ก็รู้สึกชอบ เพราะมีสื่อ (Medium) ที่หลากหลายให้ลองเล่น แต่ว่าบางทีก็แห้งช้าเกิน เลยลองลงอะคริลิคก่อนแล้วค่อยทับด้วยสีน้ำมัน เรารู้สึกว่าชอบวิธีนี้ที่สุด เพราะสีไม่ซึมลงแคนวาสมากเกินไป และโทนสีงานโดยรวมยังน่าสนใจมากขึ้นด้วยถ้าเราลงรองพื้นด้วยสีที่แตกต่างกันไป”
“หลัง ๆ ก็มีการลองผสมสีชอล์คลงไปในงานด้วย ลงสีชอล์คสลับกับสีน้ำมันไปเลย สนุกมาก ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนเกิดจากความอยากรู้อยากลอง และการทดลองจากความรู้สึกตัวเองล้วน ๆ อันไหนชอบผลลัพธ์และสนุกกับมัน เราก็ทำต่อไป แต่ถ้ากระบวนการไหนไม่สนุก เราก็จะหยุดและเปลี่ยนวิธีการทันที และไม่ฝืนทำเลย เพราะเป็นคนที่หมดไฟง่ายมาก และยิ่งถ้าฝืน ผลลัพธ์ก็จะได้ไม่ถูกใจเท่าที่ควร สุดท้ายก็ไม่พึงพอใจอยู่ดี”
“หลาย ๆ คนมักบอกว่าเอกลักษณ์ของงานเราคือ การวาดภาพคนและดวงตาที่โดดเด่น แต่ถ้าจากความรู้สึกส่วนตัว เราชอบความรู้สึกแปลก ๆ ที่ได้รับเวลามองงานตัวเอง ซึ่งแต่ละความรู้สึกก็เปลี่ยนแปลงไปตามวุฒิภาวะ ความคิด และช่วงวัยที่เริ่มห่างจากงานชิ้นนั้นไปเรื่อย ๆ”
“เราค่อนข้างเปิดกว้าง และชื่นชอบที่จะรับฟังความเห็นจากหลาย ๆ คนว่ารู้สึกยังไงกับงานของเรา เพราะเราไม่ได้จำกัดว่า ภาพนี้ต้องชื่นบานสีส้มสดใส หรือภาพนี้เป็นเศร้า ๆ สีฟ้า ๆ หม่น ๆ แต่มันจะเป็นภาพที่รวบรวมเรื่องราว ประสบการณ์และความรู้สึกที่หลากหลายของมนุษย์คนหนึ่งเอาไว้ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่ผิดที่คนหนึ่งมองภาพนี้แล้วรู้สึกขบขัน แต่อีกคนมองแล้วกลับรู้สึกอึดอัด”
“เรามักจะหยิบหัวข้อที่เปราะบางในจิตใจ เช่น ความขัดแย้งภายในใจ สภาวะอารมณ์ self doubt หรือ มุมมองของสังคมที่มีต่อเพศหญิง และเรามักจะมานำเสนอผ่านภาพวาด portriat-figurative ที่เราชอบ อีกทั้งในทุก ๆการทำงานแต่ละชิ้น เหมือนเราได้ปลอดล็อคปมในใจไปทีละจุดด้วย เหมือนได้ทำความเข้าใจตนเอง เรียนรู้ เติบโตไปพร้อมกับงาน และสรุปมันออกมาเป็นภาพวาดหนึ่ง สอง หรือ สามภาพ” เธอสรุป
เรายังชวนเธอคุยถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยว่าเธอกำลังสนใจโปรเจกต์แบบไหนอยู่ ซึ่งเธอก็แชร์ให้ฟังว่า “ส่วนตัวเราชอบทำงานหลายชิ้นภายใต้คอนเซปต์เดียวกัน เหมือนการทำคอลเลกชันนั่นแหละ แค่เป็นคอลเลกชันแบบ unlimited edition ที่จะมีชิ้นใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ สำหรับคอนเซปต์ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ จริง ๆ เราเริ่มสนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นปี 2024 แล้ว ตอนนั้นมีโอกาสไปพิพิธภัณฑ์กายวิภาค แล้วเกิดความสนใจในร่างกายของแฝดสยามในรูปแบบต่าง ๆ พอดีกับช่วงนั้นเรากำลังตั้งคำถามกับตัวเอง เหมือนเป็นบทสนทนาในใจ ระหว่าง “เรา” กับ “อีกตัวตนหนึ่ง” ของเราเอง จนต่อมาเราไปอ่านเจอทฤษฎีทางจิตวิทยาของ Carl Jung ก็เลยถึงบางอ้อว่า แนวคิดที่เรากำลังคิดอยู่นี่มันมีทฤษฎีรองรับอยู่จริง ๆ ด้วย
“คอนเซปต์นี้พูดถึง ‘เงา’ หรือด้านมืดของจิตใจที่เรามักไม่อยากยอมรับ มันเต็มไปด้วยความโกรธ ความอับอาย ความเกลียดชัง หรือบางครั้งก็เป็นความอยากระเบิดอารมณ์ เอาแต่ใจ ก่นด่า หรือทำลายข้าวของ อีกด้านหนึ่งก็คือตัวเราที่ดูนิ่ง พยายามควบคุมทุกอย่างให้สงบ แต่จริง ๆ แล้วถ้าเราขาดเงา เราก็ไม่สมบูรณ์ เพราะทุกอารมณ์ของเงามันต่างส่งสัญญาณบางอย่างให้เราฟัง ทั้งความอิจฉา ความน้อยใจ หรือความรู้สึกอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ เราไม่ควรปิดกั้นหรือกดทับมันไว้ แต่ควรเรียนรู้ ฟัง และอยู่กับมันอย่างเข้าใจ จากแนวคิดนี้ก็เลยเกิดเป็น collection ‘The Self & The Shadow’ ขึ้นมาค่ะ”
“ภาพนี้มีความหมายกับเรามาก เพราะเป็นภาพแรกที่เราได้หยิบพู่กันขึ้นมาใช้สีน้ำมันจริง ๆ ตอนนั้นเพิ่งกลับมาวาดรูปได้ไม่นาน ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งแอบสเก็ตช์ผู้คนตามที่ต่าง ๆ เลยยังไม่ได้วาดอะไรจริงจังนัก วันหนึ่งเราไปเชียงใหม่ แล้วมีโอกาสได้วาดรูปกับศิลปินต่างชาติคนหนึ่ง แต่ตอนนั้นไม่รู้จะวาดอะไรดี ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งกล้องหน้า ตั้งใจว่าจะลองวาดตัวเองแบบจริงจังดู เพราะก่อนหน้านี้เรามักจะวาดแค่สเก็ตช์เร็ว ๆ”
คุณศิลปินคนนั้นบอกเราว่า ‘ถ้าแค่วาดให้เหมือน เธอน่าจะทำได้อยู่แล้ว ลองทำอะไรใหม่ ๆ ดูสิ’ ประโยคนั้นทำให้เรานึกถึงช่วงที่เคยนั่งสเก็ตช์ตัวเองบ่อย ๆ จนภาพมันเริ่มบิดเบี้ยว (distort) เราเลยลองมองตัวเองในแบบนั้นอีกครั้ง และถ่ายทอดออกมาผ่านภาพนี้ ซึ่งเราชอบมาก มันรู้สึกเหมือนช่วงเวลาที่เด็กหัดเดินได้ก้าวแรกเลยค่ะ ทั้งตื่นเต้น แปลกใหม่ และเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่อยากเดินต่อไปข้างหน้า”
“ภาพนี้มาจาก exhibition แรกของเรา ‘False Memories’ จัดขึ้นในปี 2023 เป็นงานที่พูดถึงความทรงจำที่อาจจะเคยเกิดขึ้น...หรืออาจไม่เคยเกิดขึ้นเลย แต่เรากลับรู้สึกว่า มันเคยเกิดขึ้นจริง ๆ จนบางครั้งเรายังเผลอตั้งคำถามกับตัวเองว่า หรือเราคิดไปเองกันแน่นะ?”
"ธีมของคอลเลกชันนี้เลยตั้งคำถามถึง ‘ความทรงจำ ความรู้สึก และความจริงที่คนอื่นบอกเรา’ ว่า แท้จริงแล้วสิ่งไหนกันแน่ที่ ‘จริง’ กว่ากัน เพราะมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับการยืนยัน ไม่ว่าจะเป็นการถูก gaslighting ให้สงสัยในตัวเองว่า “เอ๊ะ สิ่งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงเหรอ?” หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ค่อย ๆ ลบความทรงจำนั้นออกไปทีละน้อย จนเหลือเพียงความรู้สึกว่า “เราจำได้ว่าเคยรู้สึกแบบนี้” แต่กลับไม่แน่ใจว่าเรื่องนั้นเคยเกิดขึ้นจริงไหม"
ตอนนั้นเราเพิ่งกลับมาวาดรูปได้ไม่นาน แล้วก็ได้รับโอกาสให้จัดนิทรรศการครั้งแรก ซึ่งสำหรับเราภาพสองภาพนี้คือผลงานที่เราชอบที่สุด ทั้งในแง่ของความรู้สึก, โทนสี และอารมณ์ที่มันสื่อออกมา มันคือช่วงเวลาที่เรารู้สึกทั้งเปราะบางและจริงใจในเวลาเดียวกันค่ะ”
“รูปเซตนี้มาจากคอลเลกชัน The Self & The Shadow ที่เรากำลังอินมากในช่วงนี้ ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คงเหมือน ‘Angel & Devil’ ที่อยู่ในหัวเรานั่นแหละค่ะ อย่างภาพ ‘ตา’ ภาพนี้ ปกติเราชอบวาดตาอยู่แล้ว เพราะมันเป็นส่วนที่เราได้ละเลงทั้งสีและความรู้สึกลงไปเต็มที่
แต่ดวงตาในภาพนี้เราได้แรงบันดาลใจมาจากตาของตัวเองเลยค่ะ เพราะในตาขาวเรามีไฝอยู่ ตอนเด็กเราชอบเล่นมุกกับเพื่อนว่า “นี่ เรามีตาดำสองอันนะ” แล้วก็แหวกให้ดู 😅 วันหนึ่งเรานั่งมองจุดนั้นแล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่า เออ…มันก็เหมือนพาร์ต Shadow ของเรานะ เหมือนตัวตนอีกด้านที่ซ่อนอยู่ข้างใน เป็นมุม negative ที่เราไม่ค่อยยอมรับหรือไม่อยากเห็น
บางวันที่เราอ่อนแอ เสียงจาก ‘ตัวเราอีกคน’ ก็จะกระซิบขึ้นมาในหัวว่า “เธอไม่เคยดีพอหรอก” หรือ “เธอไม่มีคุณค่าหรอก” หรือ “ไอ้พวกนั้นทำไม่ดีกับเธอนะ ด่ามันเลยสิ” อะไรประมาณนั้นค่ะ เหมือนเงาด้านในที่คอยสะท้อนความรู้สึกที่เราพยายามซ่อนไว้มาตลอด”
ก่อนจบการสนทนา พฤษภายังทิ้งท้ายถึงผลงานในอนาคตของตัวเองด้วยว่า “เราไม่เคยจำกัดงานตัวเองอยู่แค่บนแคนวาสค่ะ เพียงแค่การวาดภาพระบายสีเป็นกิจกรรมที่เราถนัด และชื่นชอบตั้งแต่เด็ก ซึ่งทุกวันนี้เรายังสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ละเลงสี ระหว่างเส้นทางการวาดภาพบนแคนวาส เราก็มีโอกาสได้ปั้นเซรามิกอยู่หลายครั้งครา และช่วงนี้ก็กำลังลองพัฒนางานไม้อยู่ค่ะ หวังว่าในอนาคตไม่ไกลเมื่อเทคนิค(และบัทเจท)ลงตัว จะได้ขยับมาทำชิ้นงานสามมิตินะคะ”
สามารถติดตามผลงานของ 'พฤษภา' กันต่อได้ที่ https://www.instagram.com/prksapaa/




