Project Silence หนังภัยพิบัติเอาตัวรอดกับเสียงที่ดังก้องในม่านหมอกแห่งความ (ไม่) จริง

Post on 3 September

บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญจากภาพยนตร์

Project Silence คือภาพยนตร์แนวภัยพิบัติสัญชาติเกาหลีที่ให้กลิ่นอายเหมือนกับหนังเรื่อง Train to Busan (ทีมสร้างทีมเดียวกัน) ที่ว่าด้วยวันธรรมดาวันหนึ่งของใครหลาย ๆ คนที่กำลังขับรถข้ามสะพานแขวนเพื่อมุ่งหน้าไปสนามบิน แต่ระหว่างทางหมอกกลับลงจัดและปกคลุมถนนทั้งหมดจนมองอะไรไม่เห็น ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ที่ทำให้ ‘สุนัข’ สัตว์ทดลองใน Project Silence หลายสิบตัวหลุดออกจากการควบคุม พร้อมกับเริ่มต้นการฆ่าล้างมนุษย์ทุกคนบนสะพาน จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นมหากาพย์การเอาชีวิตรอดของทุกคน

แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะชื่อว่า Project Silence ที่หมายถึงการให้ทุกคนเงียบ (ไม่งั้นจะถูกล่าเพราะสุนัขทดลองทั้งหมดถูกฝังโปรแกรมให้ไล่ล่าเหยื่อจากเสียง) แต่เรากลับมองว่า ‘เสียง’ มีความสำคัญต่อทุกคนในเรื่องนี้มาก ๆ โดยเฉพาะเสียงของตัวละครอย่าง ‘ชาจองวอน’ (อีซอนกยุน) ข้าราชการในกระทรวงความมั่นคงที่นอกจากจะต้องเอาตัวรอดแล้ว ก็ยังต้องแก้ไขสถานการณ์พร้อมให้คำปรึกษากับหัวหน้าของตัวเอง (ผ่านวิทยุสื่อสาร) เพื่อช่วยปกป้องให้เขาก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้ในอนาคต แต่เมื่อสถานการณ์ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่จุดพีค และความจริงหลาย ๆ อย่างเปิดเผย ก็ทำให้เขาต้องเลือกว่าต้องใช้ ‘เสียง’ ของตัวเองเพื่อใครกันแน่

ดังนั้น ตลอดเวลาที่เนื้อเรื่องดำเนินไป เราจึงมักจะเห็นความสำคัญของการใช้ ‘เสียง’ จากตัวละครชาจองวอนเสมอ ทั้งการใช้วิทยุสื่อสารเพื่อพูดคุยกับคนในทำเนียบเพื่อหาทางรอด การใช้เสียงเพื่อหลอกล่อให้หมามาติดกับดักเพื่อหนี รวมถึงการใช้เสียงเพื่อเปิดเผยความจริงทั้งหมด และส่งต่อมันให้กับคนที่กระจายเสียงได้ดีที่สุดอย่างนักข่าวในตอนสุดท้าย

หนังยังสะท้อนให้เห็นถึงการเอาคืนจากธรรมชาติผ่านการอุปมาเรื่อง ‘เสียง’ ที่เชื่อมโยงกับชื่อของสุนัขแต่ละตัว ที่มีคำนำหน้าชื่อว่า ‘เอคโค่’ หรือเสียงสะท้อนกลับ กล่าวคือ เมื่อเราส่งเสียงอย่างไรออกไป เสียงเอคโค่ก็จะดังสะท้อนกลับมาแบบนั้น เหมือนกับที่มนุษย์ในเรื่องนี้ทำร้ายสัตว์ทดลองไปมากมายแค่ไหน เอคโค่เหล่านั้นก็ต้องย้อนกลับมาเล่นงานมนุษย์กลับในแบบเดียวกัน และแน่นอนว่าตราบใดที่ยังคงมีต้นกำเนิดเสียง (ความชั่วร้าย) เอคโค่ก็จะยังคงอยู่คู่ไปเสมอ เพื่อกระทำแบบเดียวกัน (ดังที่เห็นได้ในตอนท้ายเรื่อง)

อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่อยู่คู่กับเนื้อเรื่องมาตลอดก็คือ ‘ม่านหมอก’ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ แต่นอกจากเราจะมองว่ามันเป็นภัยธรรมชาติแล้ว เรายังมองว่ามันคือสัญญะที่สื่อถึงความไม่รู้ของตัวละครชาจองวอนด้วย เพราะในหลาย ๆ วัฒนธรรม หมอกคือสัญลักษณ์ของความไม่รู้ ความมืดมน ความไม่ชัดเจน และยังเป็นเส้นแบ่งระหว่างความจริงและความไม่จริงด้วย และเมื่อตัวละครทุกคนก้าวเข้าสู่หมอก เรื่องเหนือจริง เหนือจินตนาการ และเหนือธรรมชาติก็ได้เกิดขึ้น และเมื่อชาจองวอนรู้ความจริงทุกอย่างจนสามารถก้าวข้ามทุกความคิดของตัวเองได้ พร้อมกับตัดสินใจทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาหลุดออกมาจากหมอกนั้นด้วย

นอกเหนือจากความสนุกและความเข้มข้นของเนื้อเรื่องตามสูตรสำเร็จของหนังแนวเอาตัวรอด สิ่งสำคัญที่ทำให้หลาย ๆ คนน่าจะไม่อยากพลาดหนังเรื่องนี้ ก็คือตัวนักแสดงนำอย่าง ‘อีซอนกยุน’ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเขาก่อนที่จะเสียชีวิต และในฐานะที่ผู้เขียนเองก็เป็นคอซีรีส์ที่ติดตามการแสดงของซอนกยุนมาตั้งแต่เรื่อง Coffee Prince และหลงรักเขาสุด ๆ จากบทบาทในเรื่อง My Mister ก็ต้องยอมรับว่าซอนกยุนในเรื่องนี้ยังคงแสดงได้ดีเหมือนเช่นเคย และยังคงโทนเสียงอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้อย่างน่าคิดถึง ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนคลับของเขา การได้ไปชมหนังเรื่องนี้ก็น่าจะช่วยให้คลายความคิดถึง หรือไม่ก็อาจจะทำให้อยากกลับไปเปิด My Mister ดูอีกสักรอบแบบเราก็เป็นได้

Project Silence ฉายแล้ววันนี้ในทุกโรงภาพยนตร์