“ไม่มีใครสู้รำพึงได้ ขนาดพ่อครูก็ยังเอาไม่ลง ถ้าตอนท้ายชีไม่…”
คือประโยคเห็นบ่อยในคอมเมนต์ใต้คอนเทต์ของซีรีส์ ‘เขมจิราต้องรอด’ ที่กำลังออกอากาศทางช่อง ONE31 และ IQIYI ซึ่งในฐานะคนที่ยังไม่ได้อ่านฉบับนิยาย เราเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าถ้าไม่มีใครเอาแม่รำพึงลงเลยไม่เว้นแม้แต่ลิฟต์ แล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอยอมรามือจากเขมจิรา แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวภายในซีรีส์และในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้าเราก็คงจะได้รู้กัน
ส่วนสิ่งที่อยากชวนทุกคนมาพูดคุยกันในบทความนี้ ไม่ใช่เรื่องในซีรีส์โดยตรง แต่คือเรื่อง ‘นอกตัวบท’ ที่เกิดจากความสงสัยของใครหลาย ๆ คนว่า เพราะเหตุใด ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งจึงกลายเป็นผีสุดทรงพลังที่ไม่มีใครต่อกรได้ โดยเราจะลองมองผ่านรากเหง้าของ ‘ผีไทย’ ซึ่งอาจช่วยไขความเชื่อมโยงระหว่างความทรงพลังของผีกับบริบททางวัฒนธรรมและสังคมที่หล่อหลอมพวกเธอขึ้นมา

📌หรือจะเป็นเพราะ ‘ผีผู้หญิง’ เกิดขึ้นผ่านเลนส์ปิตาธิปไตย
หากจะทำความเข้าใจพลังของรำพึง อาจต้องย้อนกลับไปดูจุดกำเนิดของตำนานผีผู้หญิงในสังคมไทย อ้างอิงจากคำอธิบายของอาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ในบทความ ‘มองบทบาท “ผู้หญิง” ในฐานะ “ผี” สตรีมีพื้นที่ในมิติโลกวิญญาณมากน้อยแค่ไหน?’ บนเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม ก็ได้อธิบายว่าพลังอำนาจอันล้นเหลือของผีผู้หญิงนั้น อาจมีต้นตอมาจากการถูกจำกัดและกดทับเมื่อครั้งยังมีชีวิต และพลังนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อ ‘ตาย’ ไปแล้วเท่านั้น
ในอดีต สังคมแถบเอเชียอุษาคเนย์เคยให้ความเคารพผู้หญิงในฐานะ "เพศผู้ให้กำเนิด" ซึ่งเปรียบได้กับพลังแห่งธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ ความเชื่อดั้งเดิมจึงยกย่องผู้หญิงและพลังเหนือธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับเพศหญิง หรือที่เรียกว่าสังคม มาตานิยม (Matrilineal) ทว่าเมื่ออิทธิพลของศาสนาพุทธและระบบศักดินาเข้ามามีบทบาทหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13 สังคมได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค ปิตาธิปไตย (Patriarchy) อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ชายกลายเป็นศูนย์กลางของอำนาจในทุกมิติ ทั้งการเมือง ศาสนา และการศึกษา มีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่ได้บวชเรียนและกลายเป็นผู้สร้างสรรค์วรรณกรรมและเรื่องเล่ากระแสหลัก
ด้วยเหตุนี้ อำนาจของผู้หญิงที่เคยมีอยู่จริงจึงถูกลดทอน และถูกผลักไสให้ไปอยู่ในโลกของ ‘ไสยศาสตร์’ และ ‘ภูตผี’ ที่มักมองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ใช้อารมณ์นำเหตุผล มีความอาฆาตพยาบาทรุนแรง และยึดติดกับความรักความหึงหวงพื้นที่ของผู้หญิงจึงถูกย้ายจากโลกแห่งความจริง ไปสู่มิติของสิ่งลี้ลับที่ทั้งน่ากลัวและทรงพลังในเวลาเดียวกัน

📌ผีผู้หญิงกับภาพสะท้อนของสตรีผู้ไม่ตายดีเพราะขบถต่อกรอบสังคม
หากวัฒนธรรมตะวันตกมีภาพของ ‘แม่มด’ (Witch) ซึ่งเป็นสตรีที่มีความรู้หรือพฤติกรรมแตกต่างจากขนบจนถูกสังคมมองว่าเป็นภัย ในบริบทของไทย ‘ผีผู้หญิง’ ก็สะท้อนภาพในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน พวกเธอคือภาพแทนของผู้หญิงที่ไม่ดำเนินชีวิตไปตามครรลองที่สังคมคาดหวัง โดยจุดร่วมของตำนานผีผู้หญิงหลายตน ไม่ได้เริ่มต้นจากความชั่วร้ายโดยกำเนิด แต่มาจากการมีคุณลักษณะหรือการตัดสินใจที่ท้าทายบรรทัดฐานของสังคมในยุคนั้น ๆ
เช่น ผีที่เกิดจากความรักที่แรงกล้าเกินยอมรับอย่าง ‘แม่นาก’ ที่มีความรักมั่นคงต่อสามีจนไม่ยอมรับการพรากจากของความตาย ความรักของเธอกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว ผีที่เกิดจากของเข้าตัวอย่าง ‘ผีกระสือ’ หรือ ‘ผีปอบ’ ที่มักถูกเชื่อมโยงกับการฝักใฝ่ในไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ความรู้ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและยอมรับของสังคมกระแสหลัก ยังมีผีที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งของ ตัวตน และพื้นที่ อย่าง ‘ผีนางรำ’ หรือ ‘นางตะเคียน’ ที่มีความผูกพันกับสถานที่อย่างยิ่งยวด สะท้อนถึงการยึดมั่นในตัวตนและพื้นที่ของตนเองอย่างเหนียวแน่นจนไม่ยอมให้ใครมาล่วงล้ำ
สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อผู้หญิงเหล่านี้เสียชีวิต เรื่องราวชีวิตอันซับซ้อนของพวกเธอมักถูกย่นย่อและตกผลึก เหลือเพียงอารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้นที่สุดเพียงด้านเดียว ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็น ‘ความอาฆาตแค้น’ หรือ ‘ความยึดติด’ ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเธอถูกเล่าขานผ่านมิติของความน่ากลัวเป็นหลัก

📌เก่งมาจากไหนก็แพ้ผู้ชายอย่างเธอ…
แม้ว่าการกลายเป็นผีจะทำให้ผู้หญิงมีพลังอำนาจมหาศาล แต่ในเรื่องเล่ากระแสหลัก พลังนั้นมักมีขอบเขตและตอนจบที่ชัดเจน กล่าวคือ ไม่ว่าผีผู้หญิงจะเฮี้ยนและเกรี้ยวกราดเพียงใด สุดท้ายก็มักจะถูกปราบโดยอำนาจของผู้ชายหรือสถาบันที่นำโดยเพศชายอยู่ดี
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ‘แม่นากพระโขนง’ แม้แม่นากจะกลายเป็นผีที่ทรงฤทธิ์เพราะความรักและความซื่อสัตย์ต่อสามี แต่เมื่อความจริงเปิดเผย นายมากผู้เป็นสามีก็หนีไปพึ่งพระ ซึ่งเป็นตัวแทนของสถาบันศาสนาที่นำโดยผู้ชาย สุดท้ายผีแม่นากผู้ยิ่งใหญ่ก็ถูกสยบลง บทสรุปของเรื่องนี้จึงเป็นการตอกย้ำโครงสร้างอำนาจว่า ถึงที่สุดแล้ว พุทธศาสนา (และบุรุษเพศ) ก็ยังคงอยู่เหนือความเชื่อเรื่องผี (และสตรีเพศ)
เรื่องราวของผีผู้หญิงส่วนใหญ่จึงทำหน้าที่เป็น ‘อุปลักษณ์’ ที่สะท้อนแรงกดทับของผู้หญิง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือกล่อมเกลาทางสังคม ที่แสดงให้เห็นว่าการท้าทายอำนาจปิตาธิปไตยนั้น แม้จะน่ากลัวเพียงใด แต่ท้ายที่สุดก็จะถูกควบคุมให้อยู่ในระเบียบได้เสมอ

📌จากหญิงสาวไร้ทางสู้ สู่ผีรำพึงผู้คลั่งแค้น ที่ใครก็เอาไม่อยู่
จากกรอบที่เล่ามานี้ ทำให้เมื่อเรามองย้อนกลับมาที่ ‘รำพึง’ อีกครั้ง เราก็รู้สึกว่าความทรงพลังของเธออาจไม่ใช่แค่พลังเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นลอย ๆ แต่เป็นภาพสะท้อนของแรงกดทับที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเผชิญในสังคมปิตาธิปไตย ความคับแค้น ความปรารถนาที่ไม่สมหวัง หรือความอยุติธรรมที่เธอได้รับในตอนมีชีวิต ได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลเมื่อเธออยู่ในสถานะของ ‘ผี’ ซึ่งเป็นมิติเดียวที่เธอสามารถปลดปล่อยอำนาจของตนเองได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีกรอบของสังคมมาจำกัดอีกต่อไป
ที่สำคัญคือ ‘ผีรำพึง’ นั้นฉีกกรอบตอนจบแบบเดิม ๆ ของตำนานผีผู้หญิง เพราะในเรื่อง ‘เขมจิราต้องรอด’ อำนาจของรำพึงนั้นแข็งแกร่งถึงขนาดที่ ‘พ่อครู’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของอำนาจไสยเวทฝ่ายชาย ก็ยังไม่สามารถต่อกรได้ ซึ่งเราก็อาจจะตีความได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างผีกับหมอผี แต่ในเชิงสัญลักษณ์ มันคือการที่อำนาจของผีผู้หญิงที่เกิดจากความคับแค้น สามารถเอาชนะอำนาจปิตาธิปไตยในโลกวิญญาณได้อย่างเบ็ดเสร็จ
นี่คือสิ่งที่ทำให้รำพึงแตกต่างจากแม่นากและผีตนอื่น ๆ พลังของเธอไม่ได้จบลงที่การถูกกำราบโดยผู้ชาย แต่กลับเป็นพลังที่เหนือกว่าและควบคุมไม่ได้โดยสมบูรณ์ ความพ่ายแพ้ของพ่อครูคือการทลายกรอบเรื่องเล่าแบบฉบับที่ว่า "สุดท้ายผู้ชายก็ต้องชนะ"

ดังนั้น ความทรงพลังของรำพึงจึงไม่ได้มาจากความเฮี้ยนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเป็นภาพแทนของพลังหญิงที่ถูกกดขี่จนถึงขีดสุด และเมื่อถูกปลดปล่อย มันก็ทรงอานุภาพมากพอที่จะล้มล้างโครงสร้างอำนาจแบบเดิม ๆ ที่เคยกำราบผีผู้หญิงตนอื่นมานับไม่ถ้วน และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่า "ไม่มีใครสู้รำพึงได้" อย่างแท้จริง ส่วนในท้ายที่สุดผีรำพึงจะพ่ายแพ้ได้อย่างไร ก็คงต้องตามลุ้นกันต่อในเขมจิราต้องรอดไปด้วยกัน
อ้างอิง
พาฝัน หน่อแก้ว. (2022, 31 ตุลาคม). ผี เพศ ศาสนา ทำไมวรรณกรรมและหนังไทยจึงมักมีแต่ ‘ผีผู้หญิง’. THE MOMENTUM. https://themomentum.co/gender-thai-ghost/ The Momentum
(ผู้เขียนไม่ระบุ). (2020, 8 มีนาคม). มองบทบาท “ผู้หญิง” ในฐานะ “ผี” สตรีมีพื้นที่ในมิติโลกวิญญาณมากน้อยแค่ไหน? .Silpa-Mag. https://www.silpa-mag.com/news/article_46426