Smile Like a Flower.Smithy นักปั้นเซรามิกผู้เปลี่ยนความหลงใหลในดอกไม้ให้กลายเป็นศิลปะ

Post on 29 November

“เราไม่ใช่คนเก่งมาตั้งแต่แรกค่ะ ไม่ถนัดงานสามมิติและไม่มีสกิลในเรื่องของการปั้นเลย” คือคำตอบแรกที่ ‘เพชร - ชนัศฐิกา อารีวนิช’ ประติมากรอิสระผู้ทำงานศิลปะในนาม ‘Smile Like a Flower.Smithy’ บอกกับเรา เมื่อเราถามเธอถึงความยากในการทำงานประติมากรรม และคำตอบนี้เองที่ทำให้เราอยากรู้จักเธอมากขึ้นไปอีก เพราะจากคนที่ออกตัวว่ามีสกิลเป็นศูนย์ สู่การทำงานประติมากรรมที่ดูด้วยตาก็รู้ว่าไม่ง่ายได้ขนาดนี้ แสดงว่าหนทางนั้นไม่ง่ายเลย

เพชรเล่าให้เราฟังถึงที่มาของนามปากกาและการทำงานของเธอว่า “ตอนนี้เรากำลังทำงานศิลปะในนาม Smile Like a Flower.Smithy จริง ๆ ชื่อนี้เกิดขึ้นจากตอนที่เรากำลังทำธีสิส ตอนนั้นเราทำเรื่องเกี่ยวกับความสุขรอบ ๆ ตัว ซึ่งดอกไม้คือความชอบส่วนตัวและเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลาย ๆ อย่างที่ส่งผลกับงานของเรา”

“คำว่า smile like a flower ก็เลยมาจากความชอบนี้ แปลตรง ๆ ได้เลยว่า ยิ้มเหมือนกับความสดใสของดอกไม้ ส่วนคำว่า smithy เรามาเติมเต็มทีหลัง แปลว่าโรงงานหล่อ ซึ่งเราว่ามันเหมาะกับเราดีเพราะเราทำงานปั้น ชื่อนี้เลยสื่อถึงโรงดินปั้นดอกไม้ที่จะมอบรอยยิ้มให้กับผู้คนอะไรประมาณนั้น ส่วนงานที่เราทำในปัจจุบันก็จะเป็นงานเซรามิก มีโปรดักซ์เป็น แก้ว พวงกุญแจ สติกเกอร์ต่าง ๆ แล้วก็ทำงานเซรามิกที่เป็นชิ้นงานศิลปะด้วยเหมือนกัน และก็สนใจงานวาดด้วยนะ”

แต่กว่าจะทำงานประติมากรรมได้ราบรื่นขนาดนี้ ย้อนกลับไปในสมัยเรียน เพชรกลับบอกกับเราว่า เธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคณะหรือการปั้นเซรามิกเลยด้วยซ้ำ

“เราเรียนจบด้านเครื่องเคลือบดินเผามาโดยตรงเลย ต้องบอกว่าก่อนหน้าที่จะเข้ามหาลัย เราไม่ค่อยรู้จักภาควิชานี้เท่าไร แต่ได้โอกาส เพราะสอบติดภาควิชานี้ ตอนแรกภาพในหัวของเรา ก็แค่รู้ว่าเซรามิก ก็คงจะเป็นพวก แก้ว ชามหรือภาชนะต่าง ๆ และที่บ้านบอกกับเราว่า มันเป็นของสวยงามและก็มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ซึ่งพอมาถึงปัจจุบัน เราก็คิดว่า มันจริงแฮะ และมันก็ทำให้เราชอบเซรามิกมากขึ้นไปอีก”

“เวลาที่เราได้ไปเดินดูงานศิลปะที่พิพิธภัณฑ์ แล้วเจองานจากยุคโบราณ มันสวยดี และเราเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของสตูดิโอเซรามิกเขาบอกประมาณว่า เซรามิกเกิดขึ้นมาจากส่วนผสมทางธรรมชาติ แล้วจะไปเป็นสิ่งของที่คงอยู่ตราบเท่าที่นานได้ ถ้าไม่เกิดการแตกหล่นไปสะก่อน ซึ่งพอเราได้เรียนจริง ๆ เราชอบมันมากขึ้น ๆ และบอกกับตัวเองว่าคิดถูกแล้วแหละที่เลือกเรียนภาควิชานี้ มันเปิดโลกให้เรามากกว่าตอนแรกที่เราสนใจศิลปะแค่ภาพวาดประกอบกับคาแรคเตอร์ เซรามิกมีอะไรมากกว่าการปั้น ตอนเราเรียนมันยากมากเลยเพราะต้องทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน”

“นอกจากจะต้องเรียนรู้เรื่องแนวทางความคิดความชอบของตัวเองแล้ว เราต้องรู้จักกับดินด้วยคือสิ่งสำคัญ ต้องรู้ว่าเราต้องขึ้นงานแบบไหนและแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุด และยังต้องเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ อีกมาก เช่น การนวดดิน การขึ้นรูป เทคนิคต่าง ๆ การเผา และการเคลือบงาน ซึ่งทุกกระบวนการสำคัญมากสำหรับการทำเซรามิก” เพชรอธิบายถึงความยากในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำเซรามิก

“การปั้นดินมีความละเอียดอ่อนอยู่ในรายละเอียดของการทำงาน บางที ถ้าเราขึ้นงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร มันจะร้าวหรือบางทีมันจะระเบิดแตกออกมาเป็นส่วน ๆ ได้ บางทีงานเราไม่เป็นอะไรเลย แต่พอเผางานรอบสุดท้ายกลับร้าวก็ได้เหมือนกัน และงานเซรามิกยังสร้างความประทับใจและตื่นเต้นให้กับเราด้วย เพราะเวลาเผารอบสุดท้าย ทุกครั้งที่เปิดเตา เราจะลุ้นทุกครั้งว่างานของเราจะมีหน้าตาเป็นแบบไหนนะ ซึ่งมันมีความสวยงานในรูปแบบของมัน ทั้งหมดนี้คือแรงบันดาลใจของเราเลย ที่อยากทำงานเซรามิกต่อ อยากให้คนเห็นงานเซรามิกในรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้นให้เปลี่ยนภาพจำจากเดิมที่หลาย ๆ คนเคยรู้จัก”

หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ก็เข้าสู่ช่วงคำถามสำคัญเกี่ยวกับเอกลักษณ์ในงานศิลปะ ซึ่งเพชรก็ได้บอกกับเราเหมือนกันว่า สำหรับเธอแล้ว เธอเองก็คิดและหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดเช่นกัน

“คำถามนี้เป็นคำถามที่ทำให้เราค่อนข้างคิดกับตัวเองทุกครั้ง แบบว่าเราชอบคิดว่าเราไม่ได้ทำงานที่มีแนวความคิด เราทำงานตามความชอบกับความรู้สึกล้วน ๆ เราคิดว่างานเราคือตัวตนของเราในหลาย ๆ เวอร์ชัน หลาย ๆ ความรู้สึก หรือเรื่องเล่าจากสิ่งที่เรารู้สึก แต่บางทีเราก็ไม่ได้มีเรื่องที่อยากจะเล่าหรือรู้สึกตลอดเวลา หลายงาน ๆ ที่ทำออกมาเลยอาจจะแค่เป็นความชอบบวกกับตัวตนของเรา”

“อย่างที่เคยเล่าไปว่าจุดเริ่มต้นในการทำงานของเรามาจากความชอบดอกไม้ ชอบความสดใสและสีสันของมัน ชอบที่จะได้เห็นสีจุดเล็ก ๆ รวมกันในทุ่งหญ้าสีเขียว แน่นอนว่าน่าจะมีคนชอบแบบเราเหมือนกัน แบบว่า แค่เห็นดอกไม้ขึ้นข้างทางก็สวยมากในความรู้สึกเราแล้ว บวกกับเราชอบการ์ตูนอย่างดินแดนของ tinker bell บ้านผลไม้ของเหล่า strawberry cheesecake บ้านของสัตว์ต่าง ๆ ใน sylvanian family รวม ๆ แล้วมันหล่อหลอมเรามาจนถึงทุกวันนี้”

“การที่นางฟ้าติดปีก มีกากเพชรให้ได้โบยบิน เรื่องราวเหล่านี้มันเป็นเชื้อเพลิงให้รับได้ขับเคลื่อนจินตนาการของเรา โดยงานของเราก็จะมีความเพ้อฝันและจินตนาการแบบเด็ก ๆ และน่ารักสดใส อ่อนโยนต่อจิตใจ เราคิดว่ามันเป็นแบบนั้น โดยที่เราใส่รายละเอียดความชอบต่าง ๆ ลงไป”

เธอขยายความเพิ่มว่า “เราไม่ใช่คนเก่งมาตั้งแต่แรกค่ะ ไม่ถนัดงานสามมิติและไม่มีสกิลในเรื่องของการปั้นเลย ในช่วงแรก ๆ สไตล์ของเราเลยไปได้ไม่สุดเพราะความสามารถและประสบการณ์ยังไม่พอ แต่สไตล์ความชอบของเราไม่เคยเปลี่ยนเลย เราแค่เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่เรียนรู้และพัฒนามาแล้ว”

“อีกอย่างหนึ่งคือ เราชื่นชอบงานคาแรคเตอร์ รวมถึงภาพวาดประกอบกับการเพ้นท์มาแต่เดิม ในงานเซรามิกจะมีเทคนิคหนึ่งคือการรีดทับดินสี เราเลยเอามาต่อยอดในงานของเรา คือเราจะปั้นงานและนำดินสีที่นวดผสมกับผงสีมาแล้ว นำมาป้ายลงไปในงานตอนที่เป็นดิน มันมาจากความชื่นชอบงานเพ้นท์ของ โกลด มอแน ส่วนคาแรค์เตอร์ของเรามันออกมาจากตัวตนและความชอบของเราเลย และอีกหนึ่งอย่างที่เราคิดว่าเราดึงมาจากภาพวาดประกอบคือ เราอยากสร้างงานสามมิติที่มีบรรยากาศและความรู้สึกด้วย และสีที่เราเลือกใช้ เราเลือกสีที่สดใสและพาสเทลหน่อย ๆ ให้งานออกมาเป็นเรามากที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นพาร์ทของเรา”

“และถ้าถามว่ายากไหม ก็คงต้องบอกว่ายากตรงที่กว่าจะมาถึงทุกวันนี้มากกว่า เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา ต้องรู้จักตัวเองให้มากพอด้วย กล้าที่จะแสดงออกและสนุกไปกับมันและพอใจกับสิ่งที่เราทำ สุดท้ายมันจะค่อย ๆ ออกมาสวยงามเองค่ะ”

เด็กหญิงดอกไม้ The girl with her flowers. (2018)
Ceramic,Color clay

ชิ้นนี้เป็นงานแรก ๆ ที่ทำตั้งแต่ตอนเรียนแล้วชอบที่สุด และเป็นงานที่มีอายุมากที่สุดด้วย เป็นงานเทคนิครีดทับดินสี โดยนำดินที่ผสมสีมาแล้วมาวางเป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่จินตนาการไว้ และรีดทับโดยใช้โรลในขั้นตอนสุดท้าย ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็จะเป็นไปตามภาพ จากการที่เรามีการรีดทับลงไปทำให้งานของเรามีการบิดเบี้ยวและบวมขึ้นมา ซึ่งมันให้ผลลัพธ์กับงานของเราได้ดี มันดูธรรมชาติและมีความรู้สึกสำหรับเราค่ะ และภาพในงานชิ้นนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นและความชอบดั้งเดิมของเราเหมือนกันค่ะ เป็นภาพเด็กผู้หญิงโอบอุ้มดอกไม้ในบรรยากาศที่สดใสค่ะ

โบยบิน (Boey-bin) 2021
Ceramic,Underglaze,Glaze

ชิ้นนี้เป็นงานที่ไม่ได้ดูสดใสสำหรับเรามากเท่าไร เป็นความรู้สึกตอนที่เราเจอช่วงมรสุม และเป็นงานที่มาจากชุด Everything is not cute ในช่วงหนึ่งฉันมีเพื่อนเป็นน้ำตา บอกเล่าความรู้สึกที่ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกต่าง ๆ ภายในจิตใจได้ ทำได้แค่ระบายออกมาเป็นน้ำตา แต่สุดท้ายการร้องไห้อย่างเดียวมันไม่ช่วยให้เราดีขึ้น งานนี้เป็นเหมือนทางออกแรกให้กับตัวเองที่เราต้องการจะหลุดพ้นจากภาวะความเศร้านี้

The End Of Confusing Spiral.(2022)
(ซ้ายมือ) Ceramic,Color clay,Color pencil,Glaze,Lustre
(ขวามือ) Color pencil,Pastel color on paper

งานชุดนี้เกิดขึ้นจากภาพวาดสองมิติก่อน เป็นภาพที่บอกเล่าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่วกวน ปลิวไปปลิวมาอยู่ในหลุมลึกของวังวนไม่มีที่สิ้นสุดและไม่มีที่ยึดเหนี่ยวให้ตัวเองได้สามารถตั้งตรงได้ และมันวนลูปอยู่แบบนั้น มันเป็นภาวะที่เรารู้ว่าทางออกคืออะไรแต่เรายังวนลูปอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง จึงเกิดเป็นงานประติมากรรมอีกชิ้นที่ไม่อยากจะอยู่ในวังวนเช่นนั้นแล้ว สุดท้ายเราเจอทางออกของตัวเอง ไม่มีใครให้กำลังใจเราได้หรอกถ้าเราไม่ให้กำลังใจตัวเองก่อน จึงเกิดเป็นภาพบอกเล่าของเด็กผู้หญิงโอบอุ้มหัวใจดวงหนึ่งที่ผ่านเรื่องราวมาจากวังวนด้านล่างแล้ว และเราสร้างบรรยากาศให้มีดวงดาวรายล้อมเหมือนกับว่าน้องๆกำลังส่องแสงและให้กำลังใจเราอยู่ด้วยเหมือนกัน

Lovely house in my imagination (2022)
Color pencil with ceramic frame

ภาพนี้เป็นภาพที่กำลังบอกเล่าถึงความรู้สึกสบายใจ ความรัก ความสุขในแบบหนึ่ง ในพื้นที่ ที่เป็น comfort zone ของเรามากที่สุดค่ะ

Me and my finding warmy (2024)
Ceramic,Color clay,Glaze

งานชิ้นนี้มาพร้อมกับความรู้สึกที่อยากออกไปตามหาและผจญในสิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง เราเลยสร้างสรรค์น้องหนอนคู่ใจที่พร้อมจะออกไปโลดเล่นพร้อมกับเรา มีความสนุกสนานและพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง

ในตอนท้าย เพชรยังสปอยให้เราฟังถึงการทำงานในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยว่า “ตอนนี้เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำของที่ระลึกค่ะ เราอยากพัฒนาตนเองและทำงานออกมาเป็นชิ้นงานมากขึ้น เรายังมีความสนใจในงานด้านอื่น ๆ เช่น งานเขียนภาพ งานแก้ว หรือการสร้างนิทรรศการกับพื้นที่จริง เราคิดว่า เราอยากสร้างความเป็นไปได้ของงานตัวเองไปอยู่ในรูปแบบอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน”

“เรายังมองเส้นทางงานเซรามิกของเราไว้อีกยาวไกล ยังมีหลายเลเวลที่เรายังไม่ได้ปลดล็อกกับตัวเองเลย และเซรามิกก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังเรียนรู้ได้อีก อยากทำงานสเกลใหญ่ขึ้น อยากทดลองเคลือบที่เหมาะกับงานของเรา อยากมีงานแสดงของตัวเองที่พาน้องหมาของตัวเองไปด้วย อยากสร้างดินแดนของเราในเวอร์ชันหนึ่ง อยากไปเป็นศิลปินในพำนักตามเมืองเซรามิกต่างถิ่น อยากให้อนาคตงานเซรามิกทำมือมีคนเข้าถึงและให้คุณค่ามากขึ้น อยากจัดงานกินเลี้ยงในสวนที่แต่ละคนเอาแก้วที่ตัวเองทำมาชนกัน มีทั้งเรื่องเพ้อฝันและเรื่องที่เป็นไปได้จริง สุดท้าย เราคิดว่า อนาคตคือเรื่องที่ต้องวางแผน เมื่อเรามีเป้าหมาย เราก็จะหาทางไปให้ถึงที่สุดค่ะ”

ถ้าใครสนใจในดอกไม้และเรื่องราวของเซรามิก ก็สามารถตามมาสำรวจโลกของเพชร หรือ Smile Like a Flower.Smithy กันต่อได้ที่: https://www.instagram.com/smilelikeaflower.smithy/