ถอดสัญญะเรื่องผึ้ง ๆ จาก ‘Bugonia’ สัญญะแห่งวัฏจักร มนุษย์ต่างดาว และเหยื่อทุนนิยม บนโลก (รัง) ที่กำลังล่มสลายแบบไม่หวนกลับ

Post on 19 November 2025

บทความนี้มีการสปอยเนื้อหาในภาพยนตร์แบบรู้ตอนจบ

มนุษย์กิ้งก่า โลกแบน อิลลูมินาติ ระเบียบโลกใหม่ และอีกสารพัดทฤษฎีสมคบคิดมากมายที่เชื่อว่าใครหลายคนในยุคนี้น่าจะเคยหลุดเข้าไปในหลุมกระต่ายเหล่านั้นเหมือนกัน เมื่อรวมเข้ากับระบบอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียยุคนี้ที่ถ้าคุณเผลอคลิกหรือดูอะไรนานหน่อยมันก็จะฟีดแต่อะไรเดิม ๆ มากล่อมสมองคุณ ก็ไม่น่าแปลกที่จะมีหลายคนหลงเชื่อในเรื่องสุดงมงายอย่างเป็นตุเป็นตะ

และนั่นคือความรู้สึกแรกที่เรามองเท็ดดี้และดอน สองลูกพี่ลูกน้องสุดหลุดโลกที่เชื่อในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวจากดาวแอนโดรเมดา ที่บุกมาทำลายล้างโลกด้วยการผลิตยาและสารเคมีต่าง ๆ เรามองว่าบางทีทั้งสองคนอาจจะเผลอตกลงไปในหลุมกระต่ายที่ว่านั้นนานเกินไปหน่อย เมื่อผสมกับเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่กระทบชีวิตอย่างการที่ผึ้งที่พวกเขาเลี้ยงพากันตายเพราะสารเคมี และแม่ของเขาต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงเพราะการทดลองยา นั่นเลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นบ้าจนไม่อาจหวนกลับมาคิดแบบมีเหตุมีผลได้

ในขณะที่ Bugonia กำลังพาเราดำดิ่งลงไปในโลกของทฤษฎีสมคบคิด ความลังเลว่าจะเชื่อใคร ไปจนถึงอะไรคือมนุษย์ต่างดาวแอนโดรเมดา สิ่งที่กวนใจเราไม่หยุดในระหว่างดูคือสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ ‘โลกของผึ้ง’ ทั้งการที่เท็ดดี้เป็นคนเลี้ยงผึ้ง การนำเอาผึ้งมาอุปมาอุปไมย รวมไปถึงชื่อเรื่องอย่าง ‘Bugonia’ ก็เป็นชื่อพิธีกรรมยุคกรีกโบราณที่เกี่ยวกับผึ้ง เราเลยรู้สึกว่า ท่ามกลางความ Comedy - Sci-fi และเรื่องราวสุดเครซี่เหล่านี้ ทำไมต้องมี ‘ผึ้ง’ เข้ามาเกี่ยวด้วย?

บทความนี้เลยเป็นการรวมความคิดในหัวแบบสมองไหลที่เกิดขึ้นในระหว่างดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่คิดเชื่อมโยงเรื่องผึ้ง ๆ ที่เราเห็นจากในเรื่องแล้วนำมาตีความต่อว่า เพราะอะไรถึงต้องเป็นผึ้ง ทั้งในแง่ของชื่อเรื่อง การเชื่อมโยงกับทุนนิยม รวมไปถึงภาพสะท้อนของมนุษย์ต่างดาว และการที่อยากจะเล่าเรื่องวิกฤตของโลกเราผ่านผึ้ง ถ้าใครดูจบแล้วยังอึนและยังอิน ก็ลองมาอ่านหรือแชร์ทฤษฎีการตีความของตัวเองไปด้วยกันได้เลย!

จาก Save the Green Planet! สู่ Bugonia
เมื่อมนุษยชาติบูชายัญโลกทั้งใบเพื่อหวังว่า ‘ผึ้ง’ ใหม่จะกำเนิดจากซากศพ

เรียกว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งรู้หลังดู Bugonia จบเลยก็ว่าได้ สำหรับการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง Save the Green Planet (2003) ซึ่งพอฟังชื่อเรื่องจากเนื้อหาต้นฉบับก็คิดในใจเลยว่าเมคเซนส์ เพราะตัวเอกของเรื่องนี้พยายามจะช่วยโลกในแบบของตัวเองจริง ๆ สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมเขาถึงเลือกตั้งชื่อเรื่องใหม่โดยอิงจากพิธีกรรมบูชายัญซากศพเพื่อให้กำเนิดผึ้งของกรีกโบราณ

Bugonia เปิดเรื่องด้วยการพูดถึงวิกฤตการณ์ผึ้งสูญพันธุ์ สิ่งนี้ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่คือความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้น โลกกำลังเผชิญหน้ากับ ‘จุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับ’ (Point of no return) หรือการล่มสลายของระบบนิเวศกำลังคืบคลานเข้ามา โดยสิ่งนี้เป็นผลพวงมาจากปัญหามลพิษมากมาย แต่สิ่งที่ Bugonia เลือกหยิบมาเล่าคือ ‘ปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย’ Colony Collapse Disorder (CCD)

หนังย้ำเตือนว่าผึ้งไม่ได้มีความสำคัญแค่การให้น้ำผึ้ง แต่เป็นผู้ผสมเกสรหลักที่ค้ำจุนพืชอาหารกว่า 80% ทั่วโลก การหายไปของพวกมันจึงหมายถึงการล่มสลายของห่วงโซ่อาหาร โดยวิกฤตนี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการสูญเสียที่อยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ [1] แต่ภัยคุกคามที่เชื่อมโยงกับพล็อตของ Bugonia โดยตรง คือการใช้สารเคมีทางการเกษตร

แต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่พาร์ทวิเคราะห์เชื่อมโยงและต่อเติมเอง เราก็ได้อ่านแนวคิดของผู้เขียนบทอย่าง Will Tracy มาก่อน เขาก็ได้กล่าวถึงการเลือกใช้ชื่อ Bugonia กับสำนักข่าว The Independent ว่า “คุณอาจมองมันเป็นคำอุปมาแทนชีวิตร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมอเมริกัน หรือแม้แต่ความเป็นอารยธรรมมนุษย์ทั้งหมดก็ได้ ว่าบางครั้งโอกาสใหม่ หรือรูปแบบชีวิตใหม่ อาจถือกำเนิดขึ้นจากเถ้าถ่านของสิ่งที่เสื่อมทรามได้เสมอ นี่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่เราจะมองมันได้เช่นกัน” [2]

พอได้ยินแบบนี้เราเลยตีความ ‘ผึ้ง’ ใน ‘Bugonia’ ในฐานะอุปมาที่แบ่งออกเป็นสองทาง อย่างแรกคือ ความหวังในเชิงสัญลักษณ์ หนังอาจกำลังบอกว่า แม้โลกจะเสื่อมทรามและกำลังจะตาย แต่ ‘ชีวิตใหม่’ (ผึ้ง) ก็ยังสามารถผุดขึ้นมาจากซากปรักหักพังนั้นได้เสมอ เหมือนดังความเชื่อเรื่อง Bugonia เห็นได้ชัดจากการพูดเปรียบเทียบกับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ (ฉากจบก็ทิ้งท้ายด้วยภาพไดโนเสาร์ของเล่น) ที่แม้เผ่าพันธุ์ที่เคยครองโลกเหล่านี้จะล่มสลายไปแล้ว แต่ก็มีชีวิตและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาจากซากศพของพวกมันจริง ๆ และโลกก็ยังดำรงอยู่ถึงตอนนี้

ในอีกแง่หนึ่ง มันยังทำให้เรามองว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เพราะถ้าว่ากันตามจริง พิธีกรรม Bugonia เป็นเพียง ‘ความเชื่อ’ หรือ ‘ตำนาน’ เท่านั้น มันไม่ใช่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ การที่เราคาดหวังให้ผึ้งฟื้นคืนชีพจากซากศพของโลกที่ล่มสลาย อาจเป็นแค่ฝันกลางวันที่ไม่มีหลักฐานว่าจะเกิดขึ้นจริง เป็นเหมือนคำปลอบใจที่มนุษย์ใช้ปลอบประโลมตัวเองในวันที่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว Bugonia จึงกลายเป็นพิธีกรรมบูชายัญเชิงสัญลักษณ์ ที่มนุษยชาติกำลังฆ่าหรือบูชายัญโลกทั้งใบ (เหมือนวัวในพิธี) แล้วหวังเอาดาบหน้าว่าสักวันโลกจะเกิดใหม่ (ผึ้งเกิดใหม่) ได้เองแบบที่เคยทำมาตลอด

ความตลกร้ายก็คือ ในบริบทนี้เอง ในสายตาของเราเลยไม่ได้มองตัวเอกอย่าง ‘เท็ดดี้’ เป็นแค่ ‘คนบ้า’ ที่หมกมุ่นกับเอเลี่ยน แต่เขายังทำให้เรานึกถึงภาพลักษณ์ของเหล่านักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่พยายามส่งเสียงเตือนถึงหายนะที่แท้จริง ทั้งเรื่องการล่มสลายของผึ้ง, ยาฆ่าแมลง และความโลภของบริษัท ปัจจุบันนักสิ่งแวดล้อมมากมายก็ทำแบบนั้น ตั้งแต่การพูดรณรงค์ธรรมดาไปจนถึงการประท้วงที่คนมองว่าบ้า เช่น เอาสีไปสาดตามภาพดัง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ แนวคิดเรื่องโลกกำลังล่มสลายของพวกเขาถูกทรีตไม่ต่างจากการมองทฤษฎีสมคบคิด ถูกสังคมมองข้ามและตีตราว่า “เพี้ยน” หรือ “ทำอะไรบ้า ๆ โอเวอร์เกินจริง”

เท็ดดี้กับคาแรกเตอร์นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมเลยต่างกันนิดหน่อยตรงที่ เท็ดดี้ยังเชื่อในเพื่อนมนุษย์อยู่บ้าง และมองว่าคนที่ทำเรื่องชั่ว ๆ กับโลกได้ขนาดนี้ต้องเป็นคนจากดาวอื่นแน่นอน หรือถ้ามองในมุมเท็ดดี้ บางทีพวกนักสิ่งแวดล้อม (รวมถึงเรา) อาจจะยังไม่รู้แจ้ง เพราะแท้จริงแล้วคนที่ทำแบบนี้กับโลกคือชาวแอนโดรเมดาจริง ๆ

ผึ้ง เท็ดดี้และดอนผู้เป็นหมัน? กับ มนุษย์ต่างดาว สัญลักษณ์ของระบบโคโลนีและจิตสำนึกรวมหมู่ใน Bugonia

‘ผึ้ง’ ยังบอกอะไรเราได้อีก หลังจากกระโจนลงหลุมกระต่ายและค้นหาความเป็นไปได้ในสมอง เราก็รู้สึกว่า ‘ผึ้ง’ และมนุษย์ต่างดาวนั้นเหมือนกันกว่าที่คิด รวมถึงเท็ดดี้และดอนก็เหมือนผึ้งด้วยเช่นกัน ในทางกายภาพ แน่นอนว่าทั้งสองสิ่งไม่ได้เชื่อมโยงกัน แต่ในทางแนวคิดเรารู้สึกว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างมากผ่านไอเดียเรื่อง ‘จิตสำนึกรวมหมู่’ (Hive Mind) หรือการเป็น ‘ตัวตนเหนือสิ่งมีชีวิต’ (Superorganism)

เริ่มต้นที่เท็ดดี้กับดอนในฉากฉีดสารเคมีเพื่อระงับอารมณ์ทางเพศ ฉากนี้มันก้ำกึ่งมาก ๆ ว่าพวกเขาทำอะไรกับตัวเองกันแน่ คือฉีดยาให้หมดอารมณ์ หรือมันไปไกลกว่านั้นจนถึงขั้นเป็นหมัน เพราะในฉากนี้ดอนได้บอกกับเท็ดดี้ประมาณว่า เขายังหวังที่จะได้ทำสิ่งนั้นกับคนที่เขารัก แต่เท็ดดี้ก็กล่อมให้เขายอมแลกมัน เพราะการไร้อารมณ์ทางเพศหรือสืบพันธุ์ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อภารกิจครั้งนี้

ฉากนี้ชวนให้นึกถึงคำอธิบายเกี่ยวกับโคโลนีของผึ้งในฐานะ Superorganism อ้างอิงจากบทความวิชาการของ Moritz & Fuchs ที่อธิบายว่า โคโลนีของผึ้งคือ ‘Superorganism’ ที่แท้จริง เพราะเป็นสถานที่ซึ่งผึ้งงาน (ที่เป็นหมัน) ทำหน้าที่เหมือน ‘เซลล์ร่างกาย’ (somatic cells) ที่ยอมสละตัวเองเพื่อส่วนรวม โดยมีสัญญาณฟีโรโมนทำหน้าที่ส่งข้อมูลไปทั่วทั้งระบบ [3] สิ่งนี้เชื่อมโยงไปถึงเท็ดดี้และดอน ที่ทำตัวคล้าย 'ผึ้งงาน' ที่ยอมสละชีวิตส่วนตัวและการสืบพันธุ์ของตนเอง เพื่ออุทิศตนให้กับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ 'การกอบกู้โลก' โคโลนีของมนุษย์ เฉกเช่นผึ้งงานที่ทำงานจนตัวตายเพื่อปกป้องรังหรือโคโลนีของตัวเอง

โคโลนีของผึ้ง ยังเป็นภาพจำที่กลายเป็นต้นแบบที่มนุษย์เราใช้จินตนาการถึงโคโลนีของมนุษย์ต่างดาว โดยเฉพาะในโลก Sci-Fi นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์มักนำแนวคิด ‘จิตสำนึกรวมหมู่’ ของผึ้งไปขยายผลต่อ เพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ต่างดาวที่ไร้เจตจำนงเสรี (Free Will) ถูกควบคุมโดยศูนย์กลาง (Overmind) และมีเป้าหมายเดียวร่วมกัน (เช่น The Borg ใน Star Trek หรือ Zerg ใน StarCraft หรือในไทยเราก็ลองนึกภาพละครเรื่องกาเหว่าที่บางเพลง

กับ Bugonia ก็เช่นกัน เท็ดดี้เชื่อว่า CEO ที่พวกเขาจับมาก็เป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งในโคโลนีนั้นและเธอแค่ทำตามคำสั่งเบื้องบน นี่คือเหตุผลที่เป้าหมายของเขาคือการใช้เธอเป็นสะพานเพื่อไปคุยกับ 'หัวหน้าสูงสุด' ของโคโลนีนั้น การที่หนังจงใจนำพล็อตมนุษย์ต่างดาว มาวางซ้อนทับกับสัญลักษณ์ 'ผึ้ง' ซึ่งเป็นต้นแบบของแนวคิด Hive Mind จึงร้อยเรียงเรื่องราวให้ไปในทิศทางเดียวกัน และทำให้เรามองเห็นภาพในหัวของเท็ดดี้ว่า เขากำลังมองปัญหาที่เกิดขึ้นเหมือนภาพของสงครามระหว่างโคโลนี

ในฉากจบของหนัง ‘การคิดถูก’ ของเท็ดดี้ เหมือนกำลังบอกเราว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหมดคือแผนของมนุษย์ต่างดาว แต่ในขณะเดียวกัน เรารู้สึกได้ยินเสียงคิก ๆ (หัวเราะ) คล้ายกับถามมาที่ตัวเองว่า เราจะเชื่อในจุดจบของหนังจริงหรือ นี่เรากำลังจะเป็นเท็ดดี้แล้วสิ และจะดีกว่าไหมถ้าเราจะขยับไปไกลกว่านั้นและคิดแบบนักสิ่งแวดล้อมที่เชื่อในหลักการวิทยาศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็น

ความรู้สึกนี้มันชวนให้เราย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองจริง ๆ ว่า ในโลกความเป็นจริง เรากำลังทำแบบเดียวกับเท็ดดี้หรือไม่ เรามักเลือกเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือทฤษฎีที่จับต้องยาก มากกว่าการยอมรับความจริงอันเจ็บปวดที่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่า โลกกำลังล่มสลายเพราะระบบทุนนิยม, ยาฆ่าแมลง, และความโลภไร้ขีดจำกัดของมนุษย์ด้วยกันเอง และบ่อยครั้ง เราก็เลือกที่จะโบ้ยความผิดให้สิ่งอื่น มากกว่าจะเผชิญหน้ากับต้นตอที่แท้จริง

ผึ้ง สัญญะของแรงงาน เหยื่อทุนนิยมผู้ว่าง่าย ตายก่อน และเดี๋ยวโลกก็ตามไป

เรายังตีความผึ้งในเรื่องนี้ว่าเป็นภาพแทนของแรงงานและเหยื่อทุนนิยมด้วย และเราก็คิดว่าผู้กำกับเขาก็ตั้งใจให้เรากลับมาคิดนั่นแหละ เพราะภาพนี้มันปรากฏชัดเจนมาก ๆ ในช่วงกลางเรื่อง ณ ฉากบนโต๊ะอาหาร บทสนทนาเรื่องผึ้งได้กลับมาอย่างเข้มข้นอีกครั้ง ระหว่างเท็ดดี้และมิเชลล์ เพราะขณะที่เท็ดดี้ชื่นชมใน work ethic ของผึ้งที่ขยันขันแข็ง คำพูดของมิเชลล์ที่บอกว่า "และนั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกมันถูกแสวงประโยชน์ได้ง่ายใช่ไหม?" กลับพลิกกระดานทุกอย่าง

เพราะในขณะที่เท็ดดี้ชื่นชมว่าผึ้งคือผู้กอบกู้โลก เหมือนกับเขา มิเชลล์ก็ทำให้เรานึกขึ้นได้ว่าในท้ายที่สุดทั้งเท็ดดี้และผึ้งก็ยังเป็นแรงงานชั้นดี และเป็นเครื่องมือของทุนนิยม หรือ CEO บริษัทยักษ์ใหญ่แบบเธอ ผึ้งเลยเป็นสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบของ ‘แรงงานผู้ซื่อสัตย์’ หรือ ‘ชนชั้นกรรมาชีพ’ แห่งธรรมชาติ ที่ทำทุกอย่างเพื่อ'โคโลนี' หรือ 'รัง' ของตัวเอง มันทำงานจนตัวตายโดยไม่เคยตั้งคำถาม ไม่เคยเรียกร้องส่วนแบ่ง และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อสร้างผลผลิต

ผึ้งสร้าง ‘Honey’ (น้ำผึ้ง) ผลผลิตอันบริสุทธิ์จากแรงงานที่ซื่อสัตย์ของผึ้ง มันคืออาหาร คือการหล่อเลี้ยง คือชีวิต และคือส่วนสำคัญของระบบนิเวศ ส่วนมนุษย์สร้าง ‘Money’ เป้าหมายสูงสุดของโลกทุนนิยม ผลผลิตจากระบบที่แสวงหาผลกำไร โดยไม่สนใจกระบวนการหรือผลกระทบ แต่น้ำผึ้งไม่ได้ทำลายโลก ทว่าทุนนิยมนั้นทำ มันทำลายล้างผึ้งและสิ่งแวดล้อม ไม่เว้นแม้แต่แรงงานในระบบของตัวเอง

ในท้ายที่สุด ไม่ว่าภัยคุกคามที่แท้จริงจะเป็น 'มนุษย์ต่างดาว' ในจินตนาการของเท็ดดี้ หรือ 'ระบบทุนนิยม' Bugonia ก็กำลังบอกเราว่า ‘ผึ้ง’ คือเหยื่อที่ใสซื่อที่สุด เป็นผู้รับเคราะห์ที่จะสูญสลายหายไปก่อนมนุษย์อย่างเรา จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้พูดถึงปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย หรือ Colony Collapse Disorder (CCD) ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

สิ่งนี้คือปัญหาที่น่ากังวลมากที่สุด เพราะพืชพรรณทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 90 ต้องอาศัยการผสมเกสรจากแมลงและสัตว์ชนิดต่าง ๆ เพื่อขยายพันธุ์ และพืชอาหารมากกว่าร้อยละ 75 ของพืชพรรณของโลกจำเป็นต้องอาศัยการผสมเกสรจากผึ้ง หากไม่มีผึ้ง แหล่งอาหารของโลกก็จะตาย ปัญหานี้มีสารเคมีในกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ (Neonicotinoids) เป็นสาเหตุหลัก [1] สารเคมีที่เราใช้เพื่อป้องกันแมลงมากินพืชพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อเงิน และเพื่อทุนนิยม

พอมานั่งไล่เรียงแบบนี้ มันก็รู้สึกตลกดีที่เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาไปสู่บางอย่าง เรากำลังสร้างระบบที่ทำลายล้างรากฐานของตัวเอง และพิธีกรรม 'Bugonia' ก็เป็นภาพความหวังจอมปลอมของคนยุคนี้ ที่ภาวนาว่าชีวิตใหม่จะเกิดขึ้นจากซากศพได้เหมือนที่ผ่านมา เพราะมันอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มนุษยชาติผู้ทำลายล้าง หลงเหลือให้ยึดเหนี่ยวในวันที่ทุกอย่างสายเกินไป

การเฝ้ามองรังผึ้งล่มสลาย คืออุปมาของการเฝ้ามอง ‘โลก’ ล่มสลาย เมื่อ ‘ผึ้งงาน’ หรือ ‘แรงงาน’ ผู้ค้ำจุนระบบนิเวศตาย... รัง (โลก) ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน

อ้างอิง

[1] กลุ่มติดตามฯ กตป. (2025, March 18). รังผึ้งล่มสลาย: วิกฤตการลดลงของประชากรผึ้ง. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. https://www.onep.go.th/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/

[2] Harrison, A. (2025, October 24). Bugonia’s Title Explained: What It Means & How It Changes The Ending. ScreenRant; Screen Rant. https://screenrant.com/bugonia-movie-title-definition-meaning-ending-change/

[3] Moritz, R. F. A., & Fuchs, S. (1998). Organization of honeybee colonies: characteristics and consequences of a superorganism concept. Apidologie, 29(1-2), 7–21. https://doi.org/10.1051/apido:19980101