หากใครที่สนใจหรือกำลังศึกษาประวัติศาสตร์เชียงใหม่ หรือเป็นผู้ที่อาศัยอยู่พื้นที่นั้น ก็คงจะเคยได้ยินเรื่องราวของ ‘เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่’ เจ้านายฝ่ายเหนือจากสายตระกูลเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่กันอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้คนที่อยู่ห่างไกลประวัติศาสตร์หรือพื้นที่ (อดีต) ล้านนา ชื่อนี้คงจะเป็นชื่อที่เราไม่คุ้นหูมากนัก
สิ่งเหล่านี้จึงเกิดเป็นคำถามก่อนที่จะเข้าไปชมสารคดีเรื่อง ‘The Lost Princess’ ของ ‘กรภัทร ภวัครานนท์’ ว่าเราจะสามารถเข้าใจหรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับเรื่องราวและประวัติศาสตร์ในส่วนนั้นได้มากแค่ไหน
The Lost Princess สารคดีแนว Observational ที่บอกเล่าเรื่องราวบั้นปลายชีวิตของเจ้าดวงเดือนในวัย 89 ปี ที่ยังคงพยายามใช้ชีวิตตามขนบของการเป็นเจ้า แม้เชียงใหม่จะกลายมาเป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยตั้งแต่ถูกผนวกดินแดนเป็นส่วนหนึ่งของสยามเมื่อปี พ.ศ. 2437 โดยผ่านมุมมองของกรภัทร ที่มีศักดิ์เป็นหลานสาวของเจ้าดวงเดือน
เรื่องราวที่ผู้ชมจะเห็นจึงไม่ใช่แค่เรื่องราวในฐานะของเจ้าดวงเดือน แต่เรายังสามารถได้รับรู้และใส่แว่นในมุมมองเดียวกันกับกรภัทร ที่กำลังมองหญิงชราตรงหน้าในฐานะของ ‘เจ้ายาย’ มิใช่เจ้าดวงเดือน
เรื่องราวบนโต๊ะอาหาร ละครทีวีก่อนนอน และการแสดงอารมณ์ขัน จึงเป็นสิ่งที่เราจะได้เห็นมากกว่าการใช้ชีวิตในฐานะของเจ้าดวงเดือน คล้ายกับเป็นการทำให้รู้สึกว่าสถานะเจ้าที่ได้รับการยกยอปอปั้นจากหลายบุคคลภายนอก สุดท้ายแล้วท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ในสายตาของคนในครอบครัวเท่านั้น ตลอดระยะเวลาที่รับชม เราจึงค่อย ๆ เริ่มสัมผัสและซึมซับกับความสนิทชิดเชื้อ จนเหมือนเป็นหลานคนหนึ่งของเจ้ายาย ที่กำลังเฝ้ามองท่านในสายตาเดียวกันกับผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้
ในช่วงขณะที่เรากำลังรู้จักกับความเป็นมนุษย์ปกติและธรรมดาของเจ้ายายมากขึ้น ตัวสารคดีก็ยังคงพาเราวกกลับมาเตือนสติว่าบุคคลที่เรากำลังจับจ้องอยู่นั้นก็ยังคงมีสถานะเจ้าดวงเดือนหลงเหลืออยู่เช่นกัน ซึ่งถูกฉายภาพผ่านงานอีเว้นท์ต่าง ๆ ของเจ้าดวงเดือน รวมถึงการตอกย้ำถึงสถานะของความเป็น ‘เจ้า’ ตั้งแต่ต้นเรื่องว่าจริง ๆ แล้วคำว่าเจ้าควรจะถูกใช้ในสถานะใด หากเรื่องราวตอนนี้กำลังฉายอยู่ในแค่พื้นที่เชียงใหม่ ไม่ใช่ประเทศไทย เกิดเป็นความย้อนแย้งและความตลกร้ายที่ชวนให้ผู้ชมอย่างเราได้ชวนตั้งคำถามกับมันเช่นกัน
ถึงแม้ตัวสารคดีจะฉายภาพของเจ้าดวงเดือนหรือเจ้าย่าในลักษณะมุมมองแบบใด หรือชวนให้เรารู้จักและสนิทชิดเชื้อกับท่านมากแค่ไหน ในตอนสุดท้ายก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของสถานะความคงอยู่ ทั้งแง่มุมของบั้นปลายชีวิตและสถานะของเจ้าทั้งปัจจุบันและอนาคตที่ชวนให้เราตั้งคำถามถึงมันมาตลอดทั้งเรื่อง
สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกนำมาสรุปผ่านการฉายภาพของ ‘เจดีย์วัดร้าง’ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วชุมชนทั้งด้านในและด้านนอกของคูเมืองเชียงใหม่ ซึ่งถึงแม้เราจะไม่รู้จักประวัติศาสตร์เบื้องหลังของเชียงใหม่เลย แต่ภาพของเจดีย์วัดร้างที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ก็พอทำให้เราเข้าใจได้ถึงความไม่คงอยู่ของสถานะความเป็นมนุษย์หรือฐานะของเจ้าเมืองเอง ที่สุดท้ายแล้วแม้ประวัติศาสตร์จะยังคงอยู่ แต่เนื้อหาของมันก็คงจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
The Lost Princess เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ SF Cinema, House Samyan และ Cinema Oasis