“เราชอบวาดธรรมชาติ ดอกไม้ ต้นไม้ เราว่ามันเป็นความสุขที่เข้าถึงได้ง่ายดี แค่มองขึ้นไปก็เจอท้องฟ้า เดินไปในสวนก็เจอดอกไม้ ใบหญ้า เวลามองอะไรพวกนี้มันเหมือนได้เห็นตัวเอง”
คือประโยคที่ ‘Yawa’ หรือ ‘เมย์ - วาทินี ศรีทองช่วย’ อธิบายให้เราฟังถึงมุมมองในการทำงานของเธอ ซึ่งประโยคสั้น ๆ นี้ ก็สอดรับกันดีกับภาพวาดดอกไม้ ต้นไม้ และธรรมชาติ ที่เธอถ่ายทอดออกมาด้วยสีไม้ฟุ้ง ๆ ละมุนนุ่ม ที่ชวนให้นึกถึงวันอบอุ่นในฤดูร้อนแบบอุดมคติ และเพราะภาพสไตล์นี้นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกสะดุดตาและขอชวนเธอมาพูดคุยกันในคอลัมน์ Artist on our radar ประจำสัปดาห์นี้
เธอบอกกับเราว่านามปากกา ‘Yawa’ (อ่านว่าญาวา) มาจากคำว่า ‘yawarism’ ที่เธอใช้แทนคำอธิบายผลงานตัวเองมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย และยังเป็นชื่อเพจที่เธอเปิดขึ้นมาเพื่อสำรวจตัวเอง ด้วยการลองวาดอะไรหลาย ๆ แนว และหลังจากทดลองไปทดลองมา เธอก็ได้ค้นพบกับแนวทางที่ตัวเองชอบ นั่นก็คือการวาดภาพด้วยลายเส้นสีไม้นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่เธอเรียนจบจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ ภาควิชาออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และเริ่มต้นทำงานในฐานะกราฟิกดีไซเนอร์อยู่สองปี เธอก็ตัดสินใจออกมาทำงานในฐานะศิลปินอิสระและฟรีแลนซ์ ที่เปิดโอกาสให้ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาการทำงานของเธอ
เมย์เล่าว่า “ช่วงที่เป็นฟรีแลนซ์เราได้ลองทำหลายอย่างมาก ๆ ทั้งเปิดร้านคาเฟ่กับพี่ สอนเวิร์คชอป รวมถึงงานกราฟิกดีไซน์ก็ยังทำอยู่เหมือนกัน ถึงตอนนี้ร้านจะปิดไปแล้วแต่สิ่งที่เราได้รับกลับมามันยังอยู่ เราได้ค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะชอบ นั่นคือการสอนเวิร์คชอป ปกติเราก็จะวาดรูปหรือทำอะไรคนเดียว แต่พอได้แชร์ในสิ่งที่ฝึกฝนมาให้กับคนอื่น กลายเป็นว่าเราเองก็ได้อะไรใหม่ ๆ กลับมาด้วย”
“เราเรียนรู้ความคิดและอารมณ์ผ่านสิ่งที่เราวาด ในขณะเดียวกันเราก็ใส่มันกลับลงไปในชิ้นงานแต่ละชิ้นเหมือนกัน นอกจากธรรมชาติยังมีงานอีกแบบที่เราชอบ มันคือภาพนามธรรมสีฟุ้ง ๆ เวลาวาดแนวนี้เราจะไม่ค่อยร่างภาพสักเท่าไร ไม่ได้กำหนดว่าภาพสุดท้ายจะออกมาเป็นยังไง ชอบที่จะได้ใส่นั่น เติมนี่ไปตามความรู้สึกที่เข้ามาในช่วงเวลานั้น ๆ มันเป็นงานประเภทที่เราเอาไว้พูดคุยกับตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง”
“จริง ๆ แล้ว ในส่วนของเอกลักษณ์ในการทำงาน เราก็ไม่รู้จะนิยามออกมาเป็นคำพูดยังไงดีเหมือนกัน แต่เราชอบวาดธรรมชาติ ดอกไม้ ต้นไม้ เราว่ามันเป็นความสุขที่เข้าถึงได้ง่ายดี แบบว่าแค่มองขึ้นไปก็เจอท้องฟ้า เดินไปในสวนก็เจอดอกไม้ ใบหญ้า เวลามองอะไรพวกนี้มันเหมือนได้เห็นตัวเอง”
หลังจากสนทนากันไปสักพัก เราก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามเธอถึงจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ ซึ่งเธอก็แชร์ให้ฟังว่า “คำถามนี้ทำให้นึกถึงช่วงหนึ่งที่ชอบจดบันทึกมาก ๆ งานส่วนใหญ่ในช่วงนั้นเลยจะเกี่ยวข้องกับบันทึกแต่ละหน้า เราสนุกที่ได้แปลงเอาคำพูด ความคิด ออกมาเป็นสีสัน และรูปร่าง ซึ่งเวลาที่วาดเราจะไม่ได้คิดไปถึงผลลัพธ์แต่จะจดจ่ออยู่กับกระบวนการ ความรู้สึกที่ได้ดำดิ่งไปกับเรื่องราวนั้น ๆ ระหว่างที่วาดคือใช่เลย”
“อีกส่วนหนึ่งน่าจะเพราะเราชอบมองหาความหมายที่อยู่ในสิ่งต่าง ๆ สมมติว่าเรามองไปที่ดอกไม้ดอกหนึ่งเราอาจจะไม่ได้เห็นแค่ดอกไม้เสมอไป มันจะชอบมีความคิด มีเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามา จะเรียกว่าเราเป็นคนเพ้อฝันก็ได้ค่ะ บางครั้งที่นั่งเศร้าอยู่ ในหัวมันก็คิดขึ้นมาเองว่าความรู้สึกนี้น่าสนใจจัง แบบนี้ก็มีเหมือนกัน”
“ส่วนเรื่องเทคนิคในการทำงาน เราชอบทำงานกับสีไม้บนกระดาษ เหตุผลส่วนหนึ่งคือเป็นคนชอบกระดาษมาก ชอบความรู้สึกที่ได้สัมผัสมันไม่ว่าจะผ่านนิ้วมือตอนหยิบจับ ชอบกลิ่นของกระดาษ ชอบเสียงเวลาระบาย ชอบที่ได้สังเกตว่าสีไม้แท่งนี้พอใช้กับกระดาษคนละแบบได้สีและสัมผัสตอนระบายต่างกันอย่างไรบ้าง เราว่าสีไม้เป็นสีที่เข้าถึงง่ายมาก ๆ ถ้าย้อนภาพกลับไปในความทรงจำ เราคิดว่าเราเห็นมันในทุกช่วงเวลาเลย ภาพจำของสีไม้สำหรับเราคือวัยเด็ก การได้มาจับสีไม้ในตอนที่โตแล้วมันก็เลยให้ความรู้สึกที่น่าสนใจดี”
“ส่วนจุดที่ทำให้เริ่มมาจับสีไม้จริงจังน่าจะเป็นตอนนั้นที่เราอยากวาดภาพตัวเอง แต่ด้วยความที่มีสีติดตัวมาน้อยมาก ๆ แค่ประมาณสี่ถึงห้าสีเองมั้ง จริง ๆ มันเป็นสีที่เราตั้งใจเอามาวาดดอกไม้ ต้นไม้ สีที่มีเลยจะเป็นสีพวก สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล นั่นเลยเป็นครั้งแรกที่เราตั้งใจผสมสีสุด ๆ ลองเอาสีนั้นมาทับกับอีกสีแล้วทับกับอีกสี โมเมนต์ที่มันค่อย ๆ ระบายจนสีบนกระดาษเปลี่ยนเป็นสีใหม่ไปเรื่อย ๆ มันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาฝึกวาดสีไม้จริงจัง” เธอเสริม
เรายังชวนคุยถึงผลงานและโปรเจตก์ล่าสุดที่เธอกำลังทำอยู่ด้วย เธอเล่าว่า “ตอนนี้เรากำลังทำงานเกี่ยวกับกล้วยไม้ โปรเจกต์ชื่อว่า Orchids Journal: Floraria of Inner Worlds มันเริ่มมาจากวันที่ได้เจอกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง สีม่วงแดงออกดอกอยู่ในร่มไม้ มันบานเหมือนกับผีเสื้อกำลังกางปีก เรายืนมองอยู่นานแล้วถ่ายรูปกลับมาด้วย พอลองค้นดูถึงได้รู้ชื่อเรียก Phalaenopsis Orchid เรานั่งอ่านข้อมูลเกี่ยวกับกล้วยไม้ชนิดนี้ มันเป็นดอกไม้ที่ทำให้เรารู้สึกว้าวมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นความยาวนานของการออกดอก ความสมดุลของแสงแดดและร่มเงา ไปจนถึงวงจรชีวิต”
“คล้ายกับตอนที่เราได้เรียนรู้อารมณ์ของตัวเองผ่านการจดบันทึก การได้วาด Phalaenopsis ไปเรื่อย ๆ เลยเป็นเหมือนเครื่องมือหนึ่งที่เราใช้ในช่วงนี้ แต่ละดอกที่วาดเปรียบเสมือนสมุดบันทึกแต่ละหน้าที่เราใช้สำรวจตัวเองจากข้างใน ถึงแม้จะเป็นกล้วยไม้ชนิดเดียวกัน ถูกวาดในมุมมองเดียวกัน แต่ทุก ๆ ดอกมีเรื่องราวในแบบของตัวเอง เราใช้สีสัน-ลวดลายสื่อถึงสภาวะอารมณ์และพลังงานที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา จากช่วงที่เต็มไปด้วยคำถาม ความกลัว การเปลี่ยนแปลง สู่ความเข้าใจ และการได้ค้นพบอะไรบางอย่าง”
“จริง ๆ มีอย่างหนึ่งที่อยากลองทำ อย่างที่เล่าไปตอนต้นว่านอกจากดอกไม้ ธรรมชาติแล้วเราก็ชอบวาดภาพ abstract สีฟุ้ง ๆ เน้นกระบวนการและอารมณ์ เราอยากเห็นตัวเองผสมรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกมาเป็นยังไง หรือจะเวิร์คไหม แต่อยากลองค่ะ”
“ส่วนในแง่คอนเซปต์ อนาคตใกล้ ๆ นี้เราน่าจะยังอยู่กับดอกกล้วยไม้ เพียงแต่อาจจะตีความและทำออกมาในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น บวกกับอยากลองทำงานชิ้นใหญ่ขึ้นด้วยค่ะ ส่วนความตั้งใจในระยะยาวเราอยากทำผลงานที่เข้าไปในใจของคนได้จริง ๆ อยากให้คนที่มาดูงานของเรารู้สึกหรือได้รับอะไรบางอย่างกลับไป มันคงจะดีมาก ๆ เลยค่ะ” เธอสรุป
27 Nov 2023 - 29 Dec 2024, Journey During A Year
ตามชื่อภาพเลยค่ะ มันคือระยะเวลาที่เราอยู่กับภาพ ๆ นี้ เริ่มแรกเราตั้งใจจะวาดเป็นโลโก้ให้กับ yawa หยิบเอาสิ่งที่เป็นตัวเองใส่ลงไป ช่วงที่เริ่มวาดเราชอบมันมาก ๆ แบบมากจริง ๆ แต่เรามักจะเป็นแบบนี้คือเวลาเราชอบอะไรมากเกินไป ถึงจุดหนึ่งเราก็ไม่อยากวาดมันไปซะอย่างนั้น ทิ้งมันไปดื้อ ๆ เหตุผลคือเรากลัวจะวาดออกมาไม่ดี กลัวว่าที่ผ่านมาทั้งหมดจะศูนย์เปล่า จนไม่กล้าทำต่อ แล้วเราก็ไม่ได้แตะภาพนี้อีกเลยจนกระทั่งช่วงปลายปี 2024 เราได้ไปออกบูธที่อีเวนต์หนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เราตัดสินใจหยิบภาพนี้ขึ้นมาวาดอีกครั้ง จนงานอิเวนต์จบลงเราก็ยังกลับมาวาดต่อ ในที่สุดภาพนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ มันไม่ใช่ภาพเหมือนกับที่เคยจินตนาการไว้ แต่นั่นทำให้เรายิ่งชอบมากขึ้นไปอีก เวลามองเข้าไปเราเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองตลอดปีนั้น และยังรู้สึกขอบคุณตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ที่หยิบภาพนี้ขึ้นมาวาดจนจบ
Morning Garden in November, 2023
เป็นภาพที่ชอบมาก ๆ ภาพหนึ่งเลยเพราะว่ามันเป็นการวาดฉากครั้งแรก ๆ เราไม่เคยคิดว่าเราจะทำมันได้ แต่เราก็ทำมันได้แล้วจริง ๆ แรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกตอนที่เรามองเข้าไปยังต้นไม้และดอกไม้ เช้าวันนั้นแดดยังไม่จัดมาก มีลมเย็น ๆ มีเสียงนกร้อง มีน้องหมาวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ เราแค่ชอบบรรยากาศที่เห็นในตอนนั้นมากเลยเอากลับมาวาดค่ะ
Filming at ease, 2023
ภาพนี้ที่ได้แรงบันดาลใจจากรูปถ่ายท้องฟ้า สิ่งที่ทำให้งานชิ้นนี้แตกต่างจากชิ้นอื่น ๆ คือเราไม่ได้เป็นคนถ่ายมันเอง ไม่ใช่เจ้าของความทรงจำในภาพ ทีแรกเราเองก็ไม่รู้ว่าจะวาดมันด้วยความรู้สึกแบบไหนดี แต่พอได้พูดคุยกับคนที่ถ่ายมันอีกครั้งถึงความรู้สึกที่มีต่อท้องฟ้าวิวนี้ เลยได้คำตอบว่ามันคือความสบายใจ เราวาดภาพด้วยความรู้สึกนี้ เมื่อไรที่ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยน เริ่มไม่ใช่ เราจะหยุดวาดทันที แล้วค่อยกลับมาวาดในวันที่รู้สึกแบบนั้น
Like flower, like pencil, 2024
เมื่อปี 2022 เราได้ไปเรียนจัดดอกไม้ครั้งแรก ครูที่สอนเราเล่าให้ฟังว่า ถึงแม้ดอกไม้จะเหมือนกัน แต่คนจัดเป็นคนละคนมันก็ออกมาต่างกันนะ แม้กระทั่งคนจัดเป็นคนเดียวกันแต่กลับมาจัดอีกรอบก็อาจจะไม่เหมือนเดิม ตอนนั้นเราคิดขึ้นในใจว่า การจัดดอกไม้นี่เหมือนการวาดภาพเลยเนอะ แค่ใช้แจกันแทนกระดาษ ใช้ดอกไม้แทนสีไม้ รูปแบบแพทเทิร์นก็ไม่ต่างกับลายเส้นที่แต่ละคนใช้ ตอนร่างเราใช้วิธีคิดเหมือนกับตอนจัดดอกไม้จริง ๆ ภาพนี้เลยเป็นเหมือนการเอาดอกไม้ในแจกันเดิมออกมาจัดใหม่แต่เป็นในกระดาษ
Untitled, 2025
ชิ้นนี้ไม่ได้ตั้งชื่อไว้เพราะเป็นหนึ่งใน experiments ก่อนที่เราจะมาเริ่มโปรเจกต์ Orchids Journal เป็นงานกระดาษที่ผสมหลายเทคนิคเข้าด้วยกัน สีน้ำ สีไม้ การตัดแปะ การสร้างพื้นผิวที่นูนและจม รวมไปถึงการดัดกระดาษให้โค้งงอเป็นรูปทรงคล้ายกลีบดอกไม้ ชอบชิ้นนี้เพราะว่าชอบตอนตัวเองสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมที่วาดไว้ตอนแรกมันใช้ไม่ได้ ลองตัดตรงนี้ดูดีไหมนะ ถ้าเอาส่วนนี้มาทับกันก่อนจะเป็นยังไง พูดง่าย ๆ คือเราชอบกระบวนการตอนทำมันขึ้นมาค่ะ
หากใครที่ชื่นชอบในธรรมชาติและดอกไม้ กับลายเส้นสีสันจากสีไม้ละมุน ๆ ก็สามารถติดตามผลงานของ Yawa หรือ เมย์ - วาทินี ศรีทองช่วย กันต่อได้ที่ https://www.instagram.com/yawarism/




