"เราคบกับมิวเป็นแฟนไม่ได้
ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่รักมิวนะ" - โต้ง
ถ้าจะมีหนังไทยสักเรื่องที่เรานึกถึงในวันคริสต์มาส เชื่อว่าคงมีคนไม่น้อยที่นึกถึงบรรยากาศช่วงปลายปีที่มีอาคารสกาล่าและสยามยุค 2000s เป็นฉากหลังของการเจอกันระหว่างเด็กหนุ่มสองคนใน รักแห่งสยาม ภาพยนตร์โดย มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งพอเห็นภาพ โต้ง-มิว สองหนุ่มในหนัง ตุ๊กตาไม้ตัวกลมที่จมูกสีแดงสดใสหายไป ก็ผุดขึ้นในหัวเองโดยอัตโนมัติ เพราะของกระจุกกระจิกนี้ คือชิ้นส่วนแทนความรู้สึกของพวกเขาเลยก็ว่าได้
ตุ๊กตาไม้ของโต้งและมิวในตอนเด็ก ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้สิ่งนี้เป็นตัวแทนของเขาทั้งสอง ซึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้โปดักชั่นดีไซน์นั่นคือ ชบา-มนต์ชัย ทองศรีสืบสกุล (ที่เสียชีวิตไประหว่างการถ่ายทำ เนื่องจากอาการป่วย) เมื่อรู้อย่างนี้จึงทำให้ตุ๊กตาไม้มีค่าขึ้นไปอีกขั้น เพราะความรู้สึกจากตัวงานสามารถส่งถึงคนดูได้แม้เราจะไม่เป็นหนึ่งในตัวละครในเรื่องก็ตามที
ความทรงจำอันสวยงาม กลายมาเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงสองเพื่อนรักไว้ด้วยกันแม้วันเวลาจะพาให้พวกเขาต้องจากไปใช้ชีวิตของตัวเอง จนกระทั่งตุ๊กตาไม้ตัวเดิมที่จมูกหายไป สานสัมพันธ์ทั้งคู่ขึ้นอีกครั้ง มุมหนึ่งอาจมองได้ว่าตุ๊กตาไม้คือตัวแทนของมิว ส่วนจมูกที่หายไปก็อาจจะเป็นความสับสนที่เขามีต่อตัวเองและความรู้สึกที่มีต่อโต้ง แต่แม้ว่าสถานะของสองหนุ่มจะดูคลุมเคลือ พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตต่อไป เยียวยาจิตใจกันและกันเหมือนวันที่ผ่านมา ความอบอุ่นใจที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศก่อนขึ้นปีใหม่ในหนังเรื่องนี้ จึงสร้างความรู้สึกร่วมให้ผู้ชมได้ไม่น้อย จนเมื่อจมูกของตุ๊กตาไม้นี้กลับมาอยู่กับตัวมันเอง เราก็จะรับรู้ได้ในทันทีว่าความสับสนที่มิวมีอยู่ ถูกปลดล็อกเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่โต้งเองก็ได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดขึ้นจากฉากที่เขาห้อยตุ๊กตาประดับต้นคริสต์มาสกับแม่ด้วยเช่นกัน
ดั่งในใจความบอกในกวีว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง
คือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจให้ฉันมีปลายทาง
สุขสันต์วันคริสต์มาสชาว GroundControl ล่วงหน้านะ