GC_beingartist_Kisho Kurokawa.jpg

Kisho Kurokawa สถาปนิกผู้สะท้อน ‘อนาคต’ ใน ‘ปัจจุบัน’ ผ่านงานสถาปัตยกรรม

Post on 24 January

ย้อนกลับไปในปี 1952 นั่นคือปีที่ชาติญี่ปุ่นได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ เมื่อกองกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยอเมริกาได้ถอน ‘การยึดครองญี่ปุ่น’ ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 1945 หลังจากญี่ปุ่นได้กลายเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวญี่ปุ่นก็เริ่มมองเห็นอนาคตของชาติหลังม่านหมอกของสงครามสลายหายไป สังคมญี่ปุ่นได้กลับไปรื้อฟื้นและยึดเหนี่ยวรากเหง้าความคิดและวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนชาติตนเอง ในขณะเดียวกันก็โอบรับนวัตกรรมและแนวคิดของโลกตะวันตกสมัยใหม่ ในช่วงเวลานี้ กลุ่มคนที่สะท้อนวิถีการผสานความเป็นญี่ปุ่นกับแนวคิดตะวันตกได้อย่างกลมกลืนและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคงหนีไม่พ้นกลุ่มสถาปนิกกลุ่มหนึ่งที่ประกาศแนวทางสถาปัตยกรรมที่เป็นประดิษฐกรรมทางความคิดของชาวญี่ปุ่นแท้ ๆ ที่เรียกว่า Metabolism ขบวนการเคลื่อนไหวทางสถาปัตยกรรมในญี่ปุ่นที่เชื่อว่า ‘ความยืดหยุ่น’ จะเป็นอัตลักษณ์สำคัญของชาติญี่ปุ่นที่สะท้อนผ่านสิ่งก่อสร้างซึ่งตอบรับปรับตัวกับหายนะหรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือสงคราม ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ชนชาวญี่ปุ่นเคยเผชิญและรอดมาได้

“เรามองเห็นว่าสังคมนั้นดำรงอยู่ผ่านกระบวนการเติบโตทางชีวภาพ จากอะตอมหนึ่งแตกตัวเป็นเนบิวลาขนาดใหญ่ เหตุผลที่เราเรียกสิ่งนี้ด้วยคำศัพท์ทางชีววิทยา ก็เพราะเรามีความเชื่อว่า การออกแบบและเทคโนโลยีใด ๆ ควรเป็นเครื่องหมายที่สะท้อนการเติบโตของชีวิต
มนุษย์”

คือส่วนหนึ่งของ Metabolism 1960: Proposals for a New Urbanism คำประกาศ (Manifesto) ของกลุ่ม Metabolist ที่ประกอบด้วยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ โดยสถาปนิกที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั้นก็คือ คิโชะ คุโรคาวะ ผู้ที่ในเวลาต่อมาจะใช้ผลงานทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของกลุ่ม โดยมี Nakagin Capsule Tower ยืนตระหง่านเป็นดังสิ่งก่อสร้างตัวอย่างของปรัชญา Metabolism

คุโรคาวะไม่ได้เป็นแค่สถาปนิก แต่ยังเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมการออกแบบใหม่ ๆ และที่สำคัญ… เขาเป็นดังนักพยากรณ์ที่มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในศาสตร์สถาปัตยกรรม ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่น แต่ในภาพรวมใหญ่ระดับโลก และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นสถาปนิกที่มองเห็นภาพการใช้ชีวิตของผู้คนในอนาคต และแทนที่จะรอให้ถึงอนาคต เขากลับดึงภาพนั้นมาสร้างให้เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาปัจจุบัน

The Art of Being An Artist ประจำสัปดาห์นี้ เรายังขอปักหลักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นควันหลัง Tokyo Olympics 2020 เพื่อพาชาว GroundControl ทุกคนย้อนกลับไปสำรวจปรัชญา Metabolism ของ คิโชะ คุโรคาวะ หนึ่งในผู้วางรากฐานสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่ส่งต่อมรดกทางความคิดจนปรากฏเป็นบรรดาสิ่งก่อสร้างสำคัญทั่วโตเกียวที่เราได้เห็นกันตลอดการแข่งขันโอลิมปิกที่ผ่านมา

พุทธสถาปัตย์

คิโชะ คุโรคาวะ เกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1934 ที่จังหวัดนาโงยา พ่อของเขาคือ มิกิ คุโรคาวะ สถาปนิกคนสำคัญของญี่ปุ่นในช่วงยุคสงครามโลก ด้วยเหตุนี้คุโรคาวะจึงคุ้นเคยและเติบโตขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศของงานสถาปัตย์และสิ่งก่อสร้าง โดยงานอดิเรกในวัยเด็กของเขาก็คือการต่อโมเดลเครื่องบินและตึกต่าง ๆ เหตุการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของคุโรคาวะไปตลอดกาล ก็คือในปี 1945 เมื่อพ่อของเขาพาเขาและน้องชายอีกสองคนไปดูซากของสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือจากไฟสงครามในนาโงยา บ้านเกิดของพวกเขา หลักฐานความย่อยยับที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ทั้งสามพี่น้องตั้งใจที่จะเป็นสถาปนิก เพื่อที่จะได้รื้อฟื้นและสร้างบ้านเกิดของพวกเขาขึ้นมาใหม่

นอกจากความสนใจในโมเดลเครื่องบินและสิ่งกอสร้าง คุโรคาวะยังเป็นเด็กที่สนใจในด้านพุทธศาสนา โดยเขาได้รับการศึกษาด้านพุทธศาสนาจากพระที่มาสอนที่โรงเรียนมัธยมต้น และในเวลาต่อมา ปรัชญาทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องของการที่มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลาย ก็จะเป็นหนึ่งในแกนความคิดในการสร้างสรรค์ผลงานของคุโรคาวะด้วย

คุโรคาวะเข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ที่นี่นอกจากจะเปิดโลกของเขาในแง่ของประวัติศาสตร์สายธารสถาปัตยกรรมและศิลปะแล้ว ยังเป็นจุดพลิกผันในชีวิตที่ทำให้เขาได้เรียนกับ ทังเงะ เคนโซ ศาสตราจารย์และสถาปนิกในตำนานผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดแนวคิด Metabolism

ผลงานการออกแบบ Toshiba IHI Pavilion, Takara Beautilion, Theme Pavilion ใน Osaka Expo’70 ที่เป็นผลงานการออกแบบร่วมกันของกลุ่ม Metabolist นับเป็นงานที่เผยแนวคิด Metabolism ครั้งแรกต่อสายตาชาวญี่ปุ่น

ผลงานการออกแบบ Toshiba IHI Pavilion, Takara Beautilion, Theme Pavilion ใน Osaka Expo’70 ที่เป็นผลงานการออกแบบร่วมกันของกลุ่ม Metabolist นับเป็นงานที่เผยแนวคิด Metabolism ครั้งแรกต่อสายตาชาวญี่ปุ่น

ชีวสถาปัตย์

ในปี 1960 คุโรคาวะ พร้อมด้วยเพื่อนสถาปนิก ฟุมิฮิโกะ มากิ และ อาราตะ อิโซซากิ ได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มสถาปนิก Metabolism ขึ้น โดยสิ่งที่สมาชิกในกลุ่มแบ่งปันร่วมกันก็คือความเชื่อในสุนทรียะของยุคสมัยแห่งจักรกล การมองเห็นความสำคัญของชิ้นส่วนหรือวัสดุทางสถาปัตย์ที่ถูกผลิตมาจากโรงงานอุตสาหกรรม และระบบการก่อสร้างอาคารสำเร็จรูป โดยที่คุโรคาวะได้ชื่อว่าเป็นคนที่หลงใหลในความงามของสถาปัตยกรรมแนวอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มตัว เพราะผลงานส่วนใหญ่ของเขาล้วนเป็นสถาปัตยกรรมระบบโมดูลที่สามารถถอดหรือต่อโครงสร้างหนึ่งเข้ากับอีกหนึ่งได้

แก่นหลักของ Metabolism คือความเชื่อว่าอนาคตของสถาปัตยกรรมคือความยืดหยุ่น การปรับแต่ง และการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมและพร้อมรับกับภัยพิบัติทุกอย่าง อันเป็นบทเรียนที่สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้จากการเติบโตขึ้นมาท่ามกลางควันไฟสงคราม และนอกจากจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในธรรมชาติได้แล้ว

Agricultural City Plan ผลงานการออกแบบผังเมืองในอนาคตของคุโรคาวะที่ความเป็นเมืองใหญ่กับพื้นที่การเกษตรอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้องกัน

Agricultural City Plan ผลงานการออกแบบผังเมืองในอนาคตของคุโรคาวะที่ความเป็นเมืองใหญ่กับพื้นที่การเกษตรอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้องกัน

ชื่อของกลุ่ม ‘Metabolism’ เองยังสะท้อนการผสานกันของแนวคิดตะวันตกและตะวันออก ในขณะที่รากศัพท์ของคำนี้มาจากคำว่า μεταβολή ที่หมายถึง ‘การเปลี่ยนแปลง’ ความหมายในทางชีววิทยาที่หมายถึง ‘วัฏจักรทางชีวภาพ’ ก็ยังสะท้อนปรัชญาทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงวิถีทางของสรรพสิ่งต่าง ๆ ในโลกที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นวงจรของชีวิต ทั้งคุโรคาวะ, มากิ และ อิโซซากิ ล้วนมีความเชื่อร่วมกันว่า แนวคิดดังกล่าวสามารถนำมาปรับใช้กับวิธีคิดทางสถาปัตยกรรมและการสร้างสังคมเมืองได้ โดยพวกเขามองว่า แต่ละส่วนในโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม หรือแต่ละส่วนที่อยู่บนแปลนเมืองนั้น เมื่อถูกนำมาต่อประกอบเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่รองรับการมีอยู่ของ ‘ชีวิต’ ในแง่เดียวกัน สังคมหนึ่ง ๆ ก็เกิดขึ้นมาจากคนหลาย ๆ คนมารวมตัวกัน กลายเป็นระบบโครงสร้างของสังคมขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับที่เซลหลาย ๆ เซลเมื่อรวมตัวกันก็จะได้โครงสร้างของ ‘ชีวิต’

สถาปัตยกรรมแบบ Metabolism ยังต้องสามารถปรับตัวเข้ากับการเติบโตของเมืองอันเป็นที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างนั้น ๆ ได้ โดยเฉพาะการเติบโตให้ทันกับความรวดเร็วทางสังคมในโตเกียวที่กำลังเข้าสู่สถานะการเป็นมหานครใหญ่ที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งตามมาด้วยความต้องการในด้านที่อยู่อาศัยและโครงสร้างทางสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่พุ่งทะยานขึ้น

Helix City

สถาปนิกในกลุ่ม Metabolism ยังเชื่อว่า สถาปัตยกรรมจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคสมัยใหม่ ไปจนถึงโลกของพลังนิวเคลียร์ ทำให้ในอนาคต จะไม่มีสถาปัตยกรรมที่เป็นโครงสร้างถาวร แต่จะเป็นสถาปัตยกรรมที่สามารถปรับแต่งและปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบ ซึ่งแนวคิดนี้ก็กลายมาเป็นรากฐานของปรัชญาการออกแบบอย่างยั่งยัน (Sustainable Design) ที่ปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบันด้วย

“เมื่อยุค 1960s จบลง และทศวรรษ 1970s เริ่มขึ้น นั่นคือช่วงเวลาของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ทุกคนครุ่นคิดกันในตอนนั้นก็คือการเติบโตอย่างยั่งยืน” คุโรคาวะเคยกล่าวไว้ “สถาปัตยกรรมคือหนทางไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ผมสนใจก็คือ แล้วเราจะสามารถปรับทั้งสามสิ่งให้อยู่ร่วมกันได้อย่างไร”

หนึ่งในผลงานที่สะท้อนให้เห็นปรัชญาของสถาปัตยกรรม Metabolism ที่สุดก็คือ โครงการ Helix City ที่คุโรคาวะทำร่วมกับเคนโซ ที่แม้ว่าจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจริง ๆ แต่ก็สั่นสะเทือนแวดวงสถาปัตยกรรมในยุคนั้นด้วยแนวคิดสุดล้ำที่แม้กระทั่งโลกสถาปัตยกรรมฝั่งตะวันตกที่เคยได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานแนวคิดสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ก็ยังคิดไม่ถึง

Helix City คือแผนผังโครงสร้างของเมืองแห่งอนาคตที่แต่ละส่วนถูกเชื่อมโยงกันไว้ด้วยสะพานที่พาดผ่านเชื่อมพื้นที่บนบกกับทะเลไว้ด้วยกัน ท่ามกลางสะพานที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ แต่ก็เชื่อมทุกพื้นที่เข้าด้วยกัน ตรงกลางนั้นคือโครงสร้างสิ่งก่อสร้างที่ลอกแบบมาจากโครงสร้างของดีเอ็นเอมนุษย์

นอกจากจะนำเสนอภาพของเมืองในอนาคตแล้ว Helix City ยังเป็นต้นแบบของเมืองที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่ซึ่งคนในประเทศญี่ปุ่นกำลังต้องเผชิญในช่วงเวลานั้น และยังสะท้อนความพยายามของเคนโซและคุโรคาวะที่จะสร้างสถาปัตยกรรมที่ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติด้วย

Nakagin Capsule Tower

แต่เมื่อพูดถึงชื่อของคุโรคาวะแล้ว อีกหนึ่งผลงานที่ตามมาย่อมหนีไม่พ้น Nakagin Capsule Tower สถาปัตยกรรมแคปซูลแห่งแรกของโลกที่สะท้อนปรัชญา Metabolism ในแนวทางของคุโรคาวะอย่างเต็มเปี่ยม โดยตึกอพาร์ตเมนต์ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงโตเกียวแห่งนี้เกิดจากการต่อเติมแคปซูลห้องพักเข้าไป จนกลายเป็นโครงสร้างแคปซูลขนาดใหญ่ที่ยืนหยัดเป็นอนุสรณ์สถานแห่งการปลดแอกสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นออกจากอิทธิพลของสถาปัตยกรรมตะวันตก กล่าวได้ว่า Nakagin Capsule Tower นี้คือสิ่งก่อสร้างที่นำเสนอรูปแบบสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่เพิ่งกำเนิดขึ้นต่อสายตาชาวโลก

Nakagin Capsule Tower ประกอบขึ้นจากอาคารคอนกรีตสองอาคารที่เชื่อมต่อกันภายใน มีทั้งหมด 140 แคปซูล 140 ห้อง แต่ละห้องมีความกว้างคูฯณยาว 2.5 x 4 เมตร แคปซูลแต่ละห้องนั้นสามารถต่อกันเพื่อขยายเพิ่มพื้นที่ได้ โดยภายในแต่ละแคปซูลจะได้รับการตกแต่งภายในและติดตั้งระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ตั้งแต่ที่โรงงานก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายไปประกอบกันที่โลเกชั่นที่ตั้ง และทุกแคปซูลล้วนถูกออกแบบมาให้สามารถถอดออกมาได้โดยไม่รบกวนหรือทำความเสียหายให้ห้องข้างเคียง

อพาร์ตเมนต์แคปซูลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบปัญหาว่า การผลิตจำนวนมากหรือ Mass Production นั้นสามารถกลายเป็นคุณค่าใหม่ของงานออกแบบทางสถาปัตยกรรมได้หรือไม่ นอกจากนี้คุโรคาวะยังต้องการที่จะสร้างพื้นที่ที่เชื่อมต่อ แต่ก็แยกตัวออกจากกัน เพื่อสะท้อนสภาวะการดำรงอยู่ของ ‘ตัวตน’ ของผู้คนในสังคม และในขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์สังคมญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่ทุกอย่างเติบโตอย่างรวดเร็วแต่กลับละเลยการให้คุณค่าของความเป็นปัจเจกของผู้คนในสังคม

แม้ว่าในปีนี้จะมีข่าวว่า เจ้าของห้องแคปซูลทั้งหมดในอาคารตกลงที่จะขายห้องคืนให้กับเจ้าของกิจการ โดยที่เจ้าของมีแพลนที่จะระดมทุนเพื่อปรับปรุงแคปซูลแต่ละห้องแล้วถอดเพื่อไปตั้งไว้ตามโรงเรียน พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น อันถือเป็นจุดสิ้นสุดของ Nakagin Capsule Tower แห่งกรุงโตเกียว อย่างไรก็ตาม Nakagin Capsule Tower ก็ยังคงจะยืนหยัดต่อไปในฐานะงานสถาปัตยกรรมที่สะท้อนปรัชญา Metabolism อันมีแก่นสำคัญว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยน และความยั่งยืน ต่อไป