
ในแวดวงการเมืองไทย เรามักได้ยินคำถามว่าเป็น “สิงห์สีอะไร” หมายถึงเรียนจบด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยใด แต่ในวงการศิลปะ การถามว่าศิลปินจบจากที่ไหนยังถือว่าแปลกเล็กน้อย เพราะคำตอบมักจะคล้าย ๆ กัน
เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงเพลงบริตป็อปของวงนักศึกษาที่ดังอยู่ภายนอก เราได้เข้าไปชมนิทรรศการ “ทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี ครั้งที่ 24” ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดขึ้นในวันศิลป์ พีระศรี ซึ่งผู้คนต่างระลึกถึงอาจารย์ผู้วางรากฐานศิลปะสมัยใหม่ของไทย นิทรรศการปีนี้แสดงผลงานจากศิลปินรุ่นใหม่ผู้ได้รับทุน พร้อมด้วยถ้อยคำของอาจารย์ศิลป์ที่บันทึกไว้ในสูจิบัตรว่า
“…จงพิจารณางานแต่ละชิ้นโดยปราศจากความเดียดฉันท์ แต่ปล่อยให้มันเผยพลังทางจิตและวิญญาณออกมาเอง…”
อย่างไรก็ตาม ผลงานจำนวนไม่น้อยกลับตั้งคำถามและท้าทาย ทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหา ต่อสถานะและอิทธิพลของสถาบันศิลปากรเอง อีกทั้งยังชวนให้ตีความความหมายของ “ความก้าวหน้า” หรือ “พัฒนาการ” ของศิลปะไทย ในแบบที่อาจารย์ศิลป์อาจไม่คาดคิดมาก่อน
ในแง่รูปแบบ สื่อภาพเคลื่อนไหวยังคงเป็นตัวเลือกหลักของศิลปินจำนวนมากในปีนี้ (ต่อเนื่องจากแนวทางที่เห็นได้ชัดเจนหลายครั้งก่อนหน้า) ขณะเดียวกัน หลายผลงานก็ให้ความสำคัญกับการจัดวางงานในบริบทเฉพาะของพื้นที่ โดยเน้นทั้งการค้นคว้าและการนำเสนอความคิดให้มีน้ำหนักเทียบเท่ากับการแสดงออกทางศิลปะ
ท่ามกลางผลงานที่หลากหลาย โครงการ “คำบอกเล่าในพื้นที่ที่ 13°45’10.8”N 100°29’23.8”E” โดย พรภพ สิทธิรักษ์ ใช้อักษรเหล็กล่องลอยเป็นสัญลักษณ์ เปิดช่องทางให้ผู้ชมรับรู้บรรยากาศและความหมายของหอศิลป์แห่งนี้อย่างเป็นรูปธรรม ส่วนวิดีโอจัดวาง “โลคอลเซนเซชันส์” โดย ตุลพบ แสนเจริญ ก็หยิบยกประเด็นที่สอดคล้องกับวิธีการทำงาน สถานะ และรสนิยมแบบ “ศิลป์ ๆ” มาตีความและวิพากษ์อย่างตรงไปตรงมา
ที่ชั้นสองของอาคารท้องพระโรง ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นหอศิลป์ฯ ศิลปิน พรภพ สิทธิรักษ์ คัดสรรถ้อยคำจากเอกสารชั้นต้นเก่าแก่ซึ่งยังไม่ถูกแปลงเป็นดิจิทัล แล้วถ่ายทอดออกมาในรูปของอักษรโลหะ วัสดุที่เมื่อเวลาผ่านไปจะค่อย ๆ คล้ำและหยาบขึ้นตามสภาพแวดล้อม
ตัวอักษรภาษาไทยบ้าง อังกฤษบ้าง เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง บางส่วนชิดกัน บางส่วนห่างออกไป บ้างกลับด้าน หรืออ่านออกได้ทันที บ้างก็ต้องใช้สมาธิและความพยายามเพื่อทำความเข้าใจ ทั้งหมดเรียงร้อยเป็นเส้นสายทอดยาวไปตามผนังห้อง
ถ้อยคำเหล่านี้อยู่ตรงนี้มาตลอด เพียงแต่เพิ่งเผยตัวออกมา หรือแท้จริงแล้วศิลปินได้นำมันเข้ามาแทรกแซงจากที่อื่น? คำถามนี้อาจไม่ได้ยากเกินไป หากเราลอง “อ่านระหว่างบรรทัด” ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
สำหรับคนในแวดวงวรรณกรรม ถ้อยคำอาจมีอำนาจอย่างมหาศาล ขณะที่สำหรับสถาปนิก วัสดุอย่างอิฐ ดิน ปูน ผนัง หลังคา และ “ภาษา” ของพวกเขาก็มีอำนาจไม่แพ้กัน ผลงานชิ้นนี้ที่หยิบยกแนวคิดจากงานเขียน Space and Place ของอี้ฟู่ ถวน ไม่เพียงตั้งคำถามว่าความเป็น “สถานที่” ก่อรูปขึ้นบนพื้นที่หนึ่ง ๆ ได้อย่างไร แต่ยังหันกลับไปพิจารณาอำนาจของภาษาเอง
การอ้างถึงถ้อยคำอย่าง “ฟื้นฟูศิลปกรรมของชาติให้รุ่งเรือง” หรือการเชื่อมโยงพื้นที่กับ “พระบรมมหาราชวัง” “วังท่าพระ” และ “วังกลาง” ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าภาษาและการตั้งชื่อไม่ได้เป็นกลาง แม้แต่ชื่อโครงการที่ดูเป็นเพียงชุดตัวเลขยาว ๆ ก็ยังแฝงนัยสำคัญ เพราะไม่มีใครจะใช้รหัสเหล่านี้บอกเพื่อนว่า “ไปเจอกันที่นั่น” จริง ๆ
คำถามจึงย้อนกลับมาที่ว่า หอศิลป์แห่งนี้กำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน? ศิลปะและวัฒนธรรมไทยในปัจจุบันมีคุณค่าและหน้าตาอย่างไร? คำตอบอาจแตกต่างหลากหลาย แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ผู้ชมทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความหมายของพื้นที่นี้ได้ โดยไม่ปล่อยให้ถ้อยคำใดเพียงคำเดียวผูกขาดการนิยามศิลปะไทยให้ศักดิ์สิทธิ์ตายตัว
ผลงานของ ตุลพบ แสนเจริญ เชื่อมโยงกับบทความ “ฮาวทูดีไซน์อนุสาวรีย์สมัยใหม่ไม่ให้เป็นศาลเจ้า” โดย ชาตรี ประกิตนนทการ ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างบทสนทนาเชิงนามธรรมกับงานของเขา หากงานของ พรภพ สิทธิรักษ์ คือการติดตามกระบวนการที่ทำให้ “พื้นที่” กลายเป็น “สถานที่” ภาพยนตร์ของตุลพบก็เปรียบเสมือนการติดตามเส้นทางของวัตถุหรือวัสดุต่าง ๆ ในกระบวนการกลายร่างไปสู่ความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ภาพยนตร์เล่าเรื่องคู่ขนานระหว่างการอ่านบทความของกลุ่มนักศึกษา ซึ่งต่อยอดไปสู่การร่างภาพบางอย่างและการเดินทางไป “บ้านหิมะ” กับการบรรเลงดนตรีสดของ Ham Tanid ที่ผสมเสียงจากอุปกรณ์สร้างเสียงค้างขนาดใหญ่ ฉิ่ง กีตาร์หน้าเหล็ก และเตหน่า (พิณของปกาเกอะญอ) สลับกับภาพ “ธรรมชาติ” อย่างต้นไม้และนก รวมถึงฉากการเป่าแก้วให้กลายเป็นแจกันเล็ก ๆ จากลมหายใจ
ทั้งหมดนี้ถูกคั่นด้วยงานออกแบบอักษร “โลคอลเซนเซชันส์” ดีไซน์หน้าตาโมเดิร์น ก่อนจะถูกร้อยเรียงลงบนผืนฟิล์ม 16 มม. ขาวดำ
เสียงหอนแหลมสูงที่ก้องหนามาจากกลไกการแกว่งขนาดใหญ่ราวกับประติมากรรมเครื่องดนตรี เปิดการเดินทางด้วยดนตรีแห่งความเป็น “วัตถุ” ล้วน ๆ ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่กีตาร์ที่บรรเลงจังหวะกระตุกแบบบลูส์ของคนผิวดำ (แต่ไม่จำลองตามขนบอย่างเคร่งครัด) แล้วถอยเข้าสู่เสียงของ “เครื่องดนตรีชาติพันธุ์” การเคลื่อนจากเสียงที่นามธรรมที่สุด ซึ่งเผยเพียงคุณสมบัติทางวัตถุของมัน ค่อย ๆ พาเรากลับไปสู่บริบททางวัฒนธรรมที่ฝังอยู่ในจังหวะและเนื้อเสียงเฉพาะ
เส้นทางคู่ขนานนี้ยังดำเนินต่อไป จากนกที่บางปู สู่ภาพนกในโซนจัดแสดง ทั้งนกอพยพและนกประจำถิ่น จากภาพวาดนกบนผนัง สู่ภาพนกสามมิติที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ การเดินทางหลายเส้นเหล่านี้ดำเนินไปพร้อม ๆ กันในภาพยนตร์
ดังนั้น แทนที่จะเป็นบทสนทนา “ระหว่างนักออกแบบกับนักออกแบบ” อย่างในบทความ ภาพยนตร์กลับวางคำถามกว้างกว่านั้น ถึงวิธีที่สิ่งรายล้อมต่าง ๆ ตอบโต้กันเองว่า อะไร เมื่อไร หรืออย่างไร ที่ทำให้สิ่งหนึ่งกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
งานชิ้นนี้ทำหน้าที่เหมือนการ สืบสวน มากกว่าจะเป็นการ ปั่นป่วน หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่ อั้ม เนโกะ เคยไปโหนและ “กระทำชำเรา” รูปปั้น “พ่อปรีดี” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสร้างกระแส “รถทัวร์” มาปกป้องอนุสาวรีย์ งานนี้กลับไม่มุ่งโจมตีเพื่อกระตุ้นแรงปะทะเช่นนั้น แต่เลือกตั้งคำถามกับเราตรง ๆ ว่า แค่ทำอย่างนี้ สิ่งนี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาแล้วหรือ? หรือถ้าเป็นไปตามกฎแห่งความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมสิ่งนั้นถึงยังไม่ศักดิ์สิทธิ์เสียที?
ยุทธศาสตร์หลักของงานนี้จึงไม่ใช่การท้าชนโดยตรง แต่คือการวิเคราะห์ เพื่อให้คุณสมบัติเชิงวัสดุของวัตถุเผยตัว และให้การกระทำของบริบทต่าง ๆ โดดเด่นออกมา กระบวนการนี้เปิดให้ผู้ชมเห็นเส้นทางของการแปรความหมาย จาก “ต้นแบบ” ที่ถูกกำหนด ไปสู่การเป็น “สิ่งอื่น” —หรือจากแนวคิดเชิงนามธรรม จากความทรงจำ จากตัวตน ไปสู่ความเป็นอนุสาวรีย์หรือ “ศาลเจ้า” ในพื้นที่— ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อเรื่องแก่นแท้และความมั่นคงถาวรของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน











นิทรรศการนี้ยังมีผลงานที่น่าสนใจอีกมาก ซึ่งพาศิลปะข้ามพรมแดนเดิมไปสู่มิติใหม่ ๆ อย่างเช่นการออกแบบ หรือการเดินทางในเชิงพื้นที่ ไปฟังเสียงนอกกระแสหลักที่ส่วนกลาง
นิทรรศการทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี ครั้งที่ 24
จัดแสดงระหว่างวันที่ 15 กันยายน – 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2568
จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 น. - 18.00 น. (ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ)
ที่หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ