#Artเทอม CRAFT: ข้าวของเครื่องใช้ พื้นที่แห่งอำนาจ หรืองานศิลปะ?

Post on 17 October 2025

เวลาได้ยินคำว่า “คราฟต์” หลายคนน่าจะนึกถึงงานฝีมือที่ใช้ภูมิปัญญาเก่าแก่ไปเลย อาจจะมีเอกลักษณ์และอบอุ่น บางคนอาจคิดถึงข้าวของสวย ๆ น่ารัก ๆ แบบที่หาซื้อได้ในตลาดวัยรุ่น และคงมีไม่น้อยที่นึกถึงร้านคราฟต์เบียร์ที่กลายเป็นแฟชั่นในยุคนี้… เรามองเห็นภาพงาน “คราฟต์” เป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายตายตัวขนาดนั้น แก้วเซรามิกใบหนึ่งเองยังอาจเป็นผลผลิตจากงานอดิเรกที่ถูกวางลืมทิ้งไว้ในบ้าน หรืออาจอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับโลกก็ได้

วันนี้ GROUNDCONTROL อยากชวนมาสืบค้นความหมายของความคราฟต์กัน ว่ามันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างไรและเพราะอะไรบ้าง มีเรื่องเพศ เรื่องอาณานิคม และเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร และหม้อที่เราปั้นมาจากเวิร์คช็อปจะเรียกว่าคราฟต์หรือศิลปะอะไรกับเขาได้บ้างไหม

แต่ก่อนอื่น คงต้องย้อนไปอดีตนานสักหน่อย เพราะในจุดหนึ่งของประวัติศาสตร์ คำว่าคราฟต์ก็อาจยังไม่เคยมีบทบาทสำคัญขนาดนั้น

📌ก่อนโลกจะคิดคราฟต์

มีแนวคิดมากมายบนโลกที่ดูจะเป็นความจริงแท้แน่นอนตามธรรมชาติเหลือเกินแต่ที่จริงแล้วไม่ ซึ่งความหมายของคำว่า “คราฟต์” ก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน

การสร้างสรรค์จำนวนมากในประวัติศาสตร์มนุษยชาติมักถูกมองในฐานะ… การสร้าง (ง่าย ๆ ตรงไปตรงมาอย่างนั้นแหละ) คุณค่าของสิ่งประดิษฐ์ชนิดใดของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับทั้งเรื่องทักษะฝีมือการสร้าง คุณสมบัติการใช้งาน และความสวยงาม ทั้งหมดนี้พร้อม ๆ กัน

‘ล้อเกวียน’ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มาจากการบูรณาการความรู้อย่างลึกซึ้ง เราต้องรู้จักทั้งคุณสมบัติของไม้โอ๊ก ไม้แอช และไม้เอล์ม รู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตามสภาพอากาศ รู้วิธีขึ้นรูปและประกอบร่างมันเข้าเพื่อให้เราใช้มันได้ดีรอบด้าน มีความแข็งแรง ทนทาน และมีน้ำหนักที่เหมาะสม ทั้งหมดนี้ ตามที่จอร์จ สเติร์ต (George Sturt) บรรยายไว้ในหนังสือ The Wheelwright’s Shop (1923) ทำให้เห็นว่าผู้ทำล้อ ไม่ได้เป็นแค่ศิลปินหรือวิศวกร (หรือ “ช่าง”) แต่เป็นทั้งหมดนั่น

ทักษะเชิงฝีมือประดิษฐ์กับความรู้ในเรื่องวัสดุและสิ่งต่าง ๆ อาจเป็นคนละอย่างกัน แต่ถ้าเราเป็นคนทำล้อในหนังสือเล่มนั้น เราอาจต้องมีทั้งสองอย่าง และคิดผ่านการกระทำไปพร้อม ๆ กัน
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นตอนไหนกันแน่ ศิลปะกับงานทักษะฝีมือถึงได้แยกออกจากกัน?

📌ภูมิปัญญาและอุตสาหกรรม

เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นตอนศตวรรษที่ 19 ซึ่งทำให้เกิดโรงงานที่ผลิตของต่าง ๆ ได้เหมือนกันทีละมาก ๆ และในช่วงเดียวกันโลกศิลปะก็เกิด “วิจิตรศิลป์” และการสร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อศิลปะ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น (อะไร?)

คำตอบว่า “คราฟต์คืออะไร” จึงเกิดขึ้นผ่าน “อะไรที่ไม่ใช่คราฟต์”

หนึ่งในงานฝีมือที่ถูกท้าทายจากโลกอุตสาหกรรมคือการทำกุญแจ ในปี 1784 นักทำกุญแจชาวอังกฤษโจเซฟ บรามาห์ (Joseph Bramah) ประดิษฐ์กลอนขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกกันว่ากลอนบรามาห์ (Bramah Lock) มันคือสุดยอดระบบความปลอดภัยที่ไม่มีใครสะเดาะได้มานาน จากทักษะสุดยอดชำนานที่ฝังอยู่ในมือของบรามาห์ แต่วันหนึ่งในปี 1851 นักทำกุญแจอเมริกันเอ. ซี. ฮอบส์ (A.C. Hobbs) ก็มาวิเคราะห์มันอย่างเป็นระบบด้วยเครื่องมือของเขา และสะเดาะกุญแจได้ในไม่กี่ชั่วโมง ไม่ใช่แค่ตัวกุญแจนั้นที่มนต์ขลังเสื่อมสลาย แต่สถานะอันลึกลับของ “ฝีมือ” ก็ถูกชำแหละออกมาด้วย และทำให้ “ความชำนาญการ” ในการสร้างสิ่งต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องความคราฟต์ ที่บางทีก็มาพร้อมคุณค่าเพราะว่าเก่าแก่ลึกลับ ตรงกันข้ามกับวิธีการถอดรหัสทันสมัยที่ใกล้เคียงกับเครื่องจักรกลเป็นเครื่องมือ (ขออนุญาตไม่ลงลึกถึงวิศวกรรมศาสตร์เบื้องหลังการชำแหละความรู้นี้)

ในขณะที่ระบบความรู้เชิงอุตสาหกรรมเติบโตมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกหนึ่งปรากฏการณ์คู่ขนานก็คือสถานะที่สำคัญและมีคุณค่าขึ้นของงาน “ศิลปะเพื่อศิลปะ” หรืองานประเภทภาพวาดและประติมากรรม ที่ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้ในชีวิตประจำวันเหมือนหม้อ เก้าอี้ หรือพรม ประติมากรคอนสแตนติน บรังคูซี (Constantin Brancusi) เป็นคนหนึ่งที่นำทองสัมฤทธิ์มาขัดผิวได้เนี๊ยบสุด ๆ แบบที่ช่าง(อ้าว)ที่ไหนเห็นก็ต้องชื่นชม แต่สิ่งที่ทำให้เส้นแบ่งนี้พร่าเลือนจริง ๆ อาจเป็นฐานไม้แกะสลักหยาบ ๆ ที่ “ประติมากรรม” ของเขาใช้ตั้งอยู่ เราควรมอง “ฐาน” เหล่านั้นอย่างไร เป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะหรือไม่ หรือเป็นเพียงวัตถุหนึ่งที่มารองรับอีกสิ่งหนึ่งเท่านั้น

📌คิดด้วยวัสดุ

ถึงจะถูกจับแยกสักกี่ครั้งอย่างไร การทำ (ด้วย “ฝีมือ”) กับการคิด ก็เหมือนจะยังไม่ได้เป็นคนละเรื่องกันขนาดนั้น ผลงานมากมายในยุคแห่งความทันสมัยยิ่งท้าทายเกณฑ์การแบ่งแยกนี้ให้มันยาก แปลกประหลาด น่าตลก และไม่รู้จะทำไปทำไมยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ยุคศตวรรษที่ 20 (และเหมือนจะในสมัยนี้ก็ด้วย) การทอผ้าถูกมองว่าเป็นงานของผู้หญิง และคงด้วยเหตุนั้นเอง มันเลยดูไม่ถูกเชิดชูอยู่ในที่ทางที่สำคัญเท่างานวาด งานประติมากรรม หรือสถาปัตยกรรม

อันนี อัลเบอร์ส (Anni Albers) นักเรียนและศิลปินแห่งเบาเฮาส์ (Bauhaus)โรงเรียนดีไซน์ในตำนาน ได้ทำการทดลองผ่านเครื่องทอผ้าในมือเธอ เธอสร้างสิ่งทอที่นามธรรม ซับซ้อน และไม่ได้เป็นเพียงลวดลายตกแต่งอาหารตา แต่คือการสำรวจเรื่องสี โครงสร้าง และจังหวะ ผลงานของเธอคือระบบความคิดที่ลึกซึ้งเกินกว่าอคติทางเพศเก่า ๆ เดิม ๆ ของใครจะปฏิเสธกระบวนการเชิงความคิดที่อยู่ในเส้นด้ายเหล่านั้นได้

เช่นเดียวกับหม้อที่แทบจะไม่ใช่หม้ออีกต่อไปแล้ว (?) ของปีเตอร์ วูลคอส (Peter Voulkos) ซึ่งรื้อถอนประกอบสร้างลักษณะความเป็นหม้อดินเผาแบบซีเรียส ทั้งฟัน บาก และซ้อนดินเหนียว จนเป็นประติมากรรมที่เราคงต้องคิดหนักถ้าอยากจะเอาไปใช้ใส่อาหารหรือสิ่งของอะไร ถ้าว่ากันด้วยพลังงานการแสดงออก ผลงานของเขาอาจมีจิตวิญญาณแบบเดียวกันกับภาพนามธรรมสำแดงพลังแบบ Abstract Expressionism ก็ว่าได้ด้วยซ้ำ คำถามที่เราต้องตอบตอนนี้คือ ดินเหนียวกับสีน้ำมันต่างกันอย่างไร มันมีสถานะเท่ากันไหมในฐานะเครื่องมือแสดงออกทางศิลปะ
หรือในบริบทประเทศญี่ปุ่นที่เผชิญกับคลื่นความเปลี่ยนแปลงแบบตะวันตกและการพัฒนาแบบอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาของโชจิ ฮามาดะ (Shōji Hamada) และขบวนการมิงเก (民芸 Mingei) ก็แสดงให้เห็นถึงความงามแบบเรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้ จากวัตถุในชีวิตประจำวัน แนวคิดการทำงาน “พื้นบ้าน” ของพวกเขาสวนทางกับศิลปะชั้นสูงที่ผลิตโดยอัครศิลปิน มาให้ความสำคัญกับ “ช่างฝีมือ” ในชุมชน ที่อาจไม่ถูกบันทึกชื่อและเกียรติเอาไว้อย่างทางการ

ผลงานเหล่านี้ชวนเราย้อนกลับมาทบทวนคุณค่าของผลงานที่เคยถูกมองข้ามจากสถาบันใหญ่ ๆ หลัก ๆ ไป อย่างถ้วยชงชาเขียวที่ปัจจุบันหลายบ้านก็มีติดครัวไว้นี่นับเป็นงานศิลปะที่มีแนวคิดได้ไหม ในเมื่อมันเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทวัฒนธรรม (ที่จริงจังกับพิธีการ) เราจะมองเครื่องปั้นดินเผาสมัยโบราณกับสมัยปัจจุบันต่างกันอย่างไร เป็นศิลปะทั้งคู่ไหมหรือเป็นเพียงข้าวของเครื่องใช้ทำมือ หรือเครื่องประดับกำไลสร้อยคอที่ทำมือขึ้นมา ต้องมีแบรนด์หรือมีชื่อดีไซเนอร์ก่อนไหมถึงจะเป็นงานศิลปะและดีไซน์ ไม่ใช่แค่คราฟต์ แล้วเครื่องจักสานจากไผ่ หวาย หรือวัสดุจากธรรมชาติอื่น ๆ ที่พบได้หลายวัฒนธรรมทั่วโลกหละ อย่างตะกร้าจากชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ที่มีลวดลายผู้ชายผู้หญิงในรูปทรงเรขาคณิต และเสื่อจักสานที่พ่อ ๆ แม่ ๆ นำไปใช้สวดมนต์ที่วัดหละ เป็นศิลปะ เป็นคราฟต์ หรือเป็นทั้งคู่ หรือไม่เป็นอะไรเลย

เชื่อว่าถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำตอบในใจแล้ว และคงเดาได้เหมือนกันว่าคำตอบของเราคืออะไร แต่พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสถาบันอื่น ๆ จะมีคำตอบตรงกับเราไหม ว่าสิ่งไหนคือศิลปะที่มีคุณค่าบ้างในความคิด (และในนโยบาย) ของพวกเขา คงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันอยู่ต่อไป

📌 เบียนนาเล่กับพื้นที่ของ “คราฟต์”

พื้นที่โลกศิลปะร่วมสมัย โดยเฉพาะเวทีขนาดใหญ่อย่างเทศกาล “เบียนนาเล่” มักถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของงานวิจิตรศิลป์ งานจัดวาง หรือศิลปะเชิงแนวคิด แต่งาน “คราฟต์” เองก็เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้บางครั้งออกจะน่าตั้งคำถามอยู่(ไม่)นิดหน่อย ในเวนิสเบียนนาเล่ปี 1999 ศิลปินชาวเบลเยียม วิม เดลวอย (Wim Delvoye) สร้าง Cement Truck No.1 ประติมากรรมรถโม่ปูนไม้ขนาดมหึมาที่ถูกแกะสลักลวดลายโกธิคอย่างวิจิตรโดยช่างฝีมือจากอินโดนีเซียและยุโรป และสร้างข้อถกเถียงเรื่องแรงงาน การเอาเปรียบ และการแปรรูปงาน “ฝีมือ” ไปสู่ตลาดศิลปะ ในฐานะ “เครื่องมือ” หรือในวิทนีเบียนนาล (Whitney Biennial) ปี 2004 ที่นักวิจารณ์ต่างก็ตื่นตาตื่นใจในความคราฟต์ของเหล่างานศิลปะร่วมสมัย แต่ชวนงงเล็กน้อยสำหรับคนคราฟต์ที่มีประสบการณ์ไม่ได้สวยงามเลยกับโลกศิลปะ

และสำหรับ Cheongju Craft Biennale 2025 ที่กำลังจัดอยู่ในเกาหลีใต้ภายใต้ธีม “Re-Crafting Tomorrow” คราฟต์ดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงของใช้หรือของสะสม แต่เป็นการแสดงออกถึง “รากฐานในการอยู่ร่วมกัน” ซึ่งประเทศไทยเองก็ได้เข้าร่วมในฐานะประเทศรับเชิญพิเศษ กับนิทรรศการ ‘Living in an Elastic Time (ชีวิต เวลา ยืดหยุ่น)’ โดยรวบรวมผลงานศิลปินและกลุ่มศิลปินไทย 26 ราย ที่สำรวจความหมายของคราฟต์ในเชิงความทรงจำ ความร่วมมือ และการเปลี่ยนแปลง เป็นพื้นที่สำหรับการบันทึกวัฒนธรรมและจินตนาการอนาคต นอกจากงานศิลปะ ยังมีเวิร์กช็อปงานคราฟต์ การบรรยาย การแสดงมวยไทย นวดแผนไทย และฉายภาพยนตร์ไทยด้วย ซึ่งก็มีผลงานที่น่าสนใจอย่างการทำงานร่วมกันของศิลปินฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช กับคุณยายแบ่ง สนใหม่ ช่างปั้นหม้อ แห่งบ้านจอหอ ตำบลตลาด นครราชสีมา ที่มีวิธีการปั้นหม้อแบบเดินวนที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสุด ๆ หรืองานของจฬรรณ์ ถาวรนุกูลพงศ์ นายหนัง ผู้ทำหนังใหญ่, จารุพัชร อาชวะสมิต นักออกแบบสิ่งทอ,​งานเซรามิกจาก ดอนหมูดิน, หรืองานไม้จาก Studio Mueja และยอดฝีมือชาวไทยอีกมากมาย ซึ่งไปแสดงให้เห็นว่าการ “คราฟต์” มีความหมายอย่างไร

📌คำถามถึงคราฟต์

ผ่านมาจะจบบทความอยู่แล้วยังดูเหมือนจะไม่ง่ายเลยที่จะนิยามว่า “คราฟต์” คืออะไร แต่หวังว่ามันจะชัดอยู่บ้าง ว่าคราฟต์คือคำที่เต็มไปด้วยการโต้แย้งหักล้าง เป็นพื้นที่ปะทะทางอำนาจ
สุดท้ายแล้ว “คราฟต์” อาจไม่มีคำนิยามตายตัวให้หยิบมาอธิบายได้ชัด ๆ มันอาจจะเป็นทั้งงานศิลปะ ของใช้ ของตกแต่ง หรืออะไรก็ตามที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการที่มันทำให้เรากลับมาถามตัวเองว่า… เราเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านี้เพราะอะไร

บางทีครั้งหน้าที่เราได้ลองปั้นหม้อ สานตะกร้า ทำเครื่องประดับเล็ก ๆ หรือแม้แต่เลือกซื้อของทำมือจากตลาด “Art & Craft” คำถามที่น่าสนใจกว่า “นี่คือคราฟต์หรือเปล่า” อาจเป็น “มันมีคุณค่าทางใดกับเราหรือเปล่า และทำไมเราถึงให้คุณค่ากับมันอย่างนั้น”

อ้างอิง

  • Adamson, Glenn. Thinking Through Craft. Berg Publishers, 2007.
  • Adamson, Glenn. The Invention of Craft. Bloomsbury Academic, 2019.