ภาพประกาศผลรางวัลรองชนะเลิศศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 12 ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าไทม์ไลน์เมื่อไม่นานมานี้ ได้นำพาเราไปรู้จักกับภาพ ‘ต้นไม้แห่งชีวิต’ ของ ‘มาร์ค-อนันต์ยศ จันทร์นวล’ ศิลปินหน้าใหม่ผู้รักการทำงานจิตรกรรม และชอบหยิบภาพคน สัตว์ สิ่งของ มาผสมเข้ากับความเชื่อและความงมงายอันแปลกประหลาดของมนุษย์ จนกลายเป็นโลกใบใหม่ที่ถ่ายทอดความพิลึกพิลั่นออกมาได้อย่างเหนือจริง
เหมือนกับที่ภาพ ‘ต้นไม้แห่งชีวิต’ กำลังถ่ายทอดฉากในอุดมคติ ที่ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างสงบสุข อ่อนโยน และเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าด้วยสีสันที่ศิลปินเลือกใช้ กลับแต่งแต้มให้ภาพดูงดงามหลอกตา จนกระตุ้นให้เรานึกถึงภาพความจริงตัดสลับกับฉากจินตนาการตรงหน้าได้อย่างทันควัน เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ไม่ได้ประนีประนอมกับต้นไม้ ธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วยความรักมานานแล้ว รูปต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางภาพ เลยเป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนถึงความกระจ้อยร่อยของมนุษย์ผู้โง่เขลา ที่เหลือคนทำดีเพียงน้อยนิด แต่คนบ่อนทำลายถิ่นที่อยู่ของตัวเองกลับมีมากจนนับไม่ถ้วน
อนันต์ยศได้บอกกับเราว่า “ความจริงแล้ว ผมสร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยการยึดคอนเซปต์ ‘รักโลก -Cherish the World’ ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการประกวดศิลปกรรมช้างเผือกครั้งที่ 12 โดยผมได้นำเสนอภาพต้นไม้ (ต้นโพธิ์) ที่มีขนาดใหญ่เป็นองค์ประกอบสำคัญของภาพ และรายล้อมไปด้วยบุคคลที่เราสนใจในตัวตนของเขาเป็นพิเศษ รวมถึงพวกสัตว์สงวนหรือสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย เพราะผมต้องการบันทึกเรื่องราวกับวิถีชีวิตที่บุคคลเหล่านี้เชื่อ เพื่อแสดงภาพของการทำเพื่อเพื่อนมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ออกมา”
“ผมมองว่าต้นไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโลกใบนี้ เป็นแหล่งปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย หากไม่มีต้นไม้ ชีวิตทุกชีวิตจะอยู่อย่างยากลำบาก เพราะสิ่งนี้ เราทุกคนจึงต้องช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติ และไม่ว่าจะมองยังไงมนุษย์ก็เป็นแค่สิ่งเล็ก ๆ ถ้าเทียบกับโลกใบนี้”
นอกเหนือจากภาพ ‘ต้นไม้แห่งชีวิต’ ที่คว้ารางวัลรองชนะเลิศมาได้แล้ว เรายังสังเกตเห็นอีกว่าผลงานอื่น ๆ ของอนันต์ยศ ก็ยังคงเอกลักษณ์ของการสร้างงานจิตรกรรมแบบผสมผสานที่มีความเสมือนจริงและความเหนือจริงเข้าด้วยกัน พร้อมกับใช้วัตถุขนาดใหญ่มาเป็นจุดเด่นของภาพ โดยมีสิ่งมีชีวิตหรือองค์ประกอบเล็ก ๆ อื่น ๆ มารายล้อมรอบ เพื่อเล่าเรื่องราวออกมา
อย่างภาพ ‘The Power of Sunflowers’ ที่วาดขึ้นในปี 2023 อนันต์ยศก็เลือกใช้ภาพดอกทานตะวันขนาดใหญ่เข้ามาเป็นศูนย์กลางของภาพเช่นกัน เขาให้ความเห็นว่า “ในภาพนี้ผมคิดว่ามนุษย์เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เราก็จะข้ามผ่านมันไปได้ด้วยความเชื่อ ดังนั้นผมเลยเปรียบสติและปัญญาเป็นดั่งดอกทานตะวันที่มีสีสันสดใสสวยงาม มีลำต้นที่ตั้งตรงแข็งแรง และจะหันหน้าไปหาแสงสว่างเสมอ ดังนั้นความหวังจึงทำให้เรานั้นเป็นมนุษย์”
ส่วนดอกทานตะวันและผ้าสีแดงในภาพ ‘The Power of Sunflowers’ ที่เขาวาดขึ้นในปี 2022 จะมีความหมายต่างกันออกไป เพราะในภาพนี้ศิลปินต้องการสื่อถึงความรัก ความหวัง ความสดใสร่าเริง ความมีชีวิตชีวา ความสง่างาม และความแข็งแกร่ง ที่แทนถึงการยืนหยัดอย่างทระนงและทรงพลัง เพื่อส่งเป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุก ๆ คน ได้ข้ามผ่านช่วงเวลาและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไปด้วยกัน ผ่านพลังของดอกทานตะวัน
อีกภาพหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อีกทั้งศิลปินยังเป็นคนเลือกที่จะเล่าให้เราฟังเป็นภาพแรก ๆ ด้วย นั่นก็คือภาพ ‘Black Hole’
อนันต์ยศกล่าว “บอกตามตรง ผมค่อนข้างชอบภาพนี้เป็นพิเศษ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงภาพความเป็นจริงของโลก ณ ปัจจุบัน โลกที่ประกอบไปด้วยการตีกรอบความเชื่อของสังคม การตัดทอน ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เปรียบดั่งหลุมดำที่เกิดขึ้นที่ใด ก็จะกลืนกินสรรพชีวิตในที่นั้นจนหมด”
หลังจากได้ชมผลงานและพูดคุยกันถึงคอนเซปต์ต่าง ๆ อีกหลายชิ้น เราก็รู้สึกสงสัยว่ากว่าศิลปินจะสร้างเอกลักษณ์และแนวทางการทำงานให้กับตัวเองได้ขนาดนี้ ต้องฝึกฝนมานานขนาดไหนกัน หรือเขาตั้งใจและมุ่งมั่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยหรือเปล่า ซึ่งศิลปินก็รีบบอกทันทีว่า “ผมก็เป็นเด็กที่ชื่นชอบและสนุกกับการวาดรูปเหมือนคนอื่น ๆ นี่แหละครับ”
“ถ้าจะให้พูดถึงตอนเด็ก ผมก็คงเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไปที่ชื่นชอบและสนุกกับการวาดรูป เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้หรอกว่าการวาดรูปจะนำพามาสู่การเป็นศิลปินอาชีพได้จนถึงทุกวันนี้” ศิลปินเริ่มเท้าความให้เราฟัง
“เอาจริง ๆ พบเพิ่งมาพบจุดเปลี่ยนสำคัญช่วงมัธยมต้นนี่เอง ตอนนั้นมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำให้ผมลองสมัครเรียนที่วิทยาลัยช่างศิลปนครศรีธรรมราชดู ผมเลยรู้จักและได้เรียนรู้ศิลปะหลากหลายรูปแบบ และนั่นก็ทำให้ตัวผมมีความคิดที่อยากจะเป็นศิลปิน แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจหรอกว่าอาชีพนี้มันเป็นกันได้ยังไง”
“จากนั้นผมก็สอบติดมหาวิทยาลัยศิลปากร คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปิดโลกเกี่ยวกับศิลปะของผมเป็นอย่างมาก โดยตัวผมเลือกเรียนและจบปริญญาตรีจากภาควิชาศิลปไทย และตั้งแต่เรียนจบมาตัวผมก็มีภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่า การวาดรูปหรือการทำงานศิลปะมันเหมาะกับตัวผมมากที่สุด”
พอได้ฟังความตั้งใจที่จะเป็นศิลปินอาชีพแบบนี้แล้ว ก็มั่นใจได้เลยว่าในอนาคตเราจะต้องเห็นผลงานของอนันต์ยศโลดแล่นอยู่ในโลกศิลปะต่อไปอีกหลายชิ้นแน่นอน ซึ่งเจ้าของรางวัลรองชนะเลิศงานศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 12 คนนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง พร้อมยืนยันกับเรากลับมาว่า
“แน่นอนครับ เพราะงานนี้เป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด แถมเป็นงานที่ไม่ต้องออกไปเจอกับผู้คนมากมาย เป็นอิสระทั้งความคิดและการแสดงออก มีเวลาเป็นของตัวเอง นั่งทำงานในสตูดิโอเล็ก ๆ เท่ดี นั่นแหละที่ทำให้ผมมุ่งมั่นทำงานศิลปะมาเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ ดังนั้นความตั้งใจของผมก็คือการเป็นศิลปินอาชีพ ที่สามารถสร้างรายได้จากการทำงานศิลปะได้ในรูปแบบเฉพาะตน และนำเสนอความคิดของตนผ่านผลงานศิลปะ ก็เท่านั้นเอง”
“มนุษย์เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เราก็จะข้ามผ่านมันไปได้ด้วยความเชื่อ สติและปัญญาเปรียบดั่งดอกทานตะวันที่มีสีสันที่สดใสสวยงาม มีลำต้นที่ตั้งตรงแข็งแรงและจะเอนอ่อนตัวเองเพื่อหาแสงสว่างได้เสมอ ดังนั้นความหวังจึงทำให้เรานั้นเป็น ‘มนุษย์’”
“ดอกทานตะวันและผ้าสีแดง แสดงถึงความรัก ความหวัง ความสดใสร่าเริง ความมีชีวิตชีวา ความสง่างาม ความแข็งแกร่ง ยืนหยัดอย่างทระนงและทรงพลัง ผลงานชิ้นนี้ต้องการส่งเป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุก ๆ คน ได้ข้ามผ่านช่วงเวลาและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันไปด้วยกัน ด้วยพลังดอกทานตะวัน”
“ผลงาน 2 ชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นแรก ๆ ของการเริ่มต้นทำผลงานสไตล์นี้ และช่วยต่อยอดความคิดมาจนถึงผลงานชุด ณ ปัจจุบันเลยก็ว่าได้ จิตรกรรมชุดนี้ต้องการเสียดสีสังคมปัจจุบัน ที่ยิ่งนับวันยิ่งเห็นความเสื่อมถอยของมนุษย์ ทั้งความคิดและการกระทำที่น่าเกลียดน่าขยะแขยง ล้วนเกิดจากความโลภและกิเลสทั้งสิ้น”
ผมได้นำเสนอภาพต้นไม้ (ต้นโพธิ์) ที่มีขนาดใหญ่เป็นองค์ประกอบสำคัญของภาพ และรายล้อมไปด้วยบุคคลที่เราสนใจในตัวตนของเขาเป็นพิเศษ รวมถึงพวกสัตว์สงวนหรือสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย เพราะผมต้องการบันทึกเรื่องราวกับวิถีชีวิตที่บุคคลเหล่านี้เชื่อ เพื่อแสดงภาพของการทำเพื่อเพื่อนมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ออกมา”
“ผมมองว่าต้นไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโลกใบนี้ เป็นแหล่งปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย หากไม่มีต้นไม้ ชีวิตทุกชีวิตจะอยู่อย่างยากลำบาก เพราะสิ่งนี้ เราทุกคนจึงต้องช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติ และไม่ว่าจะมองยังไงมนุษย์ก็เป็นแค่สิ่งเล็ก ๆ ถ้าเทียบกับโลกใบนี้”
“ผลงานชุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติส่วนตน ที่มีมุมมองต่อผู้คนในสังคม เพื่อเสียดสีความเชื่อ ความงมงาย ความตลกขบขัน ความไม่สมเหตุสมผลต่อวัตถุ ความเชื่อบางอย่าง เพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์”
“จิตรกรรมชุดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงของโลก ณ ปัจจุบัน โลกที่ประกอบไปด้วยการตีกรอบความเชื่อ ของสังคม การตัดทอน ลดคุณค่า ความเป็นมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เปรียบดั่งหลุมดำที่เกิดขึ้นที่ใด ก็จะกลืนกินสรรพชีวิตในที่นั้นจนหมด”