กว่า 20 ปีที่ TUBA ยืนหยัดอยู่ในย่านเอกมัย จากบาร์สุดเก๋ที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์วินเทจและความทรงจำของวัยรุ่นยุคก่อน สู่พื้นที่แฮงเอาต์ที่ยังคงครองใจคนรุ่นใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความพิเศษของ TUBA จึงอาจไม่ได้อยู่ที่แค่บรรยากาศชวนหลงใหล แต่คือการไม่หยุดนิ่งในการปรับตัว ทั้งในรสชาติอาหาร งานออกแบบ ไปจนถึงการเชื่อมโลกศิลปะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในร้าน
ล่าสุด TUBA จับมือกับ จี๊ป–ภาสินี คงเดชะกุล ศิลปินเจ้าของลายเส้นเฉพาะตัวที่ถ่ายทอดความตายได้อย่างงดงาม ผ่านโปรเจกต์ ‘Day of the Dead’ ที่ตีความเทศกาลแห่งความตายของเม็กซิโกในแบบน่ารัก สดใส และยังอบอุ่นหัวใจสุด ๆ จนกลายเป็นอีเวนต์ประจำปีที่หลายคนประทับใจ
วันนี้เราเลยชวนทั้ง จี๊ป–ภาสินี และ แสตมป์–สิโสภา ศิริพรเลิศกุล ทายาทรุ่นที่สองของ TUBA มาพูดคุยกันถึงเบื้องหลังการร่วมงาน การตีความวันแห่งความตายในแบบที่ไม่เศร้า และเคล็ดลับการทำให้ ‘บาร์อมตะ’ แห่งนี้ยังคงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
📌 การปรับตัวของ TUBA ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
แสตมป์–สิโสภา: “ปัจจุบัน TUBA เปิดมาประมาณ 20 ปีแล้ว จริง ๆ เริ่มแรกคุณพ่อคุณแม่เริ่มจากร้าน PAPAYA ที่เป็นร้านของสะสม แล้วของตกแต่งใน TUBA ทั้งหมดก็มาจาก PAPAYA เพราะคุณพ่อเป็นคนชอบศิลปะอยู่แล้ว ตอนเปิดร้านแรก ๆ ตั้งใจให้เป็นแกลเลอรี่งานศิลปะ คุณพ่อจะมีรูปปั้นและงานศิลปะต่าง ๆ อยู่ทั่วร้าน ถ้าลูกค้าชอบชิ้นไหนก็สามารถซื้อได้เลย ไม่ว่าจะเป็นภาพศิลปะหรือโคมไฟ
“นี่คือไอเดียหลักของ TUBA ตั้งแต่แรกค่ะ แตมป์ก็แค่เอามาปัดฝุ่นให้ชัดเจนขึ้นและเข้ากับยุคสมัยใหม่มากขึ้น เราชอบที่คุณพ่อคุณแม่ซัพพอร์ตศิลปินอยู่แล้ว บวกกับเราเรียนดีไซน์และชอบผลงานศิลปินไทย ก็เลยอยากให้ TUBA เป็นพื้นที่ที่ลูกค้าได้มานั่งทานข้าวพร้อมเสพงานศิลปะไปด้วย พอตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มีเด็กรุ่นใหม่มากขึ้น ก็เลยอยากให้ศิลปินที่มาคอลแลบกับเราหรือลูกค้าเองรู้สึกว่า TUBA เข้าถึงง่ายขึ้น เลยเลือกศิลปินที่มีสไตล์เข้าใจง่าย สดใส น่ารัก ทำให้ร้านเปลี่ยนบรรยากาศไปตามแต่ละซีซั่น”
📌 เหตุผลที่เลือกจี๊ป–ภาสินีมาร่วมคอลแลบในครั้งนี้
แสตมป์–สิโสภา: “จริง ๆ แล้วแตมป์เรียนดีไซน์มาค่ะ ตั้งแต่สมัยเรียน พี่จี๊ปก็เป็นเหมือน reference (แหล่งอ้างอิง) ของเด็กดีไซน์เลย”
จี๊ป–ภาสินี: “เพราะแก่แหละ ไม่ใช่อะไร” (หัวเราะ)
แสตมป์–สิโสภา: (หัวเราะ) “คือเวลาเรียนออกแบบ พวกงานเปเปอร์มาเช่หรืองานคราฟต์ต่าง ๆ พี่จี๊ปจะเป็น reference ที่หลายคนพูดถึงกันอยู่แล้วค่ะ เรารู้จักพี่จี๊ปตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัย พอเรียนจบมาก็ยังติดตามงานอยู่
“จนปีนี้ แตมป์ไปเดินงาน THAILAND PRINTMAKING FESTIVAL 2025 ที่เซ็นทรัลชิดลม แล้วไปเจอหนังสือของพี่จี๊ปเล่มหนึ่งชื่อ Handpicked 2 (Mexico City) แล้วแบบ เฮ้ย น่ารักมากเลย พอดีกับช่วงนั้นเป็นช่วงกลางปี ก็เลยคุยกับทีมว่า ฮาโลวีนปีนี้ ถ้าเราหยิบงานของพี่จี๊ปมาตกแต่งที่ TUBA น่าจะน่ารักดี เพราะรู้สึกว่าความเป็นพี่จี๊ปกับความเป็น TUBA มันมีความสนุกและเข้ากันได้ดีมาก ก็เลยให้ทีมรีบติดต่อพี่จี๊ปไปเลย อยากทำโปรเจกต์ฮาโลวีนร่วมกันค่ะ”
📌 จุดเริ่มต้นของการทำหนังสือ Handpicked 2 และความหลงใหลในประเทศเม็กซิโก
จี๊ป–ภาสินี: “จริง ๆ หนังสือ Handpicked ก็ออกมาแล้ว 2 เล่มค่ะ เล่มแรกเกี่ยวกับร้านรวงที่พี่รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจตอนไปยุโรป ตอนนั้นก็คิดว่า จะทำหนังสืออะไรที่มันเป็นเราจริง ๆ คือเราไม่ใช่คนเขียนเก่ง แต่เราชอบวาด ก็เลยทำเป็นหนังสือที่มีภาพประกอบ แอบมีป๊อปอัพนิดนึง ซึ่งเล่มแรกก็ประสบความสำเร็จ เราก็ส่งกลับไปให้ทุกร้านที่เขียนถึง บางร้านก็ส่งของขวัญกลับมา บางร้านก็ขอเอาไปขายที่ร้านเขา ซึ่งที่เขียนนี่เราไม่ได้ต้องการอะไรนะ คือเหมือนอยากขอบคุณที่สร้างร้านพวกนี้ขึ้นมามากกว่า
“พอทำเล่ม 2 ไปเม็กซิโก เราก็คิดว่า ต้องรวมเล่มและมีเรื่องราวอะไรสักอย่าง แต่เม็กซิโกไม่ได้มีร้านแบบยุโรป ส่วนใหญ่เป็นตลาด เราก็เลยเลือกเอาของน่าสนใจจากเม็กซิโกมารวมในเล่มแทน จนกลายเป็นเล่มนี้”
จี๊ป–ภาสินี: “จริง ๆ ก่อนหน้านั้นก็เริ่มสนใจเม็กซิโกมาสักพักแล้ว เพราะเวลาไปประเทศไหน อย่างไปสเปนก็มักจะเห็นของที่ Made in Mexico (ผลิตในเม็กซิโก) ตลอด ก็เลยคิดว่า ประเทศนี้มันต้องมีอะไรที่ตรงจริตเราแน่ ๆ แล้วพอไปอ่านหนังสือของญี่ปุ่นก็เจอว่า คนญี่ปุ่นเขาชอบเม็กซิโกมาก โดยเฉพาะเมือง Oaxaca ก็เลยยิ่งอยากไป
“พอมีโอกาสได้ไปเม็กซิโกก็เลยอยากไปให้ตรงกับเทศกาล Day of the Dead (เทศกาลวันแห่งความตาย) เพราะเวลาพี่ไปประเทศไหนก็จะชอบดูว่าช่วงนั้นมีเทศกาลหรืออีเวนต์อะไรไหม จะได้รู้สึกว่าคุ้ม ไปทั้งทีแล้วอยากเห็นวัฒนธรรมของเขาจริง ๆ ทริปนั้นคือไปนิวยอร์กก่อน แล้วต่อคิวบา ปิดท้ายที่เม็กซิโก โชคดีมากที่ตรงกับเทศกาลนี้พอดี แล้วก็อยู่ยาวเกินเทศกาลไปหน่อยด้วย”
จี๊ป–ภาสินี: “ตอนนั้นได้ไปดูมวยปล้ำ ไปเดินตลาดงานคราฟต์หลายวันอยู่ เพราะเป็นคนชอบของกระจุกกระจิกอยู่แล้ว ไปพิพิธภัณฑ์ของ Frida Kahlo ด้วย ซึ่งเป็นศิลปินที่ชอบมาก ไปเกาะตุ๊กตาผี แล้วก็ไปตลาด Sonora Market ที่เป็นตลาดไสยศาสตร์ของที่นั่น
“หลายคนก็ถามว่า มึงไปทำไม (หัวเราะ) แต่พี่รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี เข้าไปแล้วบรรยากาศมันคล้ายสำเพ็ง แต่จะมีของพวกสมุนไพร กะโหลกสัตว์ เทียนรูปซาตาน มีกลิ่นเฮิร์บลอยอยู่ทั่ว มีบทสวดเปิดลำโพงอยู่ข้างทาง หลอนดี แต่เจ๋งมาก มีขายสเปรย์กระป๋องที่ฉีดแล้วจะรวยขึ้นห้าเท่า มีขายสบู่ที่ช่วยไม่ให้คนมานินทาเรา มีเทียนรูปซาตานที่ไว้สาปแช่งคน จริง ๆ บางอย่างพี่ก็ไม่กล้าซื้อนะ น่ากลัวเกินไป แต่ไปสะดุดตา เพราะแพคเกจจิ้งก่อนว่า มันมีความวินเทจ น่ารักมาก”
จี๊ป–ภาสินี: “ที่แปลกคือ เม็กซิโกมันไกลจากบ้านเรามาก แต่บางอย่างกลับคล้ายกัน เช่น บางย่านที่นั่งรถผ่านคือเหมือนประตูน้ำเลย หรืออาหารที่รสจัดจ้านคล้ายของบ้านเรา เหมือนมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมกันได้โดยไม่รู้ตัว”
แสตมป์–สิโสภา: “ตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ที่พี่จี๊ปเขียน แตมป์สนุกมากเลย จนอยากไปเม็กซิโกตาม พออ่านไปก็รู้สึกว่า ถ้าของในเล่มพวกนี้มันได้กลายเป็นของจริง ขนาดจริงอยู่ในร้าน TUBA มันต้องสนุกมากแน่ ๆ”
📌 การทำงานร่วมกันระหว่างศิลปินและบาร์
จี๊ป–ภาสินี: “ตอนแรกที่ทีม TUBA ติดต่อมานะคะ จริง ๆ พี่เคยเห็นงานของน้องออย (give.me.museums) ที่เคยจัดที่ TUBA อยู่แล้ว ตอนนั้นก็มีโอกาสได้มาทานข้าวที่ร้านอยู่บ้าง ก็รู้สึกว่า น่ารักมากเลยค่ะ แล้วโปรเจกต์นี้ก็ดูน่าสนุก เพราะเป็นสิ่งที่พี่ยังไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตเลย คือเรื่องที่เกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม หรือขนมอะไรแบบนี้ แล้วมันก็เป็นหัวข้อที่ไม่ไกลตัวเราเลย เพราะเป็นสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว แล้วเราก็เอ็นจอยกับมัน อินกับมันอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าน่าสนใจดีค่ะ
“ซึ่งตอนแรกที่ทางทีมบอกว่าจะให้คอลแลบพวกอาหารด้วย พี่ก็รีบบอกก่อนเลยว่า พี่ทำอาหารไม่เป็นนะคะบอกก่อน ได้แค่ความสวยงามอย่างเดียว (หัวเราะ) แต่ว่าเรื่องเรื่องรสชาติหรือส่วนผสม TUBA เขาเก่ง เขาทำ อร่อยอยู่แล้วก็เลยโอเค เราก็ต้องพึ่งพาเขา”
จี๊ป–ภาสินี: “จริง ๆ โปรเจกต์นี้เริ่มจากการสเก็ตช์ก่อนว่า อยากให้แต่ละโซนของร้านออกมาเป็นยังไง ตอนมาครั้งแรก ร้านยังไม่ได้ตกแต่งในธีมของเราเลย ก็จะเป็นของตกแต่งเดิมของร้าน ซึ่งของของเขาเยอะและน่ารักอยู่แล้ว สิ่งแรกที่พี่กังวลคือ เราจะทำยังไงให้งานของเราที่เข้าไปอยู่ในแต่ละโซนนั้นโดดเด่นขึ้นมา โดยไม่ถูกกลืนไปกับของตกแต่งเดิมของร้าน
“เราก็ต้องหาวิธีทำให้แต่ละโซนมีความพิเศษขึ้นมา ทำให้ลูกค้ากลับมาแล้วรู้สึกเหมือนได้เจอร้านใหม่ หรือมีกิจกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ นั่นคือโจทย์แรกที่พี่คิดตั้งแต่ตอนมาสำรวจร้านเลย
“อีกอย่างที่คิดควบคู่กันคือ การหยิบองค์ประกอบจากในหนังสือมาใช้ ว่าคาแรกเตอร์ไหนจะเป็นตัวหลัก ตัวรอง หรือส่วนไหนที่เอามาประกอบตกแต่งได้บ้าง เพื่อให้แต่ละโซนเชื่อมโยงกับเรื่องราวในหนังสือ”
แสตมป์–สิโสภา: “หลัก ๆ คือพี่จี๊ปจะเป็นคนออกแบบวิชวลค่ะ เขาก็จะบอกว่า อยากได้หน้าตาประมาณนี้ แล้วทางเราก็จะทำให้หน้าตาคล้ายเคียงกับสิ่งที่พี่จี๊ปบอกที่สุด เราก็ฟีดแบ็กกันว่าประมาณนี้ดีไหม ให้พี่จี๊ปดูแล้วชิมรสชาติ ฟีดแบ็กกันว่า โอเคแล้วหรือยัง ต้องปรับแก้ตรงไหน หรือมีอะไรที่เพิ่มได้ไหม
“อย่างตัวพาสต้า ฝั่ง TUBA ก็จะมีพาสต้าสีดำอยู่แล้ว เราก็ปรับให้เป็นเหมือนสุสาน มีป้าย RIP แต่เราเปลี่ยนให้เป็น Rest in Pasta แทน ส่วนเมนูอื่น ๆ พี่จี๊ปก็แนะนำว่าอยากได้ทาโก้และอาหารเม็กซิกัน ทาง TUBA ก็ปรับตัวชิปที่ใช้จิ้มกัวกาโมเลให้เป็นองค์ประกอบจากหนังสือของจี๊ป ก็คือจะมีทั้งตัวรูปหน้าพี่จี๊ปเอง และตัวโครงกระดูก”
จี๊ป–ภาสินี: “เหมือนว่าทางแสตมป์และ TUBA เข้าใจงานเราอยู่แล้ว เขาก็ช่วยคิดต่อได้ จริง ๆ รายละเอียดเยอะมาก กราฟิก ชื่อเมนู หน้าตาอาหาร ส่วนผสม ต่าง ๆ แต่เขาก็ต่อยอดไปได้เร็ว แล้วก็ไม่ได้ผิดจากงานของเรา
“ซึ่งเราแฮปปี้มากที่ทุกอย่างออกมาเหมือนสเก็ตช์เป๊ะเลย เพราะจริง ๆ เราสเก็ตช์ไว้แค่แบบง่าย ๆ เลย แปะภาพในโฟโต้ชอปคร่าว ๆ แต่พอทีม TUBA ทำจริงออกมา มันเหมือนรูปที่เราวาดในหนังสือเลย ดีใจที่ภาพแบน ๆ มันกลายมาเป็นของจริงที่มีชีวิตขึ้นมาในร้านนี้ เหมือนเรายกบรรยากาศตอนอยู่เม็กซิโกมาไว้ใน TUBA เลย”
“ซึ่งจริง ๆ งานครั้งนี้ทำให้เราได้กลุ่มลูกค้าใหม่เยอะขึ้นนะคะ เพราะเมื่อก่อนคนจะรู้จัก TUBA ในภาพของบาร์กลางคืน แต่พอเราทำคอลแลบกับศิลปินและมีกิจกรรมช่วงกลางวันมากขึ้น ลูกค้าก็เริ่มรู้ว่าเรามีเปิดกลางวันด้วย เราตั้งใจให้ร้านมีความไลฟ์ลี่ในตอนกลางวันมากขึ้น เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้ามาได้ ทั้งวัยรุ่น ครอบครัว หรือคนที่มีสัตว์เลี้ยง เพราะร้านเราเป็น pet-friendly และยังมีจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ครอบครัวหรือคนทั่วไปเข้ามาใช้พื้นที่ร่วมกันได้ด้วย อยากให้ TUBA เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้ามาได้ในบรรยากาศสบาย ๆ ค่ะ
“อย่างที่พี่แตมป์บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ไอเดียหลักของเราคืออยากสนับสนุนศิลปิน ทาง TUBA ก็เลยตั้งเป้าว่า ทุกปีจะมีคอลแลบสักหนึ่งโปรเจกต์ เพื่อให้ฐานลูกค้ารู้สึกว่ามีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นในร้านตลอดเวลา แล้วก็ช่วยดึงลูกค้าใหม่เข้ามาด้วย ทำให้ร้านไม่จำเจ ลูกค้าไม่เบื่อ ถึงวันนี้ผ่านมา 20 ปีแล้ว TUBA ก็ยังอยากมีอะไรให้คนตื่นเต้นอยู่เสมอค่ะ”




