“นิทรรศการนี้ชวนสำรวจภาวะ ‘การมีชีวิตอยู่’ ในบริบทของสังคมไทยที่ความไม่แน่นอนไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่กลายเป็นสภาพปกติที่ฝังลึกในทุกมิติ”
ประโยคหนึ่งใน Statement ของนิทรรศการ ‘We Will Pass Away Together: The Thai Art of Surreal Survival’ สะดุดตาทุกครั้งที่ได้เห็น เพราะนอกจากจะสะท้อนสภาวะร่วมของยุคสมัยได้อย่างแม่นยำแล้ว ยังทำให้เราต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เราจะเอาชีวิตรอดในสังคมไทยที่เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
คำตอบอาจไม่จำเป็นต้องชัดเจน แต่หากจะบรรยายความรู้สึกต่อสถานการณ์ปัจจุบัน “ความเจ็บปวด” และ “ความโกรธแค้น” ก็คงเป็นถ้อยคำที่ใกล้เคียงที่สุด เช่นเดียวกับผลงานของ Artsaveworld หรือ พิมพ์ - วธูสิริ จันสิน และ รุ้ง - นภัสกร นิกรแสน หรือ Anxiety Storage สองศิลปินที่ต่างพยายามหาทางเอาตัวรอดจากความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง จนกลายเป็นศิลปะ “แบบไทย ๆ” ที่ชวนให้เราหัวเราะได้ทั้งน้ำตา
Anxiety Storage มักเล่าความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ผ่านสิ่งของที่ “ไม่ฟังก์ชัน” อย่างในโปรเจกต์ Error Objects ซึ่งเธอสำรวจความบกพร่องของมนุษย์ผ่านวัตถุที่ดูใช้การไม่ได้ แต่กลับเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่เข้าใจได้ทันทีที่มองเห็น
ขณะที่ Artsaveworld ใช้องค์ประกอบทางวัฒนธรรมไทยเป็นแกนในการสร้างสรรค์ ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราคุ้นเคยในวิถีชีวิตไทยทั้งอดีตและปัจจุบัน แต่ภายใต้ภาพที่ดูคุ้นตานั้น กลับซ่อนการตั้งคำถามและการวิพากษ์ต่อสิ่งที่ฝังรากอยู่ในสังคมไทยอย่างแยบคาย
ดังนั้น We Will Pass Away Together จึงไม่ใช่แค่การสะท้อนประเด็นสังคมหรือการเมือง แต่ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้คนที่กำลังเผชิญสภาวะเดียวกันได้สนทนาผ่านงานศิลปะอย่าง ‘หมาเชอร์รี่ติดท่อประปา’ และ ‘TOILET CUBE AND THE MYSTERIOUS BUGS’ ที่จัดแสดงอยู่ใน MMAD MASS GALLERY ขณะนี้ งานเหล่านี้จึงไม่ได้เป็นเพียงผลงานของสองศิลปินเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนบันทึกของยุคสมัยที่เราทุกคนต่างมีส่วนอยู่ในนั้น
GROUNDCONTROL จึงชวน Anxiety Storage, Artsaveworld และ ‘กานต์-กฤษฏิญา ไชยศรี’ ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการนี้ มาพูดคุยเกี่ยวกับนิทรรศการ We Will Pass Away Together: The Thai Art of Surreal Survival ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของนิทรรศการ ไปจนถึงการสำรวจมีม (Meme) ในฐานะเครื่องมือสะท้อนสังคมและความเป็นไทย
จุดเริ่มต้นนิทรรศการ
ปัจจุบัน มีมได้กลายเป็นเสมือนอีกหนึ่งปัจจัยสี่ของผู้คนในยุคอินเทอร์เน็ต เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของความตลกหรือความขำขันอีกต่อไป แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สะท้อนภาพสังคมที่เราทุกคนต้องเผชิญโดยไม่ทันตั้งตัว และด้วยพลังของมันเอง มีมจึงกลายเป็นจุดตั้งต้นของนิทรรศการครั้งนี้
“จุดเริ่มต้นมันมาจากที่กานต์ชวนเราสองคนมาทำงานศิลปะที่เริ่มจากมีม โดยมีเรากับรุ้ง เพราะกานต์มองว่าเราสองคนมีความคลิกกัน ทั้งในเรื่องความกะโหลกกะลาและความตลกบางอย่าง ตอนแรกเราก็เครียดนะ ว่าจะเอามีมตลก ๆ มาทำเป็นงานศิลปะได้ยังไง นึกภาพไม่ออกเลย แต่พอเริ่มทำ มันก็ค่อย ๆ ได้แรงบันดาลใจจากความตลกนี่แหละ คือความรู้สึกแบบอยากทำอะไรก็ทำได้ แค่จับสิ่งต่าง ๆ มาร้อยเรียงใหม่ให้กลายเป็นเรื่องของเราเท่านั้นเอง” Artsaveworld เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการร่วมงานในนิทรรศการนี้
Anxiety Storage เสริม “ตอนแรกพี่กานต์ทักมาชวน ว่าสนใจมาทำ Duo Exhibition ด้วยกันไหม คู่กับพี่พิมพ์ เราก็ตอบตกลง เพราะจริง ๆ เคยเจอกันแล้วตอนเรียนศิลปากร แต่ไม่เคยคุยกันเลย ต่างคนต่างหน้าหยิ่งกันนิดหน่อย”
เธอยังเล่าต่อว่า “รุ้งเป็นคนที่ถ้าไม่ได้หัวเราะกับมีมก่อนนอน คืนนั้นจะนอนไม่หลับเลย พอได้มาทำงานนี้เลยรู้สึกว่า เออ มันอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด เพราะเราสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่ แค่เพิ่มความเป็นไทยเข้าไปอีกนิด เพราะงานก่อน ๆ เราจะพยายามให้มันดู Global หน่อย แต่พองานนี้มันกลับมาเป็นอะไรที่ดูไทย ๆ มากขึ้น มันเลยยิ่งสนุก เหมือนเรากำลังเล่นอยู่กับของที่คุ้นเคย”
นอกจาก มีม และความตลกที่เป็นจุดร่วมระหว่างศิลปินทั้งสอง กานต์ ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการนี้ ยังมองว่าทั้ง Anxiety Storage และ Artsaveworld มีแนวคิดที่สอดคล้องกัน และสามารถถ่ายทอดแนวคิดของ “Liminal Space” ออกมาให้ผู้ชมรู้สึกและเข้าใจผ่านงานศิลปะได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งคอนเซปต์สำคัญในนิทรรศการนี้
“งานของทั้งคู่มันเหมือนไดอารี่ที่อยู่ในหัวเรามานานแล้ว สําหรับเรางานพิมพ์กับรุ้งอ่ะ มันคือเรื่องนี้เลย” กานต์เล่าต่อ “แต่ความท้าทายคือเราจะทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นภาพได้อย่างไร เราเลยพยายามหาคำหรือแนวคิดที่อธิบายสิ่งนี้โดยไม่ต้องอธิบายมาก จนมาพบกับคำว่า Liminal Space ซึ่งจริง ๆ เราก็สนใจมันอยู่แล้วตั้งแต่แรก ”
กานต์อธิบายเพิ่มเติมว่า “Liminal Space พูดถึงพื้นที่ที่อยู่ตรงกลาง พื้นที่ที่เราไม่สามารถไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้ เหมือนกำลังติดอยู่ระหว่างทาง อีกอย่างมันยังสะท้อนถึงสิ่งที่เคยมีฟังก์ชันมาก่อน แต่ตอนนี้กลับไม่ทำงานแล้ว ทว่าเราก็ยังต้องอยู่ร่วมกับมัน และพอคิดลึกลงไปอีก เราก็พบว่า...เฮ้ย นี่มันเหมือนสังคมไทยเลยนี่นา”
“เรารู้สึกว่านี่แหละคือความเป็นไทย ความพยายามที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่กลับไม่ไปไหนสักที เราเลยอยากหยิบองค์ประกอบของ Liminal Space มาใช้ในพื้นที่ของนิทรรศการ เพื่อให้คนที่เข้ามาดูรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่กลับไม่คุ้นเลย เหมือนสิ่งเดิมถูกจัดวางใหม่ในมุมที่เราไม่เคยมองมาก่อน”
ความหมายของ “We Will Pass Away Together”
“จริง ๆ เราจะตายไปด้วยกันเลยก็ได้นะ” Anxiety Storage ขยายความต่อว่า “หมายถึง รุ้งรู้สึกว่าคำว่า Pass Away มันก็คือการสิ้นชีพเนอะ แต่โดยส่วนตัวรุ้งไม่ได้มองว่าความตายมันน่ากลัวขนาดนั้น รุ้งพูดถึงมัน คิดถึงมันแทบทุกวัน เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ตายอยู่ดี แต่ถ้าระหว่างทางนั้นเรายังหัวเราะกับมันได้ แล้วทำไมจะไม่ล่ะ?”
“รุ้งมองว่าคำนี้มันเป็นเหมือนภาพแทนของประเทศไทยเลยนะ ทั้งปัญหา ทั้งระบบบางอย่างในประเทศนี้ คือครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้คือช่วงโควิด ตอนนั้นสถานการณ์มันสิ้นหวังมาก แล้วคำนี้มันอธิบายทุกอย่างได้หมด มันสะท้อนหลายมิติมาก โดยเฉพาะกับชนชั้นกลางอย่างเราที่เข้าใจบริบทของประโยคนี้ดี คำ ๆ นี้มันเสียดสีระบบหลายอย่างเลย ทั้งเรื่องการศึกษา ไปจนถึงสาธารณูปโภค หรือโครงสร้างที่เราต้องอยู่ร่วมด้วยทุกวัน ถ้ามองลึกลงไปในงานที่จัดแสดงในนิทรรศการนี้ ก็จะเห็นภาพสะท้อนของสิ่งเหล่านั้นได้ไม่ยากเลย”
คำพูดของ Anxiety Storage ทำให้เราเห็นมิติใหม่ของชื่อ We Will Pass Away Together มากขึ้น ซึ่งหากแปลตรงตัวก็หมายถึง “เราจะตายไปด้วยกัน” แต่ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อวางอยู่ในบริบทของผู้คนที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในระบบที่ไม่เอื้อให้รอด คำนี้กลับกลายเป็นประโยคปลอบใจที่อบอุ่นและจริงใจ ว่า “เราอาจไม่รู้จะรอดยังไง but at least, we’re in this together นะ” มันจึงไม่ใช่คำชวนให้ยอมจำนน แต่คือคำประกาศว่า เราจะอยู่รอดไปด้วยกัน
“เราว่ามันคือการอยู่รอดในระบบที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้แหละ” Artsaveworld เสริมขึ้น “มันเลยกลายเป็นเหมือนวิธีเอาตัวรอดแบบหนึ่ง ที่เราใช้รับมือกับสิ่งรอบตัว”
กานต์อธิบายต่อว่า “เรารู้สึกว่าคนในเจนฯ เราจะเข้าใจคำนี้ได้ทันที แต่ถ้าเป็นคนรุ่นก่อน ๆ เขาอาจจะไม่เข้าใจ เพราะมันกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมของรุ่นเราไปแล้ว อย่างเวลาที่เราบ่นว่า ‘อยากตาย’ ทั้งที่จริง ๆ ไม่ได้อยากตาย มันคือการพูดขำ ๆ เพื่อให้ตัวเองอยู่กับความสิ้นหวังได้ เพราะถ้าเราไม่ทำให้มันตลก เราอาจจะอยู่กับมันไม่ได้จริง ๆ ก็ได้ หรือไม่แน่ เราอาจจะตายจริง ๆ ก็ได้ นึกออกไหม”
สำหรับทั้งสามคน วลี We Will Pass Away Together จึงไม่ใช่คำพูดเศร้าหมอง หากแต่เป็นการกอดปลอบใจกันอย่างเข้าใจ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน จะหัวเราะ จะร้องไห้ หรือจะเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม
Thai Core: มีมและศิลปะแบบไทย ๆ
“มีมมันเป็นเหมือนภาษารูปแบบหนึ่ง ที่ถูกนำไปครอบไว้ใน Object อีกที เช่นหมาหน้าเซเว่น คือถ้าภาพที่คนเห็นทั่วไปมันก็ดูตลกใช่ไหม แต่ถ้าตั้งใจดูจริง ๆ จะพบว่าหมาหน้าเซเว่นมันสามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่างมากนะ หนึ่งคือเรื่องของการจัดการปัญหาหมาจรจัดหรือระบบการทำงานของเทศบาลในพื้นที่นั้น ๆ แล้วหากมองลึกลงไปอีกก็จะพบว่าหมาหน้าเซเว่นมันมีแค่ที่ไทยนะ ประเทศที่เจริญแล้วเราจะเจอมันน้อยมาก เพราะเขาก็จัดการอะไรให้มันเรียบร้อย มีมมันเลยเป็นเหมือนสิ่งที่สะท้อนปัญหาขึ้นมาอีกทีนึง”
คำอธิบายของกานต์เปิดประตูให้เราเห็นมิติใหม่ของมีม ในฐานะสัญญะที่มากกว่าแค่ความตลก แต่มันคือ “ภาษา” ภาษาที่คนรุ่นนี้ใช้พูดถึงความบกพร่องในชีวิตประจำวัน ผ่านอารมณ์ขันที่ซ้อนความเศร้าและการยอมรับอยู่ในที
ต่างจากมีมในโลกตะวันตกที่มักเน้นการล้อเลียนหรือวิพากษ์ในระดับวัฒนธรรมป็อป มีมแบบไทยกลับมีความ อินเนอร์ ที่ตรงไปตรงมา ราวกับเป็นเสียงหัวเราะที่กลั่นมาจากความเหนื่อยหน่ายโดยตรง “เราว่ามันคือความเป็นไทย ในความที่ไม่ได้ดัดแปลงใด ๆ เลย คือมันออกมาจากอินเนอร์จริง ๆ รู้สึกยังไงก็คืออย่างงั้น” Artsaveworld เสริม
สิ่งที่น่าสนใจคือ คำว่า “Thai Core” คำที่ไม่ได้ถูกนิยามโดยคนไทย แต่กลับเป็นชาวต่างชาติที่ตั้งชื่อให้กับภาพจำบางอย่างของไทย เช่น ภาพหมาลอยตามน้ำตอนน้ำท่วม หรือภาพคนไทยนั่งกินเบียร์ริมถนนในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา “มันดังมาก ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ยกตัวอย่างช่วงนึงที่เราจะเห็นคลิปช่วงน้ำท่วม แล้วมีหมานั่งบนฟูกลอยตามน้ำมา หรือภาพของคนนั่งกินเบียร์ ขาจุ่มน้ำ โดยไม่ทุกข์ไม่ร้อน ซึ่งถ้าสังเกตดูทั้งหมดอ่ะ มันคือการสะท้อนความไม่ฟังก์ชั่นของการบริหารบ้านเมืองทั้งหมดเลยนะ”
Thai Core จึงไม่ใช่เพียงมีม แต่มันคือกลไกของการอยู่รอดในระบบที่ไม่ฟังก์ชัน “สิ่งนี้มันเลยเป็นเหมือนการทำเป็นตลก เพื่อให้เราสามารถอยู่กับระบบที่มันไม่ฟังก์ชันได้ Thai Core มันเลยเป็นเหมือนกับการเล่นกับระบบของไทย ระบบของราชการที่มันห่วย ระบบของรัฐบาลที่ไม่สามารถทำอะไรได้เนี่ยแหละ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เราเอาตัวรอดได้ ไม่งั้นน้ําท่วมถ้าเราไม่เอาหมาไปลอยน้ำ ไม่นั่งกินเบียร์ มัวแต่หดหู่ เราไม่เครียดตายเลยหรอวะ”
Anxiety Storage ขยายความต่อว่า “รุ้งมองว่ามันเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ มันเป็นเหมือนภาพเขียนบนถ้ำในสมัยนี้อ่ะ ไม่งั้นคนสมัยเราจะมานั่งหาความหมายของภาพวาดบนฝาผนังถ้ําหรือบนฝาผนังวัด ว่าทำไมคนสมัยนั้นเขาถึงวาดอะไรแบบนี้ ถ้าเกิดว่าคนในอนาคตอยากจะรู้ว่ายุคนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีมนี่แหละจะเป็นสิ่งที่บันทึกสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ คือมันอาจจะไม่ต้องขําก็ได้ แต่แค่รู้ว่าคนเราเนี่ย ผ่านอะไรและเจออะไรมาบ้าง แค่นั้นมันก็พอแล้ว”
“มีมมันเป็นเหมือนศิลปะสมัยใหม่ ที่ทุกคนสามารถทำได้ เราสามารถทำได้ รุ้งก็สามารถทำได้ โดยที่ไม่ต้องใช้พู่กันหรือสีอะไรที่มันเป็นระบบเดิมของศิลปะเลย” Artsaveworld เสริม
หากย้อนกลับไปที่แนวคิด We Will Pass Away Together วลีที่เคยเป็นทั้งมุกตลกและคำปลอบใจในยุคโควิด เราอาจเห็นความเชื่อมโยงระหว่างสองสิ่งนี้ชัดขึ้น มีมไทยไม่ได้มีอยู่เพื่อหัวเราะเท่านั้น แต่มันคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เพราะในท้ายที่สุดแล้วการหัวเราะอาจไม่ใช่การหลีกหนีความจริง แต่มันคือการเผชิญหน้ากับมันด้วยวิธีที่คนไทยถนัดที่สุด ทำให้มันตลกก่อน เพื่อจะอยู่ต่อให้ได้อีกวันหนึ่ง
นิทรรศการ ‘We Will Pass Away Together: The Thai Art of Surreal Survival’ โดย Anxiety Storage และ Artsaveworld กำลังจัดแสดงที่ MMAD MASS GALLERY ตั้งแต่วันนี้ - 16 พฤศจิกายน 2025




