มนธิการ์ - พวงสร้อย - เพ็ญจันทร์ บทสนทนาริมน้ำกับสามศิลปินสาวจาก Ghost2568 ว่าด้วยพิธีกรรม ผัสสะ เพื่อนร่วมทาง (และผี)

Post on 3 November 2025

ลองจินตนาการดูว่าวรรณคดีกวีโบราณ แท้จริงแล้วคือเครื่องมือทางการเมือง ที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองด้วยความกลัวมาจนถึงปัจจุบัน…

ถ้าแม่น้ำที่เราเห็นทุกวัน เก็บความตาย ความทุกข์ และความหวัง ซึ่งเข้าถึงได้ด้วยประสาทสัมผัสเฉพาะตัว…

ถ้าชีวิตเป็นมากกว่าสองฝั่งแม่น้ำ แต่คือการไหลไปร่วมกัน ระหว่างอดีต ปัจจุบัน อนาคต กับผู้คนที่รัก และสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่จำกัดแค่มนุษย์...

ทั้งหมดนี้คือแนวคิดที่แฝงอยู่ในงานศิลปะของสามศิลปินสาวในเทศกาลศิลปะวิดีโอและการแสดงสด “Ghost 2568: Wish We Were Here” อย่างมนธิการ์ คำออน, จัน เพ็ญจันทร์ ลาซูส และ พวงสร้อย อักษรสว่าง โดยปีนี้ ปีนี้ พวกเธอทำงานคู่ขนานกับสายน้ำ “เคลื่อนไปขนานกับเส้นทางของแม่น้ำเจ้าพระยา และสำรวจสายสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และกับโลกที่เราใฝ่ฝันจะอยู่ร่วมกัน” ดังถ้อยแถลงของเทศกาล

หลังจากสร้างปรากฏการณ์ให้ผู้คนมากมายทั่วโลกหันมาสนใจงานศิลปะที่ทำงานกับ “เวลา” และทำให้แนวคิดเกี่ยวกับภูติผีเป็นประเด็นสนทนาถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่งานสองครั้งก่อนหน้าที่ผ่านมา Ghost 2568: Wish We Were Here ปีนี้คือการรวมตัวครั้งสุดท้ายของศิลปินระดับโลกมากมายที่ทำงานศิลปะในรูปแบบวิดีโอหรือการแสดงสด ซึ่งแฝงตัวอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ตามเหล่าพื้นที่ศิลปะที่คุ้นเคยกันดี และในจุดเกือบลับที่พาเราไปค้นหาแง่มุมใหม่ ๆ ของเมือง

ที่อาคารเก่าแก่ ‘บ้านเทเวศร์’ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มนธิการ์ คำออน กระทำการ ‘ผิดผี’ ผ่านงานศิลปะ เธอมองว่าภาพยนตร์ การแสดง และพิธีกรรม เป็นสิ่งเดียวกัน ผลงานของเธอเป็นร่างเงาที่มองเห็นได้จากนอกบ้าน และเป็นภาพเคลื่อนไหวจัดวาง รายล้อมด้วยแสง ลม และเสียงจากทั้งในและนอกอาคาร

“เราสนใจคำว่า ‘ผิดผี’ ว่าผิดต่อผีไหน ในร้อยกรองโบราณที่เขาว่ากันว่า ‘ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร’ แสดงว่าผีเองก็ยังมีหลายแบบ การผิดผีจึงเป็นเรื่องของอำนาจ คือความกลัว คือการเมือง… เรากำลังกลัวใครอยู่ กลัวอำนาจอะไรอยู่ แล้วถ้าเราลองเผชิญหน้า เรากล้าที่จะกระทำการ (act) เพื่อผิดผี เราจะสามารถทวงคืนอิสรภาพในการเชื่อหรือการคิดของเรากลับคืนมาได้ไหม…”

“เราพัฒนาแนวคิด Post-tropical cinema ขึ้นมา เพราะอยากรู้ว่าถ้าเราตั้งต้นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ต่างจากยุโรป เราจะสามารถหาสื่อ ภาษา หรือชีวิตที่มีศักยภาพในการปฏิบัติการด้วยตัวเองได้ไหม เรารู้สึกว่าแสง อากาศ และทุกอย่างมีจังหวะของเรา แล้วเราจะหาวิธีอยู่ที่นี่โดยใช้ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือคิดข้ามภาษาพูดไปเลยได้หรือไม่”

จากโลกใต้พื้นผิวน้ำเจ้าพระยา จัน เพ็ญจันทร์ ลาซูส พาประสบการณ์ ‘ดำดิ่ง’ (ในความหมายตรงตัว) ของนักประดาน้ำผู้มีประสาทสัมผัสเฉพาะตัว มาปะทะกับร่างกายและการรับรู้ของเรา ผลงาน a jewel in the mud หรือ ‘ดอกน้ำ ฟองทราย’ ที่ 469 ถนนพระสุเมรุ บอกเราว่า ใต้น้ำไม่ได้มีแค่วัตถุ แต่ยังมีตัวตนอีกรูปแบบหนึ่งที่เราไม่เคยสัมผัสอยู่ด้วย

“เราสนใจว่าสภาพแวดล้อมเฉพาะเจาะจงแต่ละที่หล่อหลอมผัสสะ (sense) ของเราอย่างไร มันสร้างวิธีที่เรารับรู้โลก และสิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อจินตนาการและวิธีคิดของเราอย่างไร”

“ในงาน a jewel in the mud เราสนใจนักประดาน้ำที่ลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อหาของมีค่ามาขาย สำหรับเรา เขายอมให้ร่างกายเผชิญอันตรายต่าง ๆ ทั้งความเชี่ยวของน้ำ มลพิษ หรือสิ่งที่จะบาดตัว และยังต้องอยู่ในความมืด เพราะแม่น้ำเจ้าพระยา แค่ดำลงไปนิดเดียว เราก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว”

เปรียบเปรยกันไปกับแม่น้ำที่ ‘ไหลรวม’ การแสดงสด As Shore, As Dream หรือ ‘เป็นฝั่ง เป็นฝัน’ โดย พวงสร้อย อักษรสว่าง สำรวจคำว่า ‘ฝั่งฝัน’ ในเชิงใคร่ครวญ ดังชื่อเทศกาลปีนี้ ‘หากเราได้อยู่ด้วยกัน’ เธอสร้างพื้นที่ให้กับสายสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ในสายน้ำ

“แม่น้ำมีประวัติศาสตร์ส่วนตัวและส่วนรวมอยู่มาก เช่น การลอยอังคารเพื่อนึกถึงคนที่จากไป และแม่น้ำก็มีประวัติศาสตร์การเมือง เป็นที่ฝัง ที่ทิ้ง ที่ทำลาย... ทั้งหมดนี้แม่น้ำรับรู้หมด”

“งานนี้เริ่มจาก ‘คน’ ก่อนอยากทำงานกับคน มากกว่าจะเริ่มด้วยเรื่องเล่าที่เฉพาะ การที่เราชักชวนใครบางคน แล้วเขา ทำ เราว่าสิ่งนี้น่าประทับใจ บางทีการได้มาอยู่ด้วยกัน ถึงเราอาจไม่รู้หรอกว่าจะอยู่ด้วยกันแบบไหน แต่ปลายทางคือ ‘เราจะมาอยู่ด้วยกัน’ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ความพิเศษคือทุกคนตอบรับที่จะมาอยู่ด้วยกันในวันนั้น แม้นักแสดงที่เคยร่วมงานกับเราก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดหรือแสดงอะไร แต่เพียงแค่อยากให้คนเหล่านี้มาอยู่ร่วม เป็นพลังงานที่ดีด้วยกัน”

5 สัปดาห์เต็มของเทศกาล Ghost 2568 ไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่องผีเพื่อสอนให้ผู้ชมรู้ว่าควรกลัวอะไร แต่คือการรวมตัวให้ ‘เรา’ (ที่ไม่ได้หมายถึงแค่มนุษย์) ได้ ‘อยู่ด้วยกัน’ (ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ในเวลาปัจจุบัน)
ผลงานของศิลปินทั้งสามเป็นตัวอย่างจากอีกหลายชิ้นภายในเทศกาล ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าชวนตื่นตาและตระหนักถึง ‘ชีวิตจริง’ ที่เราอาจเพิ่งรู้สึกหลังชมงาน แม้จะสัมผัสทุกอย่างมาตลอดก็ตาม

“ย้อนไปตั้งแต่ปี 2561 (ที่งาน Ghost จัดครั้งแรก) เรารู้สึกตื่นเต้นและแปลกประหลาดมาก เพราะตอนนั้นสื่อศิลปะภาพเคลื่อนไหวและการแสดงสดยังไม่เป็นที่รู้จักขนาดนี้ และมันทำให้เราเปิดโลกมาก ว่าทำแบบนี้ก็ได้” มนธิการ์เล่า “เรามองว่าปีนี้อามาล คาลาฟคัดสรรงานได้ค่อนข้างเป็นการเมืองนะ แต่เป็นการเมืองที่ต้องค่อย ๆ กะเทาะไปในชั้นต่าง ๆ ที่ซ้อนกัน เหมือนกับการดำลงไปในแม่น้ำ แล้วค่อยเจอสิ่งที่กำลังมองหา”

มนธิการ์ คำออน: ศิลปะกับการหา ‘เวลา’ ของเราเอง

“สำหรับเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพยนตร์ การแสดง และพิธีกรรม คือสิ่งเดียวกัน”

“ก่อนหน้านี้เราทำงานในรูปแบบวิดีโอ และรู้สึกว่าการแสดงสดเป็นคนละอย่างกัน จนกระทั่งได้ทำงานศิลปะที่ประตูเมืองเก่า(ประตูผี)ที่พิมาย และด้วยสถานที่นั้นเองทำให้เราต้องการสื่อสารกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เราเลยพยายามรวมสามสิ่งนี้เข้าด้วยกันเพื่อหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ แล้วมันพาเราไปพ้นจากภาษาพูดธรรมดาที่เราใช้กันได้”

“เราเห็นซากต้นไม้ใหญ่โดนฟ้าผ่า ชาวบ้านเขาก็เชื่อกันว่าเกิดจากการผิดผี เพราะมีการพยายามจัดงานแสงสีเสียงที่นั่น เป็นการลบหลู่ แต่เราสนใจถึงการพูดว่า “ผิดผี” นี้ ว่าคือผิดต่อผีไหน เหมือนในร้อยกรองโบราณ ที่เขาว่ากันว่า “ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร” แสดงว่าผีเองก็ยังมีหลายแบบ การผิดผีเองก็เป็นเรื่องของอำนาจ คือความกลัว คือการเมือง… เรากำลังกลัวใครอยู่ กลัวอำนาจอะไรอยู่ แล้วถ้าเราลองเผชิญหน้า เรากล้าที่จะกระทำการ (act) เพื่อผิดผี เราจะสามารถทวงคืนอิสรภาพในการเชื่อหรือการคิดของเรากลับคืนมาได้ไหม ซึ่งเรานำแนวคิดจากตอนนั้นมาพัฒนาต่อในงานนี้ ว่าการผิดผีมันคือการทำพิธีกรรม ซึ่งแปลว่าต้องเปลี่ยนไปตามบริบทเวลาและสถานที่ด้วย เหมือนอย่างที่พิธีสู่ขวัญเองก็ต้องเปลี่ยนไปตามสิ่งที่แต่ละคนเจอมา ไม่ได้มีรูปแบบพิธีอยู่อย่างเดียว”

“เราพยายามตามหาและทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของบ้านเทเวศร์นี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เกาะรัตนโกสินทร์ เราไปเจอลิลิตโองการแช่งน้ำ หนึ่งในวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ซึ่งใช้ในการถวายสัตย์ ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา เป็นการสาบานตนผ่านบทกวีของข้าราชการ ทหาร เมื่อมีการสถาปนากษัตริย์ ซึ่งในนั้นจะมีข้อความที่เราสนใจว่าจะซื่อสัตย์ต่อ “ผู้มีบุญญาธิการ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ความเชื่อแบบนี้ เรื่องเทพผู้มีบุญญาธิการได้รับการยกย่อง และขบวนการเคลื่อนไหวอื่น ๆ ในช่วงเข้าสู่สมัยใหม่ของสยาม ที่ก็เรียกตัวเองว่า “ผู้มีบุญ” เหมือนกัน”

“การผิดผีสำหรับเราจึงคือการไม่โอนอ่อนตามคำสาปแช่ง ไม่ยอมอยู่ใต้ “เวทมนตร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือการปกครองผ่านความกลัว ภาพยนตร์ในความคิดเราเลยเป็นเหมือนปฏิบัติการศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องเล่าที่ทำงานจริงในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นวิถีชีวิต หรือเป็น “การคิดผ่านภูติผี” หรือ Ghost Thinking เหมือนที่ภัณฑารักษ์อมาล คาลาฟ เขียน ซึ่งหมายถึงวิธีการใช้ชีวิตด้วยไม่ใช่หมายถึงสิ่งอื่น แต่คือการคิดถึงความสามารถในการทะลุทะลวงผ่านกาลเวลา การคิดถึงอดีตที่ยังไม่ถูกสะสาง หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง”

“เราพัฒนาไอเดีย ‘Post-tropical cinema’ ขึ้นมา เพราะอยากรู้ว่าถ้าเราตั้งต้นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ต่างจากในยุโรป เราจะสามารถหาสื่อ ภาษา หรือชีวิตที่มีศักยภาพจะปฏิบัติการด้วยตัวเองได้ไหม เรารู้สึกว่าแสง อากาศ และทุกอย่างเรามีจังหวะของเรา แล้วเราจะหาวิธีการอยู่ที่นี่โดยใช้ภาพยนตร์ในการตอบได้อย่างไร เราใช้เครื่องมือทางภาพยนตร์เป็นวิธีการคิดข้ามภาษาพูดไปเลยได้ไหม”

“เราสนใจเรื่องลมเป็นพิเศษ พัฒนามาจากงานในอดีตที่เราฉายหนังผ่านควัน ดังนั้นพอมีลมมา ภาพก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เป็นการทดลองแบบซื่อ ๆ เลย ว่าถ้าเราให้ภาพมันถูกควบคุมไม่ได้จะเป็นอย่างไรบ้าง คนที่อยู่ตรงนั้นก็จะทำความเข้าใจหรือรับสารโดยไม่ได้ผ่านภาพที่ฉายอย่างเดียว แต่มาจากสภาพแวดล้อมทุกอย่างที่ส่งเสริมรวมกันอยู่ตรงนั้น ซึ่งเราอยู่ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ภาพมันต่างกับภาพในตะวันตกอยู่แล้ว”

“ในงาน Afterlives ที่เราสร้างที่นี่จะเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเหมือนวิศวกรฝัน (Dream Engineer) ซึ่งเดินทางไปเจอดาวเคราะห์ที่มีผิวไอโอดีน คือมีชั้นบรรยากาศเป็นหมอกควัน อ้างอิงถึงแนวคิดของ Alexander Kluge นักทฤษฎี และนักทำภาพยนตร์ ซึ่งเสนอว่าถ้ามนุษย์เราเจอดาวเคราะห์ที่มีชั้นบรรยากาศนี้ เราจะสามารถเห็นแสงจากอดีตได้ เพราะเวลาเรามองไปที่ท้องฟ้าเราก็เห็นภาพจากอดีตอยู่แล้ว แสงที่ตกกระทบชั้นบรรยากาศนี้จึงเหมือนจอฉายหนังขนาดใหญ่ในอวกาศ เพียงแค่เราต้องมีกล้องไปส่องมัน… ในทางทฤษฎี”

“ผู้หญิงคนนี้ไปเจอกับดวงดาวนั้น แล้วตั้งคำถามว่าอะไรคือความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ดาวนั้นไม่มีคำตอบ แต่พาไปเจอคนสามคนแทน ซึ่งนางผมหอม ที่อยู่ในผลงาน Prophecy อีกชิ้นที่นี่ด้วย ก็เป็นตัวละครตามนิทานอีสาน ซึ่งเรามาเล่าต่อว่าเวลาผู้หญิงคนนี้หวีผม เขาจะหลับใหลไปในห้วงลึก เข้าสู่ภวังค์ (Trance) เห็นอดีตและอนาคตปะปนกัน เป็นความพยายามจะคิดเกี่ยวกับเวลาใหม่ แบบไม่เป็นเส้นตรง แต่สะเปะสะปะปะปนกัน ไม่ได้เดินตามอดีตหรือเวลาของใคร”

“ที่บ้านเทเวศร์นี้มันก็จะเป็นประสบการณ์ที่เบี่ยงออกไปจาก “ภาษา” ถ้าเป็นไปได้ในห้องจัดแสดงเราจะเปิดประตูและหน้าต่างอยู่ตลอด ให้เราได้รับประสบการณ์ไปพร้อม ๆ กับสภาพแวดล้อมด้วย วันก่อนก็มีฝนตกหนักมาก ฟ้าผ่าจนบ้านสั่น แล้วก็มีผู้ชมคนหนึ่งเล่าเหมือนกันว่ามีลมพัดเข้ามาตรงกับฉากที่ผู้หญิงในงานมีลมเป่าผมขึ้นไปพอดี”

จัน เพ็ญจันทร์ ลาซูส: สิ่งแวดล้อมหล่อหลอมผัสสะ

“แนวคิดของงาน Ghost พูดถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้หรือมองไม่เห็น อาจเป็นสภาวะที่มีอิทธิพลหรืออำนาจบางอย่างในการกำหนดและหล่อหลอมการมองเห็นหรือผัสสะของเรา มันเลยมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับความสนใจของเราอยู่”

“เราสนใจว่าสภาพแวดล้อม (Environment) เฉพาะเจาะจงแต่ละที่ มันหล่อหลอมผัสสะ (Sense) ของเราอย่างไรบ้าง มาสร้างวิธีที่เรารับรู้โลกอย่างไร และสิ่งเหล่านั้นมันมาส่งผลต่อจินตนาการและวิธีคิดของเราอีกทีหนึ่งอย่างไร”

“เราสนใจความสัมพันธ์ระหว่างข้างนอกกับข้างใน (ที่แน่นอนว่ามันไม่ได้แยกจากกันขนาดนั้น หรืออาจไม่ได้แยกจากกันด้วยซ้ำ) ซึ่งวิธีคิดของเรามันก็กลับไปส่งผลต่อภูมิทัศน์ภายนอกด้วย เราเลยสนใจผัสสะในฐานะตัวเชื่อมต่อ (Interface) ระหว่างภายนอกและภายใน ที่ก็ไปเปลี่ยนภายนอกกับภายในเองด้วย”

“ในงาน a jewel in the mud เราสนใจนักประดาน้ำ ที่เขาทำการลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อหาของมีค่าบางอย่าง แล้วเอาไปขายต่อ สำหรับเรา เขาพร้อมที่จะนำร่างกายตัวเองไปเจอกับอะไรที่อันตรายมาก ๆ ในแม่น้ำ ทั้งความเชี่ยวของมัน เรื่องมลพิษ หรือสิ่งที่จะมาบาดตัวได้ และเขาพร้อมจะเข้าไปอยู่ในความมืดอีกด้วย เพราะแม่น้ำเจ้าพระยา แค่ดำลงไปนิดเดียวเราก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว”

“มันอาจจะไม่ใช่คำว่ากล้าหาญ แต่สำหรับเรา ถ้าต้องทำสิ่งนี้เราก็ต้องก้าวข้ามความคิดอะไรบางอย่างค่อนข้างเยอะเหมือนกัน”

“การมองไม่เห็นมันเคลื่อนผัสสะทุกอย่างไปที่ร่างกายของเขา เขารับรู้ผ่านสัมผัส ว่าสิ่งที่เขากำลังจับต้องอยู่คืออะไร หรือสภาพแวดล้อมที่เขากำลังคว้าอยู่ใต้น้ำมันเป็นอย่างไร”

“เรารู้สึกว่าคนที่ทำสิ่งนี้ได้ เขาอาจต้องทำมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วร่างกายเขามันปรับรับมาประมาณหนึ่งแล้ว จากการทำมันเรื่อย ๆ และบางทีมันอาจเป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองด้วยก็ได้… ตัวอุปกรณ์ดำน้ำที่เขาใช้ เขาไม่ให้ข้ามด้วยนะ”

“แม่น้ำเองก็ไม่ได้เป็นแค่แหล่งทรัพยากร มันมีจิตวิญญาณ มีพลังงาน มีสิ่งที่เหนือความเป็นมนุษย์ด้วย เป็นทั้งความตายและการกำเนิด เป็น “เวลา” ที่พัดผ่านไปตลอด เพราะแต่ละครั้งที่เราไปมองแม่น้ำมันก็ไม่เหมือนกัน แต่แม่น้ำก็บรรจุอดีตและปัจจุบันไว้ด้วยเหมือนกัน”

“ใต้น้ำมันไม่ใช่พื้นที่การอยู่อาศัยของมนุษย์ ถ้าเราจะลงไปในน้ำ มันต้องมีวิธีกลับออกมา ตอนเราอยู่ในท้องแม่เราก็อยู่ในน้ำ แล้วเกิดออกมาอยู่บนดิน”

แล้วตอนเราถามเขาว่าอะไรแปลกที่สุดที่เคยงมเจอ เขาตอบว่าหัวกะโหลก เพราะมันเป็นพื้นที่ที่คนตายกันเยอะ เวลาคนจะฆ่าตัวตายหลายคนก็นึกถึงแม่น้ำ ซึ่งแม่น้ำเองสำหรับเราก็มีความรู้สึกโอบอุ้มทุกอย่างได้จริง ๆ รวมไปถึงความทุกข์ของคนด้วย มันอาจจะถูกละลาย พัดพา หรือถูกล้างออกไป”

“เวลาเราทำงานที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แล้วได้คุยกับคนรุ่นพ่อแม่หรือตายาย เขาจะบอกกันว่าสมัยก่อนตรงนี้ใสมากเลย… มันมีเรื่องนี้ด้วย ที่ภายในหนึ่งหรือสองรุ่น สิ่งแวดล้อมก็พังทลายไปประมาณหนึ่งแล้ว”

“เราอยากจะเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์แตกต่าง ซึ่งประสบการณ์ของเขาทำให้เขามีวิธีการมองหรือรับรู้โลกรอบ ๆ ตัวแตกต่างจากเรา ซึ่งเราไม่ได้มีการปฏิบัติแบบเขา เราไม่ได้ดำน้ำอย่างนั้นได้ เราก็อาจไม่ได้ชุดความรู้นี้มาเต็มที่ขนาดนั้น แต่มันเปิดหรือขยายบางอย่างในสมองหรือในจินตนาการของเรา”

“นักดำน้ำเขาก็เล่าให้ฟังว่าแม่น้ำเจ้าพระยามีอะไรตรงไหนบ้าง ถ้าดำตรงนี้อาจจะไม่เจออะไร หรือตรงนั้นคือท่าเรือนะ เคยมีชุมชนนะ เขามีภูมิศาสตร์ของเขาอยู่ ในขณะที่เราอาจจะมองแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วเห็นพื้นผิวเรียบ ๆ จินตนาการไม่ออกว่าตรงไหนมีเรือจมอยู่ ตรงไหนเคยมีสะพานอยู่ก่อนจะถูกระเบิดไป”

“ตอนคิดโปรเจกต์นี้ เราอยากมีภาพที่อยู่บนน้ำ กับพี่ ๆ นักประดาน้ำ พยายามสร้างความสัมพันธ์บางอย่างกับผิวน้ำ เพราะปกติในกรุงเทพฯ เราจะได้เห็นแม่น้ำแบบห่าง ๆ เท่านั้น เราอยากมีความสัมพันธ์ที่สัมผัสได้กับผิวน้ำ จากบนเรือเล็ก ๆ เอื้อมมือไปแตะได้ จนกระทั่งไปถึงจุดที่เราจะข้ามพื้นผิวนั้น ทะลุลงไปข้างใน… พอเราลอยอยู่บนน้ำมันจะมีการแยกตัวประมาณหนึ่ง แต่การเข้าไปในน้ำมันเหมือนการเคลื่อนไปสู่อีกมิติจริง ๆ ซึ่งเราก็อยากให้คนดูรู้สึกจริง ๆ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ให้ใกล้เคียง หรือให้ลองจินตนาการดู ว่าถ้าเราลงไปในความมืดนั้นมันจะรู้สึกอย่างไร แน่นอนมันมีความน่าอึดอัด มีเรื่องของเสียง มีความหลอน ซึ่งเกิดจากการไม่เห็นอะไร ไม่รู้ว่าอะไรมาโดน ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงอะไร”

“ซึ่งกล้องก็มีข้อจำกัดของมัน เรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำงานที่สุดในส่วนนั้นอาจเป็นเสียงมากกว่า มันคือความมืด เราไม่รู้หรอกว่ากำลังลงไปลึกถึงไหน ร่างกายเราไม่ได้ขยับจริงๆ เราต้องพึ่งเสียงให้สร้างความรู้สึกนั้น”

พวงสร้อย อักษรสว่าง: เปิดพื้นที่ให้ประวัติศาสตร์ส่วนตัวและส่วนรวมได้มาอยู่ด้วยกัน

“จากแนวคิดการจัดงาน Ghost ในปีนี้ คำว่า “หากเราได้อยู่ด้วยกัน” เรารู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น และสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้น… ในการ “อยู่ด้วยกัน” กับในคำแถลงของเทศกาลที่ว่า “Ghost:2568 เคลื่อนไปขนานกับเส้นทางของแม่น้ำเจ้าพระยา” ทำให้นึกถึงทั้งแง่กายภาพของแม่น้ำจริง ๆ และแม่น้ำที่หมายถึงการไหล การเซาะ การขึ้นฝั่ง เดินทางไปมาหาสู่กัน”

“แล้วพอย้อนกลับไปในงานก่อนที่เคยทำอย่างเช่นหนัง “นคร-สวรรค์” ก็พูดถึงแม่น้ำ เราอยู่ในแม่น้ำเพื่อรำลึกถึงแม่ หรือใครบางคนที่จากไป หรืองานการแสดงสดชิ้นที่แล้วของเราก็เกี่ยวกับน้ำที่ทะเล(เขาหลัก) และสำหรับครั้งนี้เรามองน้ำเป็น “การไหลรวม” ของผู้คนความทรงจำ สิ่งที่มันสร้างขึ้นมา และเป็นการไหลรวมกันของสิ่งที่สร้างของแต่ละคน ในคืนหนึ่ง วันหนึ่ง หรือช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อรำลึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังจะจากไป แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างช่วงขณะอะไรบางอย่างขึ้นมา “ด้วยกัน” ในปัจจุบันเหมือนกัน”

“แม่น้ำมันมีประวัติศาสตร์ส่วนตัวและส่วนรวมอยู่เยอะมาก เช่นเราไปลอยอังคารเพื่อนึกถึงคนที่จากไป และแม่น้ำก็มีประวัติศาสตร์การเมือง เป็นที่ฝัง ที่ทิ้ง ที่ทำลาย… ทั้งหมดนี้แม่น้ำเขารับรู้หมด”

“คล้าย ๆ กันกับการเขียน… มันก็เป็นการบันทึกความทรงจำ ประวัติศาสตร์ส่วนตัว หรือแม้แต่การเขียนเรื่องแต่งขึ้นมามันก็เป็นการเขียนต่อ กับความทรงจำ มันก็อิงไปกับการไหลของแม่น้ำ ซึ่งมีทั้งการสร้างใหม่และการทำลาย ในการแสดง “As Shore, As Dream” ก็จะมีเรื่องเหล่านี้”

“งานของเราชื่อ "As Shore, As Dream" (เป็นฝั่ง เป็นฝัน) ซึ่งคล้ายกับเวลาทำงาน บางทีเราก็ขึ้นฝั่งหนึ่งเพื่อเรียนรู้สิ่งหนึ่ง เจอกลุ่มคน เจอชุมชน เจอดิน เจออะไรใหม่ ๆ แล้วเราก็ลงเรือไปใหม่ ก่อนจะไปขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง มองหาความเป็นไปได้อื่นอีกกับคนกลุ่มใหม่”

“เราพยายามล่องบนน้ำไปเรื่อย ๆ เพื่อหาว่า ฝั่งไหนมันจะเป็นของเรานะ หรือจริง ๆ แล้วฝั่งของเราคือการเดินทางในแม่น้ำนี้ด้วยกัน กับคนอื่นที่อยู่บนน้ำพร้อมกับเรา แล้วพยายามหาฝั่งฝันของกันและกันไปด้วยกัน”

“ในงานก่อน ๆ เราพูดถึงเสียง ว่าเสียงทะเลเราไม่สามารถบันทึกมาได้ เราเลยมาพยายามสร้างเสียงกัน มาเลียนแบบจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว เราเลยต่อยอดมาว่า เสียงเองก็มีภาษาบางอย่าง ที่เราอยากรู้จักมากขึ้น แทนที่จะมองว่างานเขียนมีอำนาจสูงสุดในการ “กำกับ” มันเลยเป็นการไหลรวมในแง่กระบวนการด้วย”

“เราเชิญชวนศิลปินเสียงสามคนมาร่วมกัน คือตองไกว ลูแล็ง (Tongkwai Lulin) หลิว นิยมการ (Liew Niyomkarn) และ ริทึ่ม ออฟ สติ (Rhythm of Sati) มาลองคุยกันว่าตอนนี้มีประเด็นหรือเสียงอะไรที่เขาอยากจะเล่าให้ฟังไหม หรือมีภาษาอะไรที่เขาอยากใช้เล่า แล้วเราค่อยเขียนเรื่องจากสิ่งนั้นขึ้นมา กลายเป็นกระบวนการที่กลับไปกลับมา พอเราเขียนส่งกลับไป เขาก็เห็นภาษาเรา เขาอาจเพิ่มอะไรบางอย่างในเสียงของเขา แล้วก็ไหลกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้”

“แต่ละคนตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย ตองไกว ลูแล็งอยู่ที่กรุงเทพฯ ริทึ่ม ออฟ สติอยู่เขาหลัก และหลิว นิยมการอยู่ที่เบลเยี่ยม กลายเป็นว่าตอนแสดงก็จะเป็นการมาอยู่ร่วมกันของทุกคน”

“ในแง่หนึ่งเราก็อยากบันทึกงาน Ghost ในปีนี้ผ่านงานของเราเหมือนกัน ว่าพอไปอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ มันมีความรู้สึกแบบไหน จะทำอย่างไรให้ในการแสดงวันนั้นคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเรา (แต่อาจเคยอยู่กับเรามาก่อนในช่วงเวลาหนึ่ง) ได้มาอยู่ร่วมกันในงานนี้ด้วย”

“มันเป็นงานที่เริ่มต้นมาจากคนก่อน อยากทำงานกับคน มากกว่าจะเริ่มด้วยเรื่องเล่าที่เฉพาะ การที่เราชักชวนใคร (ซึ่งบางคนยังไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้มันจะคืออะไร) แล้วเขา "ทำ" (เน้นเสียง) เราว่าสิ่งนี้มันน่าประทับใจ บางทีการได้มาอยู่ด้วยกัน (ถึงเราอาจจะไม่รู้หรอกว่าเราจะมาอยู่ด้วยกันด้วยวิธีการแบบไหน) แต่ปลายทางมันคือ "เราจะมาอยู่ด้วยกัน" ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งนี่แหละ และความพิเศษคือทุกคนตอบรับเพื่อที่จะมาอยู่ด้วยกันในวันนั้น หรืออย่างนักแสดง (พี่กอล์ฟ อรอนงค์ ไทยศรีวงศ์ และพี่อุ้ม วัลลภ รุ่งกำจัด) เองถึงจะเคยร่วมงานกับเรา แต่เราก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดหรือแสดงอะไร แต่แค่อยากให้คนเหล่านี้มาอยู่ด้วย เป็นพลังงานที่ดีด้วยกัน”

“มันคงเป็นบันทึกการทำงานในรูปแบบหนึ่ง เรารู้สึกว่าการเขียนมันคือวิธีการจดจำหนึ่งผ่านตัวอักษร แต่มันก็มีเครื่องมืออื่นเช่นเสียง หรืออะไรบางอย่างที่สร้างพลังกับเราร่วมกัน แค่ให้ทุกคนได้มาอยู่ด้วยกันในบางรูปแบบ แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วก็ตาม”

“เรามองหาอะไรบางอย่างจากคนที่ทำงานด้วย แต่ไม่ใช่ในเชิงขูดรีดเขา มันคือการพูดคุย การเห็นตัวตนของเขาในงาน สิ่งสำคัญของงานนี้คือระหว่างทาง เช่นการในการซ้อมเราอาจจะพาเขาไปอยู่ในพื้นที่แสดง มานั่งคุยกัน หรือมาเดินอยู่ในงาน แล้วมาดูว่าเรามองเห็นสิ่งนี้ร่วมกันอย่างไรบ้าง”

“ปกติเราทำงานกับภาพที่อยู่ในกรอบหรือในเฟรมภาพยนตร์ แต่เราอยากทำให้มันหายไป ไปทำงานกับภาพตรงหน้าที่เกิดขึ้นจริง ๆ ว่ามันจะก่อรูปการเล่าเรื่องอย่างไรได้บ้าง”

“มันอาจเป็นกิจกรรมที่ธรรมดามาก ๆ กับผู้ชม เช่น เรามาฟังอะไรด้วยกันเถอะ หรือ เรามานึกถึงใครบางคนด้วยกันเถอะ แต่มันเป็นกิจกรรมธรรมดาที่ชัดเจนมาก ๆ จริง ๆ และเป็นบทสนทนาระหว่างกันในพื้นที่นั้นตามธรรมชาติของมัน”

“ในมุมหนึ่ง คนเรามันก็ต้องอยู่คนเดียวให้เป็น แต่การรับรู้ว่ายังมีคนข้าง ๆ อยู่ด้วย มันก็คือความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราหาอะไรบางอย่างมาเกาะ หาฝั่ง หาเรือ หาการเดินทางไปพร้อม ๆ กัน มันก็เหมือนกับอารยธรรมของเรา และเรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันพิเศษมาก”

“โลกนี้มันไม่ง่าย การรู้ว่ามันมีกลุ่มก้อนบางอย่าง มีใครให้คิดถึง หรือมีใครนึกถึงเราอยู่ มันก็คงทำให้เราก้าวผ่านบางช่วงที่ยาก ๆ ไปได้”

Ghost 2568: Wish We Were Here – “Ghost 2568: หากเราได้อยู่ด้วยกัน”
อีดิชันสุดท้ายของ Ghost ซีรีส์ผลงานวิดีโอและศิลปะการแสดง คิวเรตโดย อามาล คาลาฟ ร่วมกับ คริสติน่า ลี, กรกฤต อรุณานนท์ชัย และ พงศกรณ์ ญาณะณิสสร
เปิดให้เข้าชมแล้ววันนี้ – 16 พฤศจิกายน 2568 ที่ 14 จุดทั่วกรุงเทพฯ
ดูรายละเอียดงานเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ghost2568.com/