GC_Infocus-นัท.jpg

“ผมอยากทำสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ” คุยกับณัฏฐ์ กิจจริต ถึงอาชีพนักแสดงที่เป็นดั่งจุดณัฏฐ์พบ

Post on 1 April

“กับอาชีพนักแสดง ผมเป็น underdog มาตลอดเลย” ในช่วงหนึ่งระหว่างการพูดคุยกัน นัท–ณัฏฐ์ กิจจริต บอกเราแบบนั้น

ถ้าฟังดูอย่างผิวเผิน ประโยคนี้ดูย้อนแยงอยู่เหมือนกัน เพราะในความเป็นจริง หลายคนเห็นหน้าตาค่าตานัทมาโดยตลอด ตั้งแต่ผลงาน MV ไปจนถึงซีรีส์ และยิ่งช่วงนี้ที่ Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ ผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขากำลังเข้าฉาย สิ่งที่เขาพูดจึงยิ่งน่าสนใจและน่าหยิบยกมาพูดถึง ว่ากับชายหนุ่มที่คิดกับตัวเองแบบนั้น ปัจจุบันกับผลงานเรื่องล่าสุด เขากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่บ้าง และยังคงมองตัวเองว่าเป็น underdog อยู่หรือเปล่า

แต่ไหนๆ ชวนนัทคุยเรื่องการแสดงทั้งที GroundControl จึงพาเขาย้อนไปไกลถึงภาพที่กว้างกว่านั้นด้วย ว่าตลอด 5 ปีในอาชีพนักแสดงล่ะ เขาให้ความหมายกับเส้นทางของตัวเองอย่างไรบ้าง และอะไรคือเหตุผลสำคัญที่เขายังคงทำอาชีพนี้อยู่

“ถ้าเป็นไปได้ผมอยากเป็นนักแสดงไปนานๆ” ในอีกช่วงของการพูดคุย นัทว่าไว้อย่างนั้น

แต่บทสนทนาทั้งหมดจะเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ค่อยเลื่อนๆ ลงไปแบบไม่ต้องเร็วโหดได้ที่นี่เลย

นัทรอเราอยู่แล้วที่จุดณัฏฐ์พบ


 

แสดงภาพยนตร์มาจำนวนหนึ่งแล้ว ตอนหนังกำลังจะเข้าฉายแบบนี้ คุณยังตื่นเต้นเหมือนเดิมไหม

ผมว่าตื่นเต้นคนละแบบครับ เรื่องแรกก็ตื่นเต้นแบบเรื่องแรก เรื่องนี้ก็ตื่นเต้นแบบเรื่องนี้ แต่กับ FAST & FEEL LOVE  ผมอาจกังวลมากหน่อยเพราะปัจจัยเรื่องโควิด กลัวคนจะไม่รู้สึกปลอดภัยจนไม่ได้ไปดู เหมือนตกรอบตั้งแต่ยังไม่แข่ง แต่สุดท้ายนี่เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ ทำได้แค่ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดแค่นั้น

 

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘สิ่งที่ดีที่สุดในการแสดงคือการร่วมสร้างบางอย่างไปพร้อมกับคนอื่น’ อยากให้ช่วยขยายความหน่อย และกับ  FAST & FEEL LOVE ยังคงเป็นแบบเดิมไหม

ยังคงเหมือนเดิม และผมว่าเป็นความรู้สึกดีที่ได้จากทุกกองเลยนะ ไม่ว่าจะสเกลไหน ตั้งแต่กอง MV ไปจนถึงหนังใหญ่

โดยส่วนตัวผมคิดว่าการทำหนังเหมือนการทำงานกลุ่ม ผมชอบความรู้สึกที่ตัวเองได้เป็นเหมือนเฟืองเล็กๆ ต่อให้สุดท้ายผลงานออกมา เราจะอยู่ข้างหน้า แต่ผมรู้เสมอว่าผลงานทั้งหมดมาจากคนหลายคนขนาดไหน ผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ของภาพรวม ซึ่งไอ้ความรู้สึกนี้มันช่วยให้ผมไม่สักแต่เล่น เพราะงานผมสอดคล้องกับฝ่ายอื่นอีกมาก มันเลยเป็นความท้าทายที่ผมอยากทำให้ดีไปเรื่อยๆ


 

ก่อนหน้านี้เราเพิ่งสัมภาษณ์เต๋อ (นวพล ธำรงค์รัตนฤทธิ์–ผู้กำกับ) เขาบอกว่า ‘การทำงานคือรางวัลแล้ว ผลตอบรับที่ดีเป็นเหมือนโบนัส’ คุณคิดแบบนั้นไหม

(นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า) ผมคงต้องย้อนกลับไปอธิบายหน่อยว่างานแสดงก่อนหน้าของผมไม่ค่อยมีกระแส ผมทำงานอะไร ผลตอบรับที่ได้จะ ‘ประมาณหนึ่ง’ แล้วหายไป ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘ผลตอบรับที่ดี’ เป็นยังไง ผมเป็น underdog มาโดยตลอด มันเลยส่งผลให้ผมคิดกับงานเหมือนอย่างที่พี่เต๋อ 

ทุกวันนี้ผมไปทำงานแบบวันต่อวัน ซีนต่อซีน กองต่อกอง 95 % ในความสัมพันธ์ของผมกับงานแสดงอยู่ตรงนั้นหมด ไม่ได้เป็นเรื่องอื่นอย่างฟีดแบ็กเท่าไหร่ แต่ไม่ได้แปลว่าที่ผ่านมาไม่เคยเครียดกับงานนะครับ ผมเจอกับบรรยากาศกองถ่ายทุกแบบน่ะแหละ ถกเถียง เครียด เศร้า ตลก ไปจนถึงมีความสุข แต่ผมมองทุกอย่างเป็นธรรมชาติของการทำงาน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าร่วมกัน โดยรวมแล้วผมจึงรู้สึกดีอยู่ดี


 

สำหรับคุณ ความยากของงานแสดงคือขั้นตอนไหน

คงเป็นการกลืนข้อมูลของตัวละคร คือการลองคิด ลองอ่าน ลองพูดบ่อยๆ จนเรากลายเป็นตัวละครนั้น

เพราะด้วยธรรมชาติการทำงาน เวลาไปออกกองแต่ละครั้งผมจะพยายามเข้าใจทุกอย่างของตัวละครและกลืนทุกอย่างที่จำเป็นให้เสร็จก่อน เพื่อในวันที่แสดงผมจะได้ปลอดโปร่งและครุ่นคิดกับการแสดงน้อยที่สุด แต่ในประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา มีบ้างเหมือนกันที่ผมพยายามเข้าใจตัวละครเสร็จแล้ว แต่ไม่สามารถกลืนตัวละครลงไปได้ ทำให้ในวันที่ต้องแสดง ถึงงานออกมาดีแต่ผมจะรู้สึกไม่สบายตัว 

กลับกันถ้าวันไหนผมทำได้ ความรู้สึกจะต่างกันมาก เหมือนผมกระโจนเข้าไปอยู่ในฉากและเป็นส่วนหนึ่ง จนบางครั้งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง มันเป็นธรรมชาติและปลอดโปร่งมากๆ ผมชอบความรู้สึกแบบนั้น ซึ่งพยายามทำให้ได้อยู่ตลอด

 

ถ้าเปรียบเป็นหนังเรื่อง Soul คือการ IN THE ZONE

ใช่ๆ แต่ย้ำว่านี่เป็นวิธีการจากประสบการณ์ส่วนตัวนะ อนาคตอาจเปลี่ยนก็ได้ เพราะพอคุยกับเพื่อนนักแสดง แต่ละคนมีตรงนี้ที่ไม่เหมือนกันเลย 


 

ลงลึกกันที่ FAST & FEEL LOVE กันหน่อย มาร่วมงานกับทาง GDH และเต๋อได้ยังไง

ตามขั้นตอนพื้นฐานครับ โดนเรียกแคสต์ เข้ารอบลึกไปเรื่อยๆ ได้บท ปั้นตัวละคร ไปจนถึงเวิร์คชอป แต่ถ้าให้สังเกตุ ผมว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือความกดดันบางอย่างที่มากขึ้น เพราะการได้ร่วมงานกับ GDH พี่เต๋อและเพื่อนนักแสดงทุกคนคือสิ่งที่ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ 

 

ร่วมงานกับเต๋อเป็นอย่างไรบ้าง

อันนี้เป็นความชอบที่แล้วแต่คน แต่โดยส่วนตัวผมชอบทำงานกับคนที่ละเอียดอยู่แล้ว ซึ่งพี่เต๋อเป็นคนแบบนั้น

อย่่างที่บอกไปว่าผมคิดว่าการทำหนังหมือนการทำงานกลุ่ม ทีนี้พอพี่เต๋อเป็นหัวเรือกลุ่มที่ละเอียด รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรและอยากได้อะไร ผมว่านี่จึงเป็นจุดแข็งที่สุดของพี่เต๋อ เขาชัดเจนในความต้องการของตัวเองมาก ส่งผลให้ผมตามเขาไปในทางที่เหมาะสมได้ง่าย ทุกอย่างจากทุกคนไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันถ้าซีนไหนอยากทดลอง พี่เต๋อจะบอกว่าอยากทดลอง รวมถึงถ้าซีนไหนเราตีความออกมาใหม่ พี่เต๋อก็เปิดพื้นที่รับความเป็นไปได้เสมอด้วย โดยรวมจึงเป็นการทำงานที่ดีและเปิดโลกผมมาก


 

คุณกับตัวละคร ‘เกา’ มีความเหมือนหรือต่างกันมากน้อยขนาดไหน

ผมคิดว่าประตูบานใหญ่ที่เชื่อมผมเข้ากับเกาคือความชอบที่แคบมากๆ ที่หลายครั้งทำให้เขาลืมดูชีวิตของคนรอบข้าง ผมเองก็เป็นแบบนั้น คือหมกมุ่นกับสิ่งที่ตัวเองทำมากๆ ในขณะเดียวกัน  ‘เกา’ ที่เป็นคนทำอะไรเร็วก็ตรงข้ามกับผมที่เป็นคนช้า เป็นคนที่ทำอะไรทีละอย่างเพราะกลัวพลาด แต่สุดท้ายผมว่าความเหมือน-ต่างทั้งหมดล้วนทำให้ผมพอเข้าใจความคิดความอ่านของตัวละครมากขึ้นนะ เพราะด้วยหนังทำให้เราเห็นทั้งสองด้านอยู่แล้ว

 

คุณได้แง่คิดอะไรติดตัวมา จากการกระโจนลงไปเป็น ‘เกา’ บ้างไหม

หลักๆ ผมคิดว่าเป็นเรื่องความสำคัญของเวลา

อย่างตอนนี้ที่เรากำลังนั่งสัมภาษณ์กันอยู่ ถ้าเกิดผมมาช้า พี่ก็เสียเวลา ถ้าพี่มาช้า ผมก็เสียเวลา ผมว่ามันเป็นเรื่องแบบนั้น หนังสะท้อนให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าการบริหารเวลาเป็นเรื่องสำคัญทั้งกับฉันและเธอ และยิ่งมาตรวัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรายิ่งต้องให้ความสำคัญกับเวลาของเราและคนอื่นมากขึ้น


 

ถ้าให้ย้อนสรุป คุณจะตั้งชื่อประสบการณ์ในการทำงาน FAST & FEEL LOVE ว่าอย่างไร

(นิ่งคิดนานมาก) คงเป็นคำว่า ‘ใหม่’ และ ‘เปลี่ยนผ่าน’ ครับ

ผมรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้ของตัวเองกำลังเดินเข้าเฟสใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งจาก แปลรักฉันด้วยใจเธอ, 4Kings, แวน ฐิติพงศ์ จนถึงเรื่อง FAST & FEEL LOVE สิ่งที่ตามมาคือผมทั้งกลัว ตื่นเต้น ทำตัวไม่ถูก ตั้งคำถามว่านี่เราเป็นตัวเองได้ร้อยเปอร์เซนต์ไหม ต้องคิดถึงปัจจัยอะไรเพิ่มหรือเปล่า เราควรรู้สึกยังไงกันแน่ คำถามเหล่านี้เข้ามาหาผมเยอะมาก และผมยอมรับว่าตัวเองตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน 

อย่าง FAST & FEEL LOVE ขั้นตอนแต่ละอย่างเร็วมาก เซ็นสัญญา เปิดกล้อง ปิดกล้อง ทำโพสต์โปรดักชั่นและเดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะฉาย ทั้งหมดแค่ 1 ปีเอง เป็นประสบการณ์ที่เร็วและใหม่ ผมยังคิดไม่ทันเลยว่าผมต้องทำคิดและทำยังไง ยิ่งเดี๋ยวพอหนังฉายและออกจากโรง ทุกอย่างก็จะจบแล้ว ดังนั้นผมอาจต้องให้เวลาตัวเองในการเปลี่ยนผ่านตรงนี้นิดนึง 

 

สำหรับคุณ การเปลี่ยนผ่านตรงนี้สำคัญยังไง  

เพราะผมเชื่อว่ามันจะทำให้ผมเจอจุดที่ตัวเองยืนอยู่ได้ในระยะยาวครับ เป็นการหาที่ทางของตัวเองให้ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับเป้าหมายเดียวของผมคือผมอยากทำอาชีพนักแสดงไปนานๆ 

(นิ่งคิด) แต่เอาจริงถึงยังไม่แน่ใจ ตอนนี้ผมก็ไม่อยากไปคาดคั้นแล้วล่ะ คงรอดูก่อนว่า FAST & FEEL LOVE จะพาไปถึงไหน หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที ว่าจะยืนไปตรงไหนดี เอาเป็นว่าไว้ปีหน้าเรามาคุยกันอีกทีครับ ผมอาจตอบคำถามพี่ได้แล้วก็ได้

 

ได้เลยครับ เดี๋ยวเมษาปีหน้าเรามาอัพเดตกันอีก

(ยิ้ม)


 

ภาพถ่ายโดย : Au Tammarat