cover web.jpg

สาดแวนโกะห์ โปะกาวบอตติเชลลี - ทำความรู้จัก Just Stop Oil และกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมแนวร่วมที่กำลังปลุกโลกให้ร้อนเป็นไฟ

Art
Post on 20 October

ย้อนกลับไปในวันที่ 29 มิถุนายน 2022 นักศึกษาศิลปะ 3 คนจากสถาบัน Glasgow School of Art เดินเข้าไปใน Kelvingrove Art Gallery ที่ตั้งอยู่ในกรุงกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ก่อนจะใช้สีสเปรย์พ่นบนกำแพงรอบผลงานศิลปะจากศตวรรษที่ 19 อย่าง ‘My Heart’s in the Highlands’ ของ  โฮราชิโอ แมคคัลลอค พร้อมทั้งใช้กาวแปะมือตัวเองเข้ากับกรอบภาพ และประกาศเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดอนุมัติให้โปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซใด ๆ ในอนาคต

ในเวลาต่อมา การเคลื่อนไหวของนักศึกษาทั้งสามคน ผู้เป็นสมาชิกของกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ชื่อว่า ‘Just Stop Oil’ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่ ที่มีเป้าหมายเป็นการจู่โจมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์เพื่อส่งสารถึงรัฐบาลและประชาชนคนทั่วไป

“ฉันออกมาเรียกร้องด้วยวิธีการนี้เพราะฉันเชื่อว่าศิลปะคือการพูดความจริง และศิลปะเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงอารมณ์ที่ลึกที่สุดของเรา แต่ในช่วงเวลาวิกฤติที่เราต้องการศิลปะมากที่สุด สถาบันศิลปะกลับทำให้เราผิดหวัง แทนที่พวกเขาจะออกมาท้าทายรัฐบาล พวกเขากลับดูเหมือนจะคิดว่า แค่จัดนิทรรศการเกี่ยวกับโลกร้อนขึ้นมาก็เพียงพอแล้ว” คือข้อความส่วนหนึ่งที่ เอ็มมา บราวน์ หนึ่งในนักศึกษาที่บุกแกลเลอรีแห่งกรุงกลาสโกว 

“ฉันเป็นศิลปิน ฉันรักศิลปะ แต่แทนที่จะใช้เวลาไปกับการทำงานศิลปะ ฉันเลือกที่จะออกมาเรียกร้องด้วยวิธีนี้ ต้องเข้า ๆ ออก ๆ คุก และถูกลงโทษโดยระบบกฎหมาย เพียงเพราะฉันออกมาขอร้องให้รัฐบาลปล่อยให้คนรุ่นฉันได้มีอนาคต เรายกย่องผลงานศิลปะเหล่านี้ไว้สูงส่ง แต่จะมีสิ่งใดที่มาค่าไปกว่าชีวิตอีกเหรอ?” ฮันนาห์ ทอร์เรนซ์ ไบรต์ อีกหนึ่งสมาชิกร่วมปฏิบัติการกล่าวไว้ในเหตุการณ์ครั้งนั้น

จากกลาสโกว์ สู่ลอนดอน เบอร์ลิน ฟลอเรนซ์ และล่าสุดได้ย้อนกลับมาที่ลอนดอนอีกครั้ง ปฏิบัติการจู่โจมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีชั้นนำกำลังแพร่สะพัดไปทั่วยุโรป โดยมีเหยื่อรายล่าสุดเป็นผลงานดอกทานตะวันของ วินเซนต์ แวนโกะห์ ที่จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ (ลอนดอน) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเดือดดาลไปกับการกระทำของพวกเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการกระทำของนักติดกาวและสาดสีในพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโลกศิลปะอย่างมาก โดยผลกระทบที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือการที่บรรดาภัณฑารักษ์และเจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำต่าง ๆ ทั่วยุโรปได้เริ่มวางมาตรการรับมือกันอย่างจ้าละหวั่น โดยเฉพาะในพิพิธภัณฑ์ที่เคยถูกจู่โจมมาแล้วนั้นได้มีการเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยขึ้นมาเป็นสองเท่าด้วย

Just Stop Oil คือใคร? ทำไมงานศิลปะถึงตกเป็นเป้าโจมตี? และคนที่ทำงานในแวดวงศิลปะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์นี้บ้าง? GroundControl ขอชวนทุกคนไปออกสำรวจคำถามเหล่านี้ด้วยกัน

Just Stop Oil กลุ่มคนรุ่นใหม่ ‘ตัวแทงก์’ ด้านสิ่งแวดล้อม

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กราดเกรี้ยวกับการเห็นภาพของแวนโกะห์ถูกสาดด้วยซุปมะเขือเทศ หรือเดือดดาลกับการเห็นภาพ Primavera ของ ซันโดร บอตติเชลลี ถูกประทับด้วยมือทากาว …นั่นแสดงว่าจุดประสงค์ในการลงมือของพวกเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว นั่นก็เพราะเป้าหมายหลักของกลุ่มนักอนุรักษ์ตัวตึงเหล่านี้ก็คือการสร้าง ‘Disruption’ ซึ่งหมายถึงการทำให้สังคมหยุดชะงัก เพื่อนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง

และไม่ใช่แค่คนชมชอบศิลปะเท่านั้นที่ชาว Just Stop Oil ไปสร้างวีรกรรมท้าตีท้าต่อย ก่อนหน้านี้พวกเขาบุกไปปั่นให้เกิดความหัวร้อนมาแล้วแทบทุกวงการ ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สมาชิกหัวแถวของกลุ่มอย่าง หลุยส์ แม็คคีไชน์ วัย 21 ปีวิ่งลงไปกลางสนามฟุตบอลในแมตช์สุดเดือดระหว่างทีมเอเวอร์ตันกับนิวแคสเซิล ก่อนจะมัดตัวเองเข้ากับเสาโกล และทำให้แฟนบอลหัวร้อนทั้ง 4,000 ร่วมใจสามัคคีโห่ร้องด้วยความกราดเกรี้ยว
.
แม้จะมีวีรกรรมมาแล้วจนนับนิ้วไม่หมด แต่ที่จริงแล้ว Just Stop Oil เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษา 2022 นี่เอง โดยเป็นการรวมตัวกันของสมาชิกในกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมสัญชาติอังกฤษอย่าง Extinction Rebellion และ Insulate Britain เพื่อสร้างเป็นกลุ่มใหม่ที่เน้นการปฏิบัติและสร้างแรงสั่นสะเทือนให้สังคม นอกจากนี้พวกเขายังมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น ๆ จากการที่สมาชิกของกลุ่มล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Z โดยอายุเฉลี่ยของสมาชิกในกลุ่มนั้นอยู่ที่ 20 ปีเท่านั้น

<p>สมาชิก Just Stop Oil กับภาพ JMW Turner. Tomson’s Aeolian Harp. 1809 ที่ Manchester Art Gallery</p>

สมาชิก Just Stop Oil กับภาพ JMW Turner. Tomson’s Aeolian Harp. 1809 ที่ Manchester Art Gallery

เป้าหมายหลักของกลุ่ม Just Stop Oil คือการกดดันให้รัฐบาลอังกฤษออกหนังสือที่ระบุว่า รัฐบาลจะไม่ออกใบอนุญาต หรืออนุมัติให้เกิดการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันหรือก๊าซในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจ การขุดเจาะ หรือการผลิตเชื้อเพลิงในประเทศอังกฤษ โดยพวกเขามองว่า การอนุญาตให้เกิดกิจกรรมการผลิตน้ำมันในอังกฤษคือการออก ‘ใบสั่งฆ่า’ เด็ก ๆ และโอกาสในการที่จะได้มีชีวิตและเติบโตต่อไปในอนาคต รวมทั้งยังเป็นการผลักมนุษยชาติสู่หายนะจากความยากจน อดอยาก ไปถึงขั้นสงคราม

ส่วนเหตุผลที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจมุ่งโจมตีงานศิลปะดัง ๆ สร้างความปั่นป่วนในอิเวนต์ที่สังคมให้ความสนใจ ไปจนถึงการปิดถนนและเรียกร้องเคลื่อนไหวในพื้นที่สาธารณะแบบกองโจร นั่นก็เพราะพวกเขามองว่าความเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้น ‘เดี๋ยวนี้’ ด้วยเหตุนี้ การสร้างแรงกระแทกและทำให้สังคมหยุดชะงักจึงเป็นหนทางที่พวกเขามองว่าจะทำให้รัฐบาลหันมาสนใจแก้ปัญหาอย่างจริงจังได้

“เพราะ (ศิลปะ) คือสิ่งทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมอย่างมหาศาล และด้วยการกระตุ้นของเรา  ในที่สุดผู้คนก็เริ่มพูดถึงสารและข้อเรียกร้องที่เราเสนอ” แอนนา ฮอลแลนด์ หนึ่งในผู้สาดซุปใส่ภาพ Sunflower กล่าว “ณ ขณะนี้ คนปากีสถาน 33 ล้านคนต้องย้ายออกจากบ้านเพราะน้ำท่วมใหญ่ ในขณะที่ในแอฟริกาตะวันออก คน 36 ล้านคนต้องทุกข์ทรมานกับความอดอยาก แต่แค่วัยรุ่นสองคนเอาซุปไปสาดใส่ภาพวาด ก็สามารถทำให้คนพูดถึงปัญหาเหล่านี้ได้มากกว่าที่เคยมีมา”

“การใช้งานศิลปะอันสวยงามก็เป็นการสื่อสารที่ตรงประเด็น เมื่อคนเห็นภาพวาดเหล่านี้  (ถูกสาดซุปหรือทากาวติด) พวกเขาก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ว่า ‘ฉันอยากปกป้องสิ่งที่ทั้งสวยงามและล้ำค่า’ แล้วทำไมผู้คนถึงไม่มีปฏิกิริยาแบบนี้เวลาเห็นอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงทำงายโลกและผู้คนบ้างล่ะ?” ฟีบี พลัมเมอร์ อีกหนึ่งมือสาดซุปกล่าว

นอกจากนี้ทั้งสองยังให้เผยเบื้องหลังในการเลือกงานศิลปะชิ้นเป้าหมายว่า ความตั้งใจแรกของพวกเขาคือการสาดซุปใส่ผลงานของ แอนดี วอร์ฮอล ซึ่งสื่อถึงการบริโภคนิยม แต่สุดท้ายพวกเขาก็เลือกผลงาน Sunflower ของแวนโกะห์ ซึ่งในตอนที่มีชีวิตอยู่นั้นเป็นศิลปินตกอับแทบไม่มีจะกิน ซึ่งหากแวนโกหะห์มีชีวิตอยู่ในยุคนี้ เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งในฤดูหนาวนี้ที่จำต้องเลือกว่าจะนำเงินไปซื้ออาหาร หรือเก็บไว้จ่ายค่าแก๊สเพื่อรักษาความอบอุ่นในบ้านดี?

“แวนโกะห์เคยกล่าวว่า ‘ชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่มีความกล้าที่จะทำสิ่งใดเลย?’ ในความคิดของฉัน แวนโกะห์คงเป็นอีกคนหนึ่งที่ตระหนักว่าเราต้องลงมือทำ และแสดงออกว่าประชาชนจะไม่จำยอมอีกต่อไป ในวิถีที่ปราศจากความรุนแรง” พลัมเมอร์อธิบาย

“ภาพวาดชิ้นนี้ได้รับการปกป้องไว้หลังกระจก แต่ ณ ตอนนี้ ผู้คนในซีกโลกทางใต้กลับไม่ได้รับการปกป้องใด ๆ เลย เช่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ที่อนาคตของพวกเราไม่ได้รับการปกป้องแต่อย่างใด”

ใครคือผู้สนับสนุนหลักของ Just Stop Oil

Just Stop Oil ไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างไรที่มาที่ไป และคงไม่สามารถก่อการอุกอาจได้หากไม่มี ‘แบ็คอัพ’ ที่คอยสนับสนุนด้านการเงิน และคอยช่วยพวกเขาจ่ายค่าปรับจากการจู่โจมงานศิลปะต่าง ๆ

ผู้สนับสนุนหลักของ Just Stop Oil คือ Climate Emergency Fund องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งโดยสามมหาเศรษฐีชาวอเมริกันคือ เทเวอร์ เนลสัน ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง WasteFuel บริษัทผู้ผลิตเชื้อเพลิงที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้, รอรี เคนเนดี นักทำภาพยนตร์และลูกสาวของผู้ว่าการรัฐ โรเบิร์ต เคนเนดี และ ไอลีน เก็ตตี หลานสาวของมหาเศรษฐีน้ำมัน ฌอง-ปอล เก็ตตี ผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำมัน Getty Oil นั่นเอง

<p>กลุ่ม Ultima Generazione (Last Generation) กับผลงานของ Sandro Botticelli 'Primavera (Spring)' ที่ Uffizi Galleries. Florence</p>

กลุ่ม Ultima Generazione (Last Generation) กับผลงานของ Sandro Botticelli 'Primavera (Spring)' ที่ Uffizi Galleries. Florence

<p>สมาชิก Just Stop Oil แปะมือทากาวเข้ากับกรอบภาพ Peach Trees in Blossom (1889) ของ วินเซนต์ แวนโกหะ์ ที่. The Courtauld Gallery ลอนดอน</p>

สมาชิก Just Stop Oil แปะมือทากาวเข้ากับกรอบภาพ Peach Trees in Blossom (1889) ของ วินเซนต์ แวนโกหะ์ ที่. The Courtauld Gallery ลอนดอน

Just Stop Oil เป็นเพียงหนึ่งใน 86 กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก Climate Emergency Fund โดยยังมีกลุ่มที่เคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันอย่าง Ultima Generazione ที่เปรียบเสมือน Just Stop Oil สัญชาติอิตาเลียน ผู้เคยสร้างวีรกรรมติดกาวที่มือกับภาพ Primavera ของบอตติเชลลี ในพิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี และก่อนหน้านี้เคยติดกาวที่มือตัวเองกับฐานประติมากรรม Laocoön and His Sons ที่พิพิธภัณฑ์วาติกันมาแล้ว ก็ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรนี้เช่นกัน

“การประท้วงเหล่านี้สุดยอดมาก ๆ” มาร์กาเร็ต ไคลน์ ซาลามอน ประธานองค์กร Climate Emergency Fund ให้เหตุผลในการสนับสนุนกลุ่มตัวแทงก์ด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ “ผู้คนมาชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ แต่เราต้องการให้พวกเขามองเห็นภาพความเป็นจริงเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก”

ซาลามอนเชื่อว่า การประท้วงด้วยวิธีการสร้างแรงสั่นสะเทือนสังคมเช่นนี้เป็นวิธีการที่ได้ผลดี เพราะทำให้สารถูกส่งต่อผ่านสื่อต่าง ๆ จนทำให้มีเข้าร่วมขบวนการมากขึ้น

หลากหลายความเห็นในโลกศิลปะ

ทันทีที่ภาพผลงาน Sunflower ของแวนโกะห์ที่มีซุปสีส้มถูกแพร่กระจายออกไป โลกโซเชียลก็ร้อนเป็นไฟ ก่อนที่จะตามมาด้วยปฏิกิริยาตอบโต้ของผู้คนที่มีตั้งแต่โกรธจัด ไปจนถึงเข้าใจและเอาใจช่วยกลุ่ม

ปรากฏการณ์เสียงแตกเช่นนี้ก็เกิดขึ้นในแวดวงคนทำงานศิลปะเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือความคิดเห็นของสมาชิกในโลกศิลปะที่มีต่อคำถามของผู้ประท้วง ‘อะไรสำคัญมากกว่ากัน? ระหว่างชีวิตกับศิลปะ?’

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านเทรนด์การบุกโจมตีงานศิลปะแบบสุด ๆ ก็หนีไม่พ้นเหล่าภัณฑารักษ์ในพิพิธภัณฑ์ใหญ่ทั่วยุโรป รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ผลงานศิลปะที่เป็ามรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้โดยตรง ตัวอย่างเช่น ผู้อำนวยการสภาวัฒนธรรมเยอรมัน โอลาฟ ซิมเมอร์มาน ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังกลุ่ม ‘Letzte Generation’ แปะกาวที่มือกับกรอบภาพ Massacre of the Innocents ของ ปีเตอร์ ปอล รูเบนส์ ที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Alte Pinakothek ว่า “ภาพวาดที่เกือบได้รับความเสียหายชิ้นนี้นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก และมันก็ควรจะได้รับการปกป้องเช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อมของเรา”
 

<p>กลุ่ม Ultima Generazione ติดกาวที่มือของตัวเองเข้ากับฐานงานประติมากรรม Laocoön and His Sons (1506) ที่ Vatican Museum กรุงโรม</p>

กลุ่ม Ultima Generazione ติดกาวที่มือของตัวเองเข้ากับฐานงานประติมากรรม Laocoön and His Sons (1506) ที่ Vatican Museum กรุงโรม

แม้ว่าสุดท้ายแล้วผลงานศิลปะเก่าแก่ที่ตกเป็นเป้าโจมตีเหล่านี้จะไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เพราะทุกชิ้นล้วนได้รับการป้องกันจากกระจกนิรภัยซึ่งเป็นมาตรฐานของงานอนุรักษ์ในพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว แต่ก็มีนักอนุรักษ์บางส่วนที่แสดงความคิดเห็นว่า ที่จริงแล้วกรอบรูปที่ถูกผู้ประท้วงประทับมือเปื้อนกาวนั้นก็ถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งเหมือนกัน เพราะบางกรอบก็มีอายุพอ ๆ กับรูป ตามที่ คอรินา ร็อจ รองประธานสถาบันงานอนุรักษ์แห่งอเมริกาให้ความเห็น นอกจากนี้เธอยังเสริมว่า แม้ว่าเธอจะไม่ได้ต่อต้านการกระทำรูปแบบนี้ เพราะมองว่าพื้นที่ศิลปะเป็นพื้นที่สำหรับการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของทุกคน แต่เธอมองว่า ยังมีวิธีการอีกมากมายในการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือเรียกแนวร่วม ซึ่งน่าจะได้ผลดีมากกว่า

หนึ่งในความคิดเห็นที่น่าสนใจมาจาก ฟิลิปป์ เคนนิคอต นักวิจารณ์ศิลปะเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์จาก Washington Post  ที่เข้าใจความเหตุผลและความจำเป็นที่ทำให้ทางกลุ่มต้องออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อมองการกระทำดังกล่าวในแง่ของการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เขาก็มองว่าสารที่ถูกส่งออกมานั้นกลับ ‘ไม่ถึง’ และไม่ได้สื่อถึงเป้าหมายของกลุ่มได้ดีพอ

“ความโกรธของสมาชิกกลุ่มและผู้สนับสนุนนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ พวกเขาคือกลุ่มคนที่จะต้องเผชิญหน้าและมีชีวิตอยู่กับหายนะของโลกในอนาคต พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยเฉพาะการตัดสินใจว่า พวกเขาจะมีลูกเพื่อให้มนุษยชาติดำรงอยู่ต่อไป หรือจะไม่มีลูกเพื่อไม่ให้เด็ก ๆ คนไหนต้องทนกับความยากลำบากและช่วงชีวิตที่อาจแสนสั้น

“แน่นอนว่าโลกศิลปะไม่ได้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เงินที่ขับเคลื่อนโลกศิลปะก็ล้วนมาจากระบบเศรษฐกิจที่ผลิตคาร์บอนจำนวนมหาศาล ในขณะที่กิจกรรมต่าง ๆ ในโลกศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลศิลปะ งานเบียนนาเล หรือนิทรรศการใหญ่ ๆ ก็ล้วนต้องพึ่งพาการบริโภคและการเดินทางที่ก่อมลพิษมหาศาล ถ้าพลัมเมอร์ (หนึ่งในผู้สาดซุปมะเขือเทศใส่ภาพแวนโกะห์) เอาซุปไปสาดใส่งานอาร์ตแฟร์ระดับโลก เธออาจจุดบทสนทนาที่ฟังดูเข้าท่าและจิกกัดโลกศิลปะได้เจ็บถึงใจกว่า ‘จำเป็นไหมที่เราต้องบินไปเวนิซเบียนนาเลทุกสองปี?’ ‘จะดีกว่าไหมถ้าคุณเอาเงินล้านของตัวเองไปช่วยวิกฤติโลกร้อน แทนที่จะเอามาซื้องานขาด ๆ ของแบงซีแล้วเก็บไว้ดูคนเดียว?’

“[…] ถ้าเรามองว่าศิลปะเป็นแค่สัญลักษณ์ ของซื้อของขาย หรือสินค้าไฮโซโก้หรู ถ้างั้นการตั้งคำถามว่า ‘อะไรมีค่ามากกว่ากัน ระหว่างชีวิตคนกับศิลปะ’ ก็อาจเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ถ้าเรามองว่าศิลปะเป็นวัฒนธรรมฝังตัว (Embodied Culture) เราก็ควรให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และการคงคุณค่าของมันให้คงอยู่ ไม่ว่าในวิกฤติทางธรรมชาติใดก็ตาม”

อ้างอิง

Washington Post

Frieze

The Guardian

Observer

Artnet