นาทีนี้ทุกคนคงรู้กันแล้วว่ารายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์แห่งปีอย่างออสการ์ปีนี้มีใครบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า Challengers หนังสุดร้อนแรงแห่งปี(ที่แล้ว)จากผู้กำกับลูกา กวาดาญีโน (Luca Guadagnino) ที่รวมฮิตดาราดัง ดนตรีประกอบเดือด ๆ และงานภาพสไตล์จัดจ้าน เตรียมเข้าไปกวาดรางวัลแล้ว ทั้งหมด 0 สาขา!!! และกลายเป็นหนึ่งในหนังที่ ‘วืด’ แรงที่สุดแห่งออสการ์ประจำปีนี้ วันนี้ GroundControl เลยอยากชวนมาลองทำความรู้จักภาพยนตร์และชีวิตของเขา ย้อมใจกัน
ความปรารถนาเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ขึ้นมาในภาพยนตร์ของลูกา อาหารในหนังของเขาส่งกลิ่นยั่วยวน ผิวกายของคนต้องแสงอบอุ่น และตัวละครในหนังของเขาเองก็บ้าคลั่งไปกับความเย้ายวนเหล่านี้พร้อมกันกับคนดู
ผู้คนเรียกผลงานของเขาว่า ‘ภาพยนตร์แห่งความปรารถนา’ และเขาเองก็เรียกมันว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ถึงแม้สัมผัสทุกส่วนที่เรียกร้องจะเป็นจุดเด่นใจกลางผลงานของเขา แต่มันก็ไม่ได้มีแค่นั้น ตั้งแต่งานแรก ๆ อย่าง The Protagonists และ Melissa P มาจนถึงไตรภาคสร้างชื่ออย่าง I Am Love (กับทิลดาในบทสาวผู้ต้องกดความปรารถนา), A Bigger Splash (กับโศกนาฏกรรมสามเส้า) และ Call Me by Your Name (กับสัญลักษณ์ของ ‘ลูกพีช’ ที่สะท้อนความปรารถนาวัยเริ่มหนุ่ม)
ต้นปี 2024 นี้เขาสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งกับภาพยนตร์ที่ชวนให้ไบใจสั่นอย่าง ‘Challengers’ และปลายปีนี้ เขากลับมากับ ‘Queers’ ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมชาย(ไม่ค่อย)แท้ยุคบีทเจเนอเรชัน ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งเสพติดมึนเมาและเรื่องฉาว ๆ ทางเพศ
ก่อนจะไปชมหนังเรื่องใหม่ของเขากัน GroundControl ชวนมาสำรวจผลงานที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์จัดจ้านของเขากัน มองผ่านเพื่อนร่วมงานที่หลากหลายของเขา และนัยแฝงที่ซ่อนในความปรารถนาของเขา
คนนอกของหนังอิตาลี
“หนังที่ผมทำมันไม่ได้เป็นสิ่งที่คนในวงการหนังอิตาลีจะตื่นเต้นเสมอไป แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดด้วย เพราะอุตสาหกรรมหนังอิตาลีที่เป็นมาตลอด 30 ปีมันเป็นคนละเรื่องกันเลยกับสิ่งที่ผมอยากทำ”
ลูกา กวาดาญีโน เกิดที่แคว้นซิซิลี ทางตอนใต้ของอิตาลี แม่ของเขาเป็นชาวอัลจีเรีย พ่อของเขาเป็นชาวซิซิเลียน แต่เขาเติบโตขึ้นที่ประเทศเอธิโอเปียและซิซิลี ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่โรม เพื่อเข้ารับ ‘การศึกษานอกระบบ’ ทางภาพยนตร์ ด้วยการดูหนังวันละสามเรื่องแล้วก็อ่านแต่หนังสือเกี่ยวกับหนัง
ทั้งหมดนั้นคงพออธิบายได้ ว่าทำไมเขาถึงได้ฉายาว่า ‘คนนอกของวงการหนังอิตาลี’
ที่จริงเขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งกรุงโรม ‘Sapienza’ ในสาขาประวัติศาสตร์วรรณกรรมและภาพยนตร์ ซึ่งที่นั่นเขาก็ได้พบกับดาราและผู้กำกับระดับตำนานของอิตาลีมากมาย อย่างเช่น เบอร์นาโด แบร์โตลุคชี (Bernardo Bertolucci) ซึ่งเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญให้ความรู้การทำหนังกับเขาด้วย
และจุดเปลี่ยนแรกในชีวิตของเขา ก็มาถึงในปี 1999 กับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกในชื่อ ‘Protagonists’ ซึ่งได้ดาวรุ่งอย่างทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) มารับบทนำ เป็น ‘ผู้กำกับหนัง’ และนักแสดง และผู้สืบสวนการฆาตรกรรมโดยวัยรุ่นคู่หนึ่งผ่านการทำหนังเกี่ยวกับมันขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นหนังต้นทุนต่ำประเภทใช้เพื่อนแทนการใช้เงิน (คงเหมือนกับหนังเรื่องแรกของหลาย ๆ คน) แต่มันออกมาสุดยอดได้ เพราะรูปแบบหนังที่สะท้อนย้อนกลับไปยังกระบวนการสร้าง ‘สารคดี’ อีกด้วย ว่ามันส่งผลต่อการรับรู้ของคนอย่างไร และทำไมคนถึงชอบดูสารคดีที่สร้างจากคดีโหดจริง ๆ กันนัก
เกร็ดเล็ก ๆ จากช่วงนี้คือ ลูกาเคยติดต่อไปหาทิลดาก่อนที่พวกเขาจะได้ทำงานด้วยกันด้วย โดยเขาเขียนจดหมายทาบทามเธอให้มาแสดงใน ‘Penny Arcade Peep Show’ ภาพยนตร์สั้นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือของ วิลเลี่ยม เอส เบอร์โรห์ส (William S Burroughs) นักเขียนชายแทร่บ้านรวยเล่นปืนเล่นยาจากกลุ่มบีทเจเนอเรชัน เราไม่รู้ว่าเขาเขียนอะไรบ้างในจดหมายฉบับนั้น แต่จากการร่วมงานของทั้งสองในหนังเรื่องต่อ ๆ มา เอกลักษณ์ของพวกเขาก็โดดเด่นขึ้นมาชัดเจนขึ้น ว่ามันคือการ ‘กลาย’ ของทิลดา จากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง การเปลี่ยนตัวตนที่หมายถึงทั้งการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก และการเปลี่ยนเข้าไปถึงเนื้อแท้ภายใน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนจากผู้กำกับไปเป็นนักแสดง หรือการเปลี่ยนที่สุดขั้วในหนังเรื่องถัด ๆ มาของพวกเขา
ไตรภาคแห่งปรารถนา
จุดสำคัญแรกในชีวิตคนทำหนังของเขา มาถึงพร้อมกับหนังเรื่อง ‘I Am Love’ (2010) ซึ่งได้ทิลดา สวินตันมานำแสดงอีกครั้ง คราวนี้เป็นแม่หญิงผู้ร่ำรวยแต่กลับทิ้งชีวิตคู่ไปหาเชฟหนุ่มเพื่อนลูกชาย นี่คือหนังเรื่องแรกจาก ‘ไตรภาคแห่งปรารถนา’ ซึ่งตามมาด้วย ‘A Bigger Splash’ (2015) และ ‘Call Me By Your Name’ (2017)
ในขณะที่ I Am Love ทิลดาในร่างของเศรษฐีสาวตกหลุมรักชายหนุ่มรุ่นลูก และพาไปสู่จุดจบแบบโศกนาฏกรรมของครอบครัว ใน A Bigger Splash ทิลดาเป็นร็อคสตาร์ผู้ใช้วันพักผ่อนอยู่บนเกาะในอิตาลีกับแฟนหนุ่ม แต่ต้องมาเจอกับแฟนเก่าเจ้าสำราญเสียอย่างนั้น และมันก็กลายเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมที่พบจุดจบถึงชีวิต
Call Me By Your Name อาจจะเป็นหนังที่ภาพสวยใสที่สุดแล้วในไตรภาคนี้ แต่ก็เป็นหนังที่ขมขื่นไม่แพ้สองเรื่องก่อนหน้าเลย ที่ ‘สักแห่งทางตอนเหนือของอิตาลี’ เอลิโอ (แสดงโดยทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet)) เด็กหนุ่มวัยว้าวุ่นเริ่มทำความรู้จักความรู้สึกปรารถนาของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการใกล้ชิดกับชายหนุ่มนักศึกษาที่มาช่วยพ่อของเขาทำงานวิจัย และก็เป็นเรื่องนี้เอง ที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพชาวไทย สยมภู มุกดีพร้อม เป็นครั้งแรก
ทั้งสามเรื่องเป็นเหมือนกระบวนการขุดค้นทางโบราณคดีไปสำรวจอานุภาพของความปรารถนา ว่ามันพาเราไปที่ไหนได้บ้าง และเปลี่ยนเราให้กลายเป็นอะไรไปได้บ้าง หนังของลูกาดักจับมวลความรู้สึกที่ลอยล่องอยู่ในอากาศให้มาปรากฎบนแผ่นฟิล์ม ในความเงียบที่น่าอึดอัด ในการจ้องมองจากระยะสายตาที่ชิดใกล้ หรือในแสงไฟยามค่ำคืน หนังของเขาขยายประสาทสัมผัสทุกส่วนที่บรรจุความปรารถนาเอาไว้ ให้เข้มข้นยิ่งขึ้นมาอีก ตามเส้นทางอารมณ์ของเหล่าตัวละครหลักในหนังของเขา
ข้ามพรมแดนรักสู่สยอง ข้ามฟ้าสดใสของอิตาลีไปสู่เม็กซิโกซิตี้ปี 50s
หนังเรื่องต่อมาของเขาเปลี่ยนแนวไปอย่างสิ้นเชิง จาก Call Me By Your Name ในปี 2017 เขากลับมากับหนังสยองขวัญ ‘Suspiria’ ในปี 2018 แต่มันไม่ได้เป็นหนังสยองขวัญทั่ว ๆ ไปตามขนบ มันยังเต็มไปด้วยงานภาพที่งดงามของสยมภู มุกดีพร้อม และเรื่องราวการ ‘กลาย’ ของตัวละครหลัก ที่รับบทโดยทิลดาอีกครั้ง หนังที่เกี่ยวกับคณะเต้นรำเรื่องนี้จับเรามาอยู่ในจุดที่แสนกระอักกระอ่วนระหว่างการชื่นชมภาพสวยงาม กับความรู้สึกสะพรึงที่มาพร้อมกัน
ใน ‘Bones and All’ (2022) ลูกาเล่าเรื่องราวโร้ดทริปของเด็กวัยรุ่นกำลังเติบโต แต่แค่สิ่งที่ทำให้เด็ก ๆ อย่างพวกเขาแปลกแยกออกจากสังคม คือพวกเขากินเนื้อมนุษย์ มันเป็นความโรแมนติกที่มากับความเปราะบาง มันถูกเรียกว่า ‘หนังสยองขวัญที่โรแมนติกที่สุด’ ด้วยการผสมผสานฉากดิบโหดเละเข้ากับสายตาหวานซึ้งเข้าใจกันและกันของสองตัวละครหลัก และนั่นคือหนึ่งในสิ่งที่ยืนยันตัวตนคนทำหนังของลูกาได้เป็นอย่างดี ว่าเขายังคงใช้ศาสตร์ภาพยนตร์สำรวจตัวตนมนุษย์ที่ซับซ้อน และความปรารถนาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าของพวกเรา
ลูกาขยับมาสำรวจความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอีกครั้งใน ‘Challengers’ (2024) กับความสัมพันธ์สามเส้า (คล้ายใน A Bigger Splash) ของสองหนุ่มหนึ่งสาวนักเทนนิส ซึ่งเหล่านักวิจารณ์ต่างก็เทใจให้ความงามของร่างกายในหน้าจอ แม้มันจะดูไม่ได้เข้มข้น (ทางเนื้อหาและการสำรวจความปรารถนา) เหมือนในเรื่องก่อน ๆ ของเขา แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งหนังภาพสวยเพลงเพราะ ที่เขาหยอดองค์ประกอบของการแข่งขันและการทะเยอทะยาน เข้ามาผสมในความสัมพันธ์ จนทำให้มันเป็นหนังอีกเรื่องที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง
และในปลายปี 2024 ที่ผ่านมานี้ เขากลับมากับ ‘Queer’ หนังที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือของ วิลเลี่ยม บอร์โรห์ส (ได้ทำสักที) ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวก็เต็มไปด้วยเสียงกล่าวขานถึงฉากรักที่รุนแรง โดยฉากในหนังจะเป็นเมืองเม็กซิโกซิตี้ช่วงปี 1950s กับความสัมพันธ์ระหว่างชายต่างวัย (อีกแล้ว) แต่ด้วยเซ็ตติ้งที่เปลี่ยนไป และเนื้อเรื่องที่อิงมาจากวรรณกรรม (ซึ่งอิงมาจากประสบการณ์ตรงของนักเขียนสายโหด) เราเชื่อว่าผู้ชมคงเตรียมพบอะไรใหม่ ๆ จากเขาได้แน่นอน
อ้างอิง
[Vivarelli N Luca Guadagnino On Reuniting With Timmy Chalamet,](https://variety com/2022/film/global/luca-guadagnino-timothee-chalamet-bones-and-all-profile-1235434189/) MGM’s “Challengers ” Variety Published November 16, 2022 Accessed November 21, 2024
Larocca, A (2010, May 19) [Tilda Swinton on Starring In and Producing the Luca Guadagnino–directed Film “I Am Love](https://nymag com/movies/features/66159/)” -- New York Magazine - Nymag New York Magazine; nymag
[Luca Guadagnino on desire](https://www culturaldaily com/luca-guadagnino-desire/ ) - Cultural Daily (2017, November 22) Cultural Daily - Independent Voices, New Perspectives