“อ๋อ เด็กเขาคงเล่นกับแม่ซื้อน่ะ” คำตอบมาตรฐานจากญาติผู้ใหญ่เวลาเห็นเด็กเล็กนั่งเล่นกับอากาศอันว่างเปล่า สะท้อนความเชื่อเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นอย่าง ‘แม่ซื้อ’ ที่ปลูกฝังอยู่ในความเชื่อของคนไทยมาอย่างช้านาน แถมความเชื่อนี้ยังไม่ได้มีเพียงตำนานเดียว แต่แตกแขนงออกเป็นสี่สายตามแต่ละภูมิภาคของไทย โดยแต่ละพื้นที่ต่างมีคำอธิบายและภาพของแม่ซื้อในมุมที่แตกต่างกัน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทุกเรื่องเล่าตรงกันเสมอ นั่นก็คือเรื่องความรักและการปกป้องของแม่ซื้อ
แต่หลังจากได้ชมภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง ‘แม่ซื้อ’ ที่เพิ่งเริ่มสตรีมใน Prime Video เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะเริ่ม ‘ขนลุก’ เพราะการมาของ 'แม่ซื้อ' ในครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงการมา ‘ช่วยเลี้ยง’ หรือปกป้องอย่างอ่อนโยนเพียงอย่างเดียว แต่อาจหมายถึงการมา ‘ดัดสันดาน’ หรือ ‘ปรับทัศนคติ’ ด้วยวิธีที่คาดไม่ถึงได้ด้วย
และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตีความแม่ซื้อในมุมสยองขวัญเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ก็คือสองผู้สร้างอย่าง ‘ปกป้อง - ไพรัช คุ้มวัน’ (ผู้กำกับ) และ ‘แป๊ป - ชาญชนะ หอมทรัพย์’ (ผู้เขียนบท) โดยทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาก่อนในภาพยนตร์เรื่อง ‘สยามสแควร์’ โดยการกลับมาร่วมมือกันครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดความสนใจร่วมกันในการสำรวจ ‘ผีไทย’ ผ่านมุมมองใหม่ที่ทั้งร่วมสมัยและชวนขนหัวลุก
หลังจากที่เราได้ข่าวโปรเจกต์นี้ เราก็ตั้งตารอที่จะได้พูดคุยกับพวกเขาทั้งคู่ และตัดสินใจนัดหมายกันในช่วงบ่ายวันหนึ่งที่วัดโพธิ์ สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์และเรื่องเล่าจากอดีต และที่สำคัญที่สุดคือ ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของงานจิตรกรรมแม่ซื้อประจำวันทั้ง 7 ตน หนึ่งในข้อมูลอ้างอิงและแรงบันดาลใจสำคัญที่ทั้งคู่ใช้ในการตีความและออกแบบ ‘แม่ซื้อ’ ในเวอร์ชันภาพยนตร์ที่เราได้ชมกัน
เราได้ชวนทั้งคู่ย้อนกลับไปยังโมเมนต์ตั้งต้นของการสร้างโลกใบนี้ ตั้งแต่การสำรวจเบื้องหลังการออกแบบของ ‘แม่ซื้อ’ ที่น่าสะพรึงกลัว การถอดรหัสที่มาของเสียงจุ๊ปากอันเป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึงการตัดสินใจเลือกฉากหลังเป็นโรงเรียนดัดสันดานบนเกาะห่างไกล ในยุคสมัยปี 2519 ที่ทุกอย่างดูสิ้นหวังและไร้ทางหนี ตามมาอ่านบทสนทนาในวันนั้น และสนุกกับการสำรวจเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องแม่ซื้อไปด้วยกันได้เลย
(ซ้าย) ปกป้อง - ไพรัช คุ้มวัน, (ขวา) แป๊ป - ชาญชนะ หอมทรัพย์
ถอดรหัส ‘แม่ซื้อ’ คุยเรื่องการตีความแม่ซื้อจากผีผู้ปกปักสู่ผู้พิทักษ์สุดอันตราย
GC: ช่วยเล่าจุดเริ่มต้นของการหยิบ ‘แม่ซื้อ’ มาตีความใหม่ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ และอะไรในตำนานนี้ที่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกว่ายังมีพื้นที่ให้เราสำรวจได้
พี่ปกป้อง: ตอนที่พัฒนาบท เราก็เริ่มจากการที่ชอบนั่งคิดโปรเจกต์เล่นๆ แล้วมักจะคิดเป็นแนวสยองขวัญ เพราะเรารู้สึกว่าหนังสยองขวัญมันสามารถแทรกความครีเอทีฟ และแอบใส่ประเด็นทางสังคมที่เราอยากพูดถึงได้แบบไม่ยัดเยียดมาก ซ่อน ๆ ไว้ได้ครับ
พอได้ไอเดียนี้เราก็มองหากันต่อว่าอยากทำหนังผีแบบไหน ช่วงนั้นอาจจะเป็นเทรนด์มั้งครับ ที่มีหนังผีฝรั่งแนว Folk Horror อย่าง Midsommar หรือ The Witch เราก็รู้สึกว่าไทยก็น่าจะทำหนังที่มีบรรยากาศหลอนมาก ๆ แบบนั้นได้เหมือนกัน ก็เลยมานั่งมองหาว่ามีเรื่องหรือมีผีอะไรที่เรายังไม่เคยเล่าบ้าง จนมาสะดุดใจอยู่ที่เรื่องของ 'แม่ซื้อ' นี่แหละครับ
ก่อนหน้านั้นเราจะรู้จักแม่ซื้อในฐานะผีที่ดูแลเด็ก ปกป้องเด็ก เราก็เลยรู้สึกว่าไอเดียของการดูแลและปกป้องเนี่ย ถ้ามันทวิสต์ไปไกลกว่านั้นได้ มันก็จะกลายเป็นของที่ใหม่ขึ้นมา บวกกับพอไปค้นข้อมูลก็พบว่า ยังไม่เคยมีหนังไทยทำเรื่องแม่ซื้อเลย ก็รู้สึกว่าอันนี้คนรู้จัก และน่าจะทำให้เราสร้างเป็นตำนานบทใหม่ได้ ดีไซน์ตัวละครออกมาได้ในแบบฉบับของเราเอง ซึ่งจะต่างจากการทำหนังผีที่คนรู้จักอยู่แล้ว ถ้าในกรณีนั้นเราต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลงมันเพื่อเปลี่ยนภาพจำครับ
GC: ตอนรีเสิร์ชเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองคนเริ่มต้นจากอะไร ใช้ข้อมูลจากแหล่งไหน และพบอะไรบ้างคะ
พี่แป๊ป: จริง ๆ เริ่มต้นเราก็ Google คำว่า “ตำนานแม่ซื้อ” ก่อนเลยครับ ง่ายที่สุด (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็ไปเจอบทความในนิตยสารศิลปวัฒนธรรมของมติชน แล้วก็เจอข้อมูลว่าแม่ซื้อมี 7 วัน มีรูปอยู่ที่วัดโพธิ์ และมีข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ เราก็เข้าไปค้นดูครับ แต่ว่าข้อมูลเหล่านี้ สุดท้ายมันอาจจะไม่ได้อยู่ในหนังทั้งหมด แต่มันเป็นเหมือนข้อมูลตั้งต้นที่ทำให้เราเข้าใจที่มาของแม่ซื้อมากขึ้น
พี่ปกป้อง: จากรีเสิร์ช เราพบว่ามีตำนานแม่ซื้อทั้งภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ครับ แต่ภาคที่เขาเขียนรูปลักษณ์เอาไว้ชัดเจนคือของภาคกลาง ที่เขียนไว้ที่วัดโพธิ์ เขาจะบอกว่าแม่ซื้อมีทั้งหมด 7 ตน ประจำครบทั้ง 7 วันของสัปดาห์ ตัวเป็นคน เป็นผู้หญิง แต่หัวเป็นสัตว์
GC: แสดงว่าแม่ซื้อมีตำนานแยกกันครบทุกภาคเลย ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงเลือกใช้ตำนานจากภาคเหนือมาเล่าในภาพยนตร์เรื่องนี้
พี่ปกป้อง: เพราะเราอยากให้ตัวละครในหนังมีความเป็น 'คนนอก' ที่เข้ามาอยู่ในสังคมใหม่ ประกอบกับสังคมไทยในยุคก่อน มันจะมีการตีตราค่อนข้างแรงกับคนที่มาจากบ้านอื่นเมืองอื่น หรือที่เรียกกันว่าคนบ้านนอกนั่นแหละ เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าให้พื้นเพของนางเอกมาจากทางภาคเหนือ มันน่าจะเข้ากับเรื่องและตัวละครที่เรากำลังเซ็ตอยู่ ที่สำคัญคือภาคเหนือจะมีความก้ำกึ่งระหว่างพม่าและชาติพันธุ์อื่น ๆ เพราะอยู่ติดชายแดน เลยสามารถลิงก์เรื่องราวไปถึงความเชื่อเรื่อง 'นัต' หรือ ผีตามความเชื่อท้องถิ่นของพม่าได้ ซึ่งมันเข้ากับสิ่งที่เราอยากเล่าในเรื่องนี้ ในทางกลับกันเราจะไม่เห็นสิ่งนี้จากภาคอื่น ๆ เช่น ภาคอีสาน เขาจะมีความเชื่อค่อนไปทางขอมมากกว่า เราก็เลยสนใจเซ็ตติ้งฝั่งภาคเหนือมาก ๆ ครับ มันชวนให้เราแปลกตาดี
และเหตุผลสุดท้ายซึ่งอาจจะไร้เหตุผลนิดหน่อยนะครับ (หัวเราะ) คือเรารู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ยินสำเนียงภาคเหนือในโลกภาพยนตร์เท่าไร เลยอยากใส่สิ่งนี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ดู
เครดิตภาพ: ภาพยนตร์แม่ซื้อ
GC: ตอนดูภาพยนตร์ ช่วงทำพิธีตัดแม่ซื้อน่ากลัวมาก ๆ อยากรู้ว่าพิธีตัดแม่ซื้อที่เราเห็นในหนัง มีอยู่จริงไหม หรือเป็นการแต่งเติมขึ้นเพื่อให้เข้ากับเรื่องราว
พี่ปกป้อง: มีจริงครับ แต่ว่าไม่ใช่แบบในหนังเป๊ะ ๆ พิธีปกติที่คนทำกันคือเอาเด็กไปร่อนในกระด้งครับ ส่วนความเชื่อที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรานำมาปรับใช้เป็นพิธีแม่ซื้อในเรื่อง จะมาจากความเชื่อของภาคกลางเรื่องตุ๊กตาเสียกบาล ที่มีการปั้นตุ๊กตาขึ้นมาเพื่อหลอกผีว่าเป็นตัวแทนของคน เราก็เอาความเชื่อนี้มาผูกกับเรื่องที่แม่ซื้อเอาดินมาปั้นจนเป็นคน เลยแก้เคล็ดด้วยการปั้นตุ๊กตาดินเนี่ยแหละ แล้วก็เอามาหัก เหมือนบอกผีว่า ลูกตายแล้วนะ ไม่ต้องมายุ่งแล้ว เป็นการหลอกผีไปครับ
ส่วนพิธีกรรมในหนังเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ให้มันจำง่าย ๆ และน่ากลัว มีการดีไซน์ท่ารำให้เหมือนเป็นการรำบูชาเทพเจ้า เราอยากให้มีความชดช้อย แต่สีหน้าจะนิ่ง ๆ เหมือนผี แล้วพอพวกเขาทั้งหมดรำพร้อมกัน พร้อมกับเสียงสวดที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็ได้แรงบันดาลใจมากจากเสียงสวดภาณยักษ์ ทุกอย่างเลยออกมาเป็นฉากที่เห็น
เครดิตภาพ: ภาพยนตร์แม่ซื้อ
GC: แล้วตัวละครแม่ซื้อล่ะ มีการดีไซน์อย่างไรบ้าง ช่วยเล่าให้เราฟังถึงกระบวนการออกแบบตัวละครนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรบ้าง ทั้งเสื้อผ้า บุคลิก และน้ำเสียง
พี่ปกป้อง: โจทย์แรกของเรื่องนี้คือ เราอยากทำหนังที่มันไอคอนิก คืออย่างน้อยอีก 10-20 ปี ถ้านึกถึงแม่ซื้อขึ้นมาก็อยากให้เขาจดจำเป็นภาพตัวละครนี้ เราเลยพยายามสร้างอะไรที่มันง่ายแต่มีรายละเอียดแน่น ซึ่งมันก็อิงมาจากช่วงรีเสิร์ช เราเจอว่าตำนานภาคกลาง (ที่วัดโพธิ์) บอกว่าแม่ซื้อตัวเป็นผู้หญิงแต่หัวเป็นสัตว์ ตอนแรกเราสนใจ Visual นั้นมาก รู้สึกว่าน่าจะน่ากลัวดี แต่พอดู ๆ ไป เรารู้สึกว่าพอแม่ซื้อมีหัวเป็นสัตว์มันดูฝรั่งไปหน่อย มันมีความ Cult เหมือนเป็นลัทธิอะไรสักอย่าง ไม่ตอบโจทย์ ก็เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนไอเดียดีกว่า กลับมาที่รากเหง้าของมันคือเรื่อง 'การเป็นแม่' ก็คือเป็นผู้หญิงมาดูแล แต่เราก็อยากอัปเกรดให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ผู้หญิงแก่ผมยาว
ภาพเริ่มชัดขึ้นมาจริง ๆ ตอนไปไหว้พระธาตุดอยคำ ปกติผมไปบนขอให้ได้ทำหนังที่นั่นครับ (หัวเราะ) ที่นั่นเราได้เจอกับรูปปั้นที่เวลาเราเดินผ่านเราจะรู้สึกว่าสายตาของรูปปั้นดูคุกคามเราดี คือเรารู้สึกว่าตาของรูปปั้นมองตามเราได้ เลยคิดขึ้นว่า ยังไม่เคยมีใครเอาฟิกเกอร์แบบรูปปั้นมาดัดแปลงเป็นผีตัวหลักเลย ก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะเอาองค์ประกอบนี้มาพัฒนาได้ เลยเป็นจุดตั้งต้นของการดีไซน์ตัวละครนี้ให้สวมหน้ากาก และอย่างที่บอกคือมันดูยิ้ม ดูใจดี แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูคุกคามด้วย เด็กอาจจะรู้สึกว่าเขายิ้มให้ แต่ด้วยความเป็นหนังผี ความน่ากลัวเลยต้องนำหน้าขึ้นมามากกว่า สำหรับคอสตูมเราอยากให้แม่ซื้อใส่ชุดไทยนี่แหละ แต่ด้วยความที่เราให้พื้นเพตัวละครมาจากเหนือ ผีก็ตามมาจากเหนือ เลยอ้างอิงชุดจากทางเหนือมา ทั้งวิธีนุ่ง วิธีพาดผ้า
จากนั้นก็เป็นการดีไซน์จุดที่เรามองไม่เห็นตัวเขาแล้ว พวกบรรยากาศเวลาเราไม่เห็นตัวเขาแต่เรารู้ว่ามี หรือช่วงเวลาก่อนที่ตัวเขาจะโผล่มา สิ่งสำคัญเลยคือเสียง ถ้าใครได้ดูหนังแล้วก็จะสังเกตเลยว่าจะมีเสียงเพลงกล่อมเด็กโผล่มาเป็นระยะ ๆ รวมถึงเสียงจุ๊ปาก “จุ๊ ๆ” เหตุที่เราเลือกเสียงนี้มาเพราะชวนให้นึกถึงเวลาผู้ใหญ่จุ๊ปากเพื่อเตือนเด็ก ๆ คือเราพยายามหาองค์ประกอบที่มันใกล้ตัว ง่าย ๆ แต่รู้สึกขนลุกได้ เอามาผสมกัน แต่ไม่ให้เยอะเกินไป ให้คนจำได้ว่า ถ้าได้ยินเสียงจุ๊ปากหรือเสียงกล่อมเมื่อไร เดี๋ยวแม่เขาจะมาแล้วครับ
GC: ว่าด้วยเรื่องพลังอำนาจของผีแม่ซื้อบ้าง คือดูไปแล้วชวนให้นึกถึงคำว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” มาก ๆ เลย ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าที่มาของการออกแบบพลังอำนาจของตัวละครนี้คืออะไร
พี่ปกป้อง: อันนี้เรียกว่าเป็นแมคคานิกของผีตัวนี้เลยก็ว่าได้ครับ คือจากการรีเสิร์ชเรารู้ว่าแม่ซื้อมักจะมาปกป้องเด็ก แบบว่าเวลาเด็กจะตกจากเตียง หรือมาคอยเล่นด้วยแก้เหงา ซึ่งเรามองว่าสิ่งนี้มันคือการปกป้องแบบ Passive คือคอยช่วยเหลือซัพพอร์ต มันเลยนำไปสู่อีกความเป็นไปได้หนึ่งที่ตรงข้ามกัน นั่นก็คือการปกป้องแบบ Active แบบว่าถ้าใครแกล้งลูกกู เดี๋ยวมันก็โดนแบบที่ทำนั่นแหละ อะไรแบบนี้ มันคือการอิงมาจากไอเดียตั้งต้นเรื่องการปกป้อง แต่เอามาต่อยอดให้มันรู้สึกว่า นอกจากน่ากลัวแล้ว มันยังดู Aggressive ขึ้น ดุดันขึ้นครับ
GC: แล้วพาร์ทหน้ากากแตกออกในช่วงท้ายที่เผยให้เห็นใบหน้าภายใต้หน้กกาก สื่อถึงเรื่องพลังหมดหรือพลังเปลี่ยนขั้วอะไรแบบนี้หรือเปล่า?
พี่ปกป้อง: ไม่เชิงครับ เรารู้สึกว่าในเรื่องอาจจะเล่าแบบเรียบง่ายเลยก็คือ พอผีตัดสินใจว่าจะเอาอิงกลับไปอยู่ด้วยแล้ว บวกกับเขาโดนเอมพยายามทำลายตุ๊กตา มันเลยส่งผลกระทบมาที่หน้ากากเขาจึงค่อย ๆ แตกออก และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง ส่วนอันไหนจะดูน่ากลัวกว่ากันอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่สำหรับอิง เขาอาจจะรู้สึกว่าหน้าแบบที่มีหน้ากาก เป็นใบหน้าที่เขารู้สึกปลอดภัย แต่ใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากาก เป็นใบหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน มันก็จะรู้สึกไม่คุ้นและเกิดความกลัวขึ้นมาครับ
ซึ่งหน้ากากนี้มันก็จะไปล้อกับตัวละครอื่น ๆ ด้วยครับ เพราะคอนเซ็ปต์ของเรื่องมันพูดเรื่องการกะเทาะให้เห็นสันดานภายในของแต่ละคนอยู่แล้ว ทั้งตัวพลอย ตัวเอม หรือตัวอิงเองด้วย ทุกคนมันมี 'ข้างนอก' กับ 'ข้างใน' อยู่ ผีก็คือส่วนหนึ่งในการมาตอกย้ำไอเดียนี้ว่า ไม่ใช่แค่ผีนะ แต่เป็นคนทุกคนด้วยครับ
เครดิตภาพ: ภาพยนตร์แม่ซื้อ
เกาะห่างไกล โรงเรียนดัดสันดาน สถานที่ไร้ทางหนีแต่เต็มไปด้วยที่ไล่ ในยุค 2519 อันโกลาหล
GC: อีกหนึ่งพาร์ทที่สำคัญมากในเรื่องก็คือยุคสมัย ทำไมเรื่องนี้ต้องเล่าในบริบทของปี 2519?
พี่ปกป้อง: ก่อนหน้านี้ผมเล่าแบบติดตลกในรอบสื่อไปว่า เพราะไม่อยากให้ตัวละครถือโทรศัพท์ในฉาก (หัวเราะ) แต่อันนั้นเป็นเหตุผลโจ๊ก ๆ นะครับ ส่วนความตั้งใจจริง ๆ คือช่วงเวลาปี 2519 มันซัพพอร์ตเรื่องที่เราอยากเล่า เพราะในระหว่างรีเสิร์ชเราพบว่าช่วงปีนี้เกิดการเอาเด็กช่าง หรือเด็กที่อยู่ในคุก ไปเกณฑ์เป็นลูกเสือชาวบ้าน เพื่อเอามาสู้กับนักศึกษาช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
GC: แปลว่าเรื่องราวในซีรีส์คือเหตุการณ์ก่อน 6 ตุลาฯ
พี่แป๊ป: ใช่ครับ คือตอนคุยกันเราก็เห็นตรงกันว่าช่วงเวลานั้นมันน่าสนใจ เพราะเราเรียกช่วงเวลานั้นว่าปีแห่งความรุนแรง มันเป็นช่วงเวลาที่ความรุนแรงแมสมากสำหรับคนไทย ทั้งผ่านสื่อก็ดี ผ่านข่าวก็ดี พอรีเสิร์ชจะเห็นเลยว่ายุคนั้นคนเสพความรุนแรงกันจนกลายเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง มันน่ากลัวขนาดนั้นครับ ซึ่งมันส่งผลให้คนสามารถกระทำเรื่องที่รุนแรงได้โดยไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องผิด
เราเลยรู้สึกว่า พอเรามาพูดเรื่องความรุนแรงในโรงเรียนดัดสันดานบนเกาะ เราต้องหายุคสมัยที่คนดูเขาเชื่อได้ว่าสิ่งที่เห็นในเรื่องมันเกิดขึ้นได้จริง และช่วงเวลาที่ว่านั้นก็คือช่วง 2519 นี่แหละครับ อย่างตัวละครเอมหรือเพื่อน ๆ ที่บูลี่คนอื่น เขาก็ทำสิ่งเหล่านั้นไปโดยไม่คิดว่าตัวเองกำลังทำผิด เขาไม่มีความรู้สึกผิดเลย เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นสิ่งที่ ‘ถูกต้อง’ คือไม่ใช่แค่คิดว่าเป็นเรื่องปกติด้วยนะครับ เขามองว่ามันถูกต้องเลย แบบนี่คือนอร์มของที่นี่ ถ้าเธอทำตามนอร์มของที่นี่ไม่ได้ ทำตามกฎระเบียบไม่ได้ เธอก็จะโดนลงโทษ
ในมุมมองเรา ปี 2519 มันเหมือนเป็นโมงยามสุดท้ายก่อนที่คนจะเริ่มศิวิไลซ์ ถ้าสมมติเราทำหนังเรื่องนี้ให้มันโมเดิร์นกว่านั้น แบบสักปี 2530 หรือ 2540 คนก็จะไม่เชื่อแล้ว บรรยากาศในปีนี้เลยเหมาะกับโครงเรื่องของเราจริง ๆ ครับ
เครดิตภาพ: ภาพยนตร์แม่ซื้อ
GC: แล้วโลเคชันที่เป็นเกาะล่ะ ตั้งใจแต่แรกเลยหรือเปล่าว่าอยากให้เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในเกาะห่างไกล
พี่ปกป้อง: จริง ๆ ตอนแรกเราเขียนง่าย ๆ เลยครับ แบบให้เรื่องเป็นโรงเรียนที่อยู่กลางป่า หรือชานเมืองที่มันโดนตัดขาด เราเริ่มจากคอนเซปต์ 'Trap' ก่อนว่า อยากเอาตัวละครไปกองไว้ด้วยกันเยอะ ๆ เพราะมันจะถ่ายทำง่ายดี ควบคุมงบง่ายด้วย จนกระทั่งเจอข้อมูลเรื่อง 'พระราชวังที่เกาะสีชัง' ตอนรีเสิร์ช เราพบว่าที่นั่นเคยถูกสร้างให้เป็นพื้นที่ของโรงเรียนดัดสันดานมาก่อน เราเลยรู้สึกว่ามันมีอยู่จริงนี่หว่า แสดงว่าเราอ้างอิงเซ็ตติ้งนี้ได้ โดยที่ไม่รู้สึกว่าเมคขึ้นมาเลย
พอคิดแล้วว่างบประมาณไม่ได้ต่างจากเดิมมาก และยังเอื้อกับโครงเรื่องมากกว่าด้วย เราเลยชอบความเป็นเกาะมาก ชอบกว่าป่าหรือชานเมือง ตรงที่มันดูมีอิสระนะ เดินเพ่นพ่านไปไหนมาไหนก็ได้ แต่มันก็ยังอยู่ในเกาะอยู่ดี ออกไปจากเกาะนี้ไม่ได้ ต่อให้มีอิสรภาพก็จะมีแค่ในเกาะที่อยู่นี่แหละ เราเลยรู้สึกว่าเซ็ตติ้งนี้มันเอื้อให้ตัวละครมีพาวเวอร์ไดนามิกต่อกัน เราจะเห็นมุมมองที่หลากหลาย ทั้งคนที่โอเค อยู่ได้ ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร กับคนที่หลงในอำนาจจากพื้นที่นี้ หรือบางตัวละครก็จะอยากออกไปจากที่นี่มาก ๆ อะไรแบบนี้ครับ
GC: มันดูเป็นระบบซ้อนระบบมาก ๆ
พี่ปกป้อง: เราต้องการแทรกครับ แต่ไม่ได้อยากใส่แบบโจ่งแจ้ง (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงธีมของเรื่องเลย มันคือเรื่องของตัวละครที่พยายามจะ 'เอาตัวรอด' กันทั้งหมด ภายใต้ระบบที่ไม่เอื้ออำนวยให้ได้ใช้ชีวิต หรือกรอบลงโทษที่ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม คือเราพยายามจะจำลองสังคมลงมาให้มันเป็นหน่วยย่อย ๆ แหละครับ แล้วเรารู้สึกว่ามันก็ยังคล้ายกับปัจจุบันอยู่ เราใช้คำว่าตัวละครมันอยู่ในภาวะ ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ คือถ้าแข็งแรงก็เอาตัวรอดไป เรารู้สึกว่า เออ มันคือภาพจำลองของระบบสังคมไทยดีครับ
เครดิตภาพ: ภาพยนตร์แม่ซื้อ
มิติของตัวละครหญิง บนพื้นที่ไร้ (บทบาท) ชาย…จริงหรือ?
GC: อีกสิ่งที่สังเกตคือภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าผ่านภาพโรงเรียนดัดสันดานของผู้หญิงล้วน ๆ ทำไมถึงอยากเล่าเรื่องนี้ผ่านตัวละครหญิง
พี่ปกป้อง: เราเริ่มจากการอยากทำหนังแนว Girl Fight ให้มันมีความตาต่อตา ฟันต่อฟันครับ และอาจจะเป็นเพราะเราถนัดทำงานกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเยอะ ๆ มั้ง (หัวเราะ) แบบมันทำให้เรารู้สึกอยากรู้อยากเห็นเคมี เราเลยชอบแบบนี้มากกว่า
ในแง่ของเนื้อเรื่อง จากที่เราสังเกตพฤติกรรมและรีเสิร์ชมา บวกกับเราเคยอยู่โรงเรียนหญิงล้วนตอนเด็ก ๆ ที่เขายังเปิดให้เด็กผู้ชายเรียนด้วย เรารู้สึกว่าผู้หญิงน่ากลัวกว่าผู้ชาย หมายถึงในตอนที่เล่นงานกัน มันมีชั้นเชิง มีสงครามประสาท ไม่จบไม่สิ้น ส่วนภาพจำของผู้ชายก็คือต่อยกัน กระทืบกัน ยอม จบ แยกย้าย เหมือนผู้ชายจะมีวิธีปิดดีลที่ง่ายกว่า เราเลยคิดว่าผู้หญิงอาจจะพาเรื่องไปได้ไกลกว่า และมันน่าจะทำให้เกิดทั้งความสวยงามและความดาร์กไปพร้อมกันได้
ที่สำคัญคือมันเชื่อมโยงกับธีมความเป็นแม่ของแม่ซื้อด้วย อย่างครูปริศนาก็ถือว่าเป็นแม่ประจำโรงเรียน เรารู้สึกว่ามันอาจจะไม่เหมาะ ถ้าจะให้ครูผู้หญิงมาเฝ้า มาคอนโทรลโรงเรียนดัดสันดานที่เป็นผู้ชาย เซ็ตติ้งมันเลยจะอยู่บนคอนเซ็ปต์ของคำว่า 'แม่' ด้วยครับ
GC: พอต้องเขียนเรื่องราวในมุมมองของผู้หญิงรู้สึกท้าทายไหม หรือกังวลไหมว่าคนดูจะไม่เชื่อ
พี่แป๊ป: จริง ๆ โชคดีมากนะครับ เพราะว่าทีมจาก Prime Video ที่เข้ามาทำงานร่วมกันเป็นผู้หญิงทั้งหมด เขาเลยเข้ามาช่วยพัฒนา ช่วยเขียน และเกลาไดอะล็อกของตัวละครหญิง ซึ่งรับประกันว่าเรื่องนี้ ต่อให้ผู้กำกับเป็นผู้ชาย คนเขียนบทเป็นผู้ชาย แต่จริง ๆ แล้วเราผ่านการตรวจสอบในมุมมองผู้หญิงมาแล้วครับ
พี่ปกป้อง: แล้วเราก็ให้อิสระนักแสดงด้วยครับ เราก็ถามเขาแหละว่าพออ่านบทแล้วเขารู้สึกยังไง รู้สึกกับโลกใบนี้ยังไง เชื่อมันหรือเปล่า คิดว่าตัวละครถูกพาไปในสถานการณ์ที่จะตัดสินใจแบบนี้ได้แล้วหรือยัง คือเราจะถามทุกคนว่าต้องการอะไรอีกไหม ต้องการซีนในการส่งการตัดสินใจนี้มากกว่านี้หรือเปล่า หรือแค่นี้พอ เขาก็จะแชร์ความรู้สึกข้างในออกมาว่าตัวละครคิดแบบนี้อยู่ครับ
GC: แม้จะหญิงล้วนแต่เราสัมผัสได้ถึงพลังงานแบบ Masculine สูงมากในเรื่องนี้ ผ่านกฎระเบียบที่เข้มงวดและโครงสร้างอำนาจที่ชัดเจน ทั้งสองคนมองประเด็นนี้อย่างไร
พี่ปกป้อง: เราว่าทั้งหมดมันคือการที่ทุกอย่างมีระบบครอบอยู่แหละ เลยรู้สึกถึงความ Masculine ในเรื่องราว เช่น ครูปริศนา ก็เป็นผู้หญิงที่ถูกหล่อหลอมมาในสังคม 'ชายเป็นใหญ่' เหมือนกัน เขาก็จะมีความอยากใช้อำนาจในแบบที่เขาอาจจะเคยโดนกดทับมาก็ได้ครับ
เครดิตภาพ: ภาพยนตร์แม่ซื้อ
GC: หรือความรุนแรงในเรื่องเป็นผลผลิตจาก ‘ระบบ’ ที่ครอบงำพวกเธอไว้อีกที?
พี่ปกป้อง: เราว่าทุกคนมีทั้งสิ่งที่ตัวเองเลือก และสิ่งที่ถูกกดอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว แล้วเขาก็เลือกทางนั้นกันครับ อย่างครู จริง ๆ มีคำสั่งให้ปล่อยเด็กไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ปล่อย เพราะตัวเองได้เป็นพระเจ้า มีคนรับใช้ หรืออย่าง 'เอม' ที่ก็เคยโดนกระทำจากพ่อมาเหมือนกัน แต่เพื่อเป้าหมายเรื่องการเอาตัวรอด สุดท้ายเขาก็ใช้ความรุนแรง ใช้กฎของที่นี่มาเป็นประโยชน์กับตัวเอง หรือแม้แต่อิงก็ใช้อำนาจของแม่ซื้อในการทำร้ายคนอื่นเหมือนกัน
GC: ทั้งสองคนตั้งใจจะสำรวจประเด็น ‘การต่อสู้ของผู้หญิง’ ผ่านเรื่องราวสยองขวัญนี้เป็นพิเศษไหมคะ
พี่ปกป้อง: จริง ๆ อยากสื่ออยู่แล้วครับ แต่ไม่อยากให้เห็นชัด (หัวเราะ) คือใครจะดูหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญหนึ่งเรื่อง ก็ดูได้เลย แต่เรื่องประเด็นทางสังคมเรารู้สึกว่าเราแทรกมันมาเป็นหนึ่งในเซ็ตติ้ง เป็นโลกของมัน ที่ตัวละครต้องดิ้นรนกับระบบที่มันครอบเขาอยู่ ซึ่งระบบนั้นก็คือระบบในสังคมไทยที่ทุกคนคุ้นเคยกันนี่แหละครับ
GC: แล้วจริง ๆ เด็กในนั้นเขามีสิทธิ์ที่จะออกไปจากเกาะได้จริง ๆ ไหม?
พี่ปกป้อง: มีครับ อิงจากสมัยนั้น วิธีการปล่อยตัวจะขึ้นอยู่กับครูใหญ่ อย่างเอมเนี่ย โทษคือการพยายามฆ่าบุพการีและเผาบ้าน โทษใหญ่มาก และคนเดียวที่มีสิทธิ์อนุญาตให้ออกได้ก็คือแม่ครูปริศนา เอมเลยพยายามทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ออกไปครับ
พี่แป๊ป: ส่วนฝั่งครูปริศนาเขาก็มองว่าการที่เขาเก็บเด็กที่มีประวัติรุนแรงพวกนี้ไว้คือการช่วยเด็ก
พี่ปกป้อง: คือแบ็กกราวด์นี้อาจจะไม่ได้ปรากฏในเรื่องนะ แต่จริง ๆ เราทำที่มาที่ไปให้กับทุกตัวละครแหละ คือเหตุผลหลัก ๆ ของตัวละครแม่ครูเนี่ย คือเขาพยายามจะรักษาโรงเรียนนี้ไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองตกงาน ดังนั้นเขาก็ปล่อยให้เอมทำอะไรแย่ ๆ เหมือนว่าทำแล้วจะได้ออกไป แต่จริง ๆ เขานำมันไปเขียนรายงานว่า 'เอมทำตัวแย่' เพื่อที่เขาจะได้บอกเบื้องบนได้ว่า เพราะแบบนี้ฉันถึงต้องอยู่ดูแลที่นี่ต่อไป อะไรแบบนี้
พี่แป๊ป: เหมือนที่ครูบอกว่าพฤติกรรมของเด็กมันยัง 'ติดลบ' อยู่
พี่ปกป้อง: แต่ครูเป็นคนเขียนรายงานเอง (หัวเราะ)
GC: แปลว่าเอมก็ไม่รู้ด้วยว่าครูเหลี่ยมกับตัวเอง
พี่ปกป้อง: ในเวอร์ชันเก่าเคยใส่ไปแล้วครับ แต่รู้สึกว่ามันซับซ้อนไปหน่อย เลยเปลี่ยนเป็นแบบที่เห็น
เครดิตภาพ: ภาพยนตร์แม่ซื้อ
GC: อีกตัวละครที่พลิกเกมมาก ๆ ก็คือ ‘พลอย’ ที่มาที่ไปของตัวละครนี้ล่ะ
พี่ปกป้อง: จริง ๆ เราค่อยๆ พัฒนาตัวละครนี้ขึ้นมาครับ พลอยในดราฟต์แรก ๆ จะมาเป็นตัวช่วยอิง เหมือนเป็นเบ๊ของฝั่งเอมแบบที่เห็นในหนัง แล้วก็เป็นเหมือนโอเอซิสเล็ก ๆ ให้อิง ซึ่งตอนแรกไม่ได้คิดถึงขั้นว่าเขาจะกลายเป็นแบบนี้ในตอนท้าย จนกระทั่งทาง Prime Video เข้ามา แล้วเขาก็รู้สึกว่ามันยังมีพื้นที่ให้ตัวละครนี้มากกว่านี้นะ ซึ่งเราก็เห็นด้วย เพราะมันเข้าธีมของเรื่องที่พูดเรื่อง 'การเอาตัวรอด' เรารู้สึกว่าพอเขียนแบบนี้แล้วพลอยดูกลมขึ้นมาเลย
พี่แป๊ป: เพราะว่าหนังเรื่องนี้เราพูดถึงเรื่องคนที่มีอำนาจแล้วไปกดขี่กดทับคนอื่น แล้วคนที่เคยอยู่ใต้อำนาจก็จะกลับมาเอาคืน มันเลยสมดุลกัน
พี่ปกป้อง: เราว่ามันเหมือนปืน มันแย่งปืนกันอยู่ 3-4 ฝ่าย อยู่ที่ว่าจังหวะนั้นใครถือปืนครับ (หัวเราะ)
GC: คิดว่าถ้าอิงไม่มีแม่ซื้อช่วยจะสู้เอมได้มั้ยคะ
พี่ปกป้อง: ไม่น่าได้ครับ เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ อาจจะตายไปตั้งแต่ที่เก่าแล้วด้วยซ้ำ มันก็น่าสงสารเหมือนกัน เราอยากตั้งคำถามกับการที่ว่า 'ไอ้คนที่ไม่เคยสู้ได้ หรือไม่เคยมีทางสู้เลย แต่เมื่อมีอาวุธมาอยู่ในมือเขา เขาจะทำยังไงต่อ
เพราะภาพยนตร์มีชีวิตเป็นของตัวเอง
GC: ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มที่เริ่มเขียนบท จนถึงวันนี้ ทั้งสองรู้สึกอย่างไรกับภาพยนตร์เรื่องนี้บ้างคะ
พี่ปกป้อง: มันไม่ได้เหมือนกับที่คิดไว้ตอนแรกครับ ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของการทำหนังนะ คือเรารู้ว่าจะตั้งทรงไว้แถว ๆ นี้แหละ แต่เราจะไม่รู้ว่ามันจะเลี้ยวไปทางไหน พอเราเริ่มทำงานร่วมกับทีมงานหรือนักแสดงมันก็จะมีชีวิตของมันขึ้นมาเอง อาจฟังดูซ้ำ ๆ นะ แต่มันคือเรื่องจริง สุดท้ายเราจะทำได้แค่คอยดูอยู่ข้าง ๆ แล้วผลักมันให้เข้าที่เข้าทาง สิ่งนี่แหละที่เป็นเมจิกของการทำหนัง คือเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าตอนจบมันจะพาเราไปตรงไหน เอาจริง ๆ ก่อนเปิดกล้อง เรายังไม่รู้เลยว่าซีนจบที่เราเขียนไว้ ที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยทั้งหมดเนี่ย มันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้จริงเหรอวะ แต่เออ มันออกมาแบบนี้ได้แฮะ
เราว่านี่แหละคือความสนุกของการทำหนัง ตอนที่ได้คุยกับทีมออกแบบงานสร้าง พี่เต้ยในฐานะโปรดักชันดีไซเนอร์บอกว่า ไม่อยากให้หนังออกมาเป็นโทนสีเข้มแบบโกธิคจนเกินไป แต่อยากให้มีความอ่อนโยนแบบเฟมินีน มีโทนชมพูฟ้าผสมกัน ตอนนั้นเรายังนึกภาพไม่ออกเลย จนกระทั่งทำงานไปเรื่อยๆ พอหนังเสร็จถึงได้เห็นว่า มันออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ มันคือผลลัพธ์ของการร่วมมือจากหลายฝ่าย ที่ต่างเอาความทรงจำและมุมมองของตัวเองมาผสมจนกลายเป็นภาพเดียวกัน
พี่แป๊ป: รู้สึกคล้าย ๆ กับพี่ป้องเลยครับ เพราะว่าเราเป็นคนเขียนบท เราจะอยู่กับตัวหนังสือเป็นหลัก ซึ่งมันสองมิติมาก ๆ แต่พอมันมาเป็นหนัง และหนังมันมีชีวิต โลกของมันก็มีชีวิต ตัวละครก็มีชีวิตและจิตใจของมันเอง และหลังจากนี้ หลังจากที่มันได้ออกฉายจริง ๆ นี่แหละ ชีวิตของมันก็จะเริ่มต้นจริง ๆ แล้ว หมดหน้าที่เราแล้ว ที่เหลือคือการเฝ้าดูหนังของเราเติบโตอยู่ในใจ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนดูต่อไปว่าจะมองมันอย่างไรแล้วครับ
พี่ปกป้อง: ใช่ครับ ส่วนคนดูจะเกลียด จะสงสาร หรือจะรู้สึกอะไรก็ได้หมดเลย เราว่านี่แหละคือความสนุกของการทำหนังครับ
GC: สุดท้ายนี้มีอะไรอยากฝากถึงคนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ หรือกำลังคิดจะดูหนังเรื่องนี้ไหมคะ
พี่ปกป้อง: Subscribe Prime Video กันด้วยนะครับ (หัวเราะ)
พี่แป๊ป: (หัวเราะ) จริง ๆ ก็อยากให้ดูแม่ซื้อกัน อยากฝากแม่ซื้อเอาไว้ แล้วก็ Subscribe Prime Video กันนะครับ เพื่อที่ว่าถ้าดูแล้วชอบ ประทับใจ ก็อาจจะมีก้าวต่อไปของหนังไทยจากทาง Prime Video ครับ
พี่ปกป้อง: ส่วนอันนี้เป็นความรู้สึกที่จริงจังขึ้นมาหน่อยละ ด้วยความที่เราเป็นคนเล่นเกม แล้วเรารู้สึกว่าเกมปัจจุบันมันมีความเป็น Immersive เล่นกับทิศทางของเสียงเยอะมาก สิ่งที่อยากบอกเลยเป็นการแนะนำเรื่องวิธีการดูครับ คือเรารู้ว่ามันควบคุมยาก แต่ถ้าใครพอจะควบคุมได้ ก็อยากให้เน้นเรื่องเสียงครับ อยากให้ดูในสภาพแวดล้อมที่ดีหน่อย เพราะดีเทลมันเยอะ แบบว่าเรามิกซ์มาเป็น dolby atmos มันจะเซอร์ราวด์รอบด้าน ยิ่งใส่หูฟังยิ่งดีครับ
พี่แป๊ป: จริง ๆ การดู 'แม่ซื้อ' ไม่จำเป็นต้องดูคนเดียวนะครับ ชวนเพื่อนมาดูกันได้ อยากให้ดูแล้วพูดคุยกันต่อ ชวนเพื่อนคุยต่อได้เลยครับ หนังเรื่องนี้มีอะไรให้พูดถึงเยอะถ้าอยากจะพูดถึง
พี่ปกป้อง: ใช่ครับ คือจะดูเอาบันเทิงก็ได้ ดูเอาสาระก็ได้ เราทำไว้สองเลเยอร์อยู่แล้วครับ
แม่ซื้อ สตรีมแล้ววันนี้ใน Prime Video
ชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่




