เชอร์รีและก้อนหินประหลาดในความทรงจำ กับการทดลองศิลปะในนิทรรศการใหม่ของ ‘MM.Kosum’

Post on 10 March

‘น้ำพุ’ ‘เชอร์รี’ และ ‘ก้อนหินประหลาดขนาดใหญ่ที่นอนอยู่บนหญ้าตรงกลางห้อง’ เป็นตัวอย่างของผลงานที่กำลังจัดแสดงอยู่ในนิทรรศการ ‘Maybe Come See Me in The Sunlight Again’ ที่เลือกบอกเล่ามุมมองใหม่ ๆ ที่สะท้อนถึงการเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ผ่านงานศิลปะตั้งแต่ประติมากรรม ไปจนถึงชิ้นงานที่ถูกวาดลงบนแคนวาส ที่แสดงให้ถึงการทำงานที่ไม่ตายตัว

“เราไม่ได้มีภาพที่ชัดเจนว่ามันจะมีชิ้นงานไหนวางอยู่ตรงไหน หรือต้องจัดอะไรบ้าง เพราะการทำงานของเรามันค่อนข้างจะฟรีฟอร์มมาก ๆ เหมือนกับการ Improvise ตอนเล่นดนตรี”

เป็นบทสนทนาที่เกิดขึ้นในขณะที่เรากำลังชวน ‘MM.Kosum’ ศิลปินเจ้าของผลงานในนิทรรศการนี้ พูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดในการสร้างผลงานต่าง ๆ ทั้งก้อนหินที่วางอยู่ตรงกลางห้อง หรือรูปปั้นของเชอร์รีหลากหลายสี ที่หากเรามองผิวเผินก็จะเผลอคิดว่าชิ้นงานเหล่านั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวของศิลปิน แต่หากพินิจลงไปอีกก็จะรู้สึกว่าชิ้นงานทั้งหมดจริง ๆ แล้วมันเกี่ยวข้องกับเราโดยที่ไม่รู้ตัว

ทั้งหมดทั้งมวลจึงล้วนเกิดจากการเฝ้ามองในธรรมชาติของ MM.Kosum ที่หยิบยกสถานที่และวัสดุใกล้ตัวของมนุษย์มาใช้อย่างดิน สีพาสเทล หรือผงเม็ดสี เกิดเป็นผลงานศิลปะที่ผสมผสานความละเอียดอ่อนและพลังของธรรมชาติ ดั่งที่เราได้เห็นกันในนิทรรศการครั้งนี้

การเชื่อมโยงอันน่าประหลาดในผลงานของเธอที่กำลังจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ GroundControl จึงอยากชวนทุกคนเข้าไปพูดคุยกับ MM.Kosum เกี่ยวกับนิทรรศการนี้ เพื่อค้นหาความรู้สึกเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น รวมถึงความหมายของน้ำพุ เชอร์รี่ และ ก้อนหินประหลาด

สถานที่และความทรงจำรอบตัวที่แปรเปลี่ยนมาเป็นงานปั้น

“เราเคยไปอุ้มผางมาก่อน แล้วเรารู้สึกว่าชอบที่นี่มาก เพราะระหว่างทางที่ขับไป มันเหมือนวาร์ปเข้าไปอีกที่นึง ด้วยระยะเวลาของการเดินทางที่มันนาน และทิวทัศน์ที่มันอยู่รอบ ๆ ตัวมันค่อย ๆ เปลี่ยน ซึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันอยู่ในใจของเราตลอด”

“เหมือนมันจะมีช่วงหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็จะมีภาพเกี่ยวกับสถานที่ที่เคยไปเข้ามาในหัวเราตลอด ในนั้นมันจะมีภาพของหินก้อนหนึ่งที่โผล่เข้ามาในความคิด มันเป็นภาพของหินที่เราเคยขับรถผ่านเมื่อ 2-3 ปีก่อน ซึ่งมันวนเข้ามาบ่อยมาก ก็เลยจะกลับไปดูว่าหินก้อนนี้มันมีอยู่จริงหรือเปล่า หรือว่าเราแค่จินตนาการไปเอง เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เรารู้สึกว่ามัน Connect Dot ไปเรื่อย ๆ กลายมาเป็นข้อสงสัยว่ามันจะสามารถเกิดไปเป็นชิ้นงานอะไรได้บ้าง”

“เหมือนเราไปเจอก้อนหินหรือพื้นผิว แล้วแบบชอบ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปทําอะไรก็เลยเก็บไว้ที่สตูดิโอ ซึ่งพอกลับมาที่สตูดิโอก็จะเห็นภาพของข้าวของที่มันกระจัดกระจายอยู่ เพราะทุกอย่างที่มันรวมกัน พอถึงวาระที่จะทําโชว์ก็เลยนำวัสดุพวกนั้นมาประกอบกัน”

เชอร์รี่ในฐานะการเป็นตัวละครสมมุติ

“เรากลับไปไล่ดูว่าเราเริ่มวาดเชอร์รี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ย้อนกลับไปที่โชว์แรก ๆ ที่เริ่มมีเชอร์รี่ มันเกิดมาจากภาพวาดของเรา ที่เราจะชอบวาดมนุษย์แบบเป็นคู่เยอะมาก พอยิ่งวาดไปมันยิ่งเหมือนคนสองคนมันเชื่อมเป็นคนคนเดียวกัน เป็นเหมือนคู่แฝด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Fictional Character ของเราเอง ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเรื่องของฟอร์ม เพราะเราชอบเรื่องของรสชาติ หรือเรื่องของอาหาร เวลาทำงานมันเลยรู้สึกเหมือนกับกําลังอบขนมอยู่”

“ส่วนในแง่ของความหมาย ถ้าดูจากงาน Asleep Cherry ก็จะเห็นว่ามันมีก้านที่งอเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถาม เรารู้สึกว่าตอนเรามองเราจะรู้สึกอีกอย่างนึง มันไม่ได้มีอะไรตายตัวขนาดนั้น เป็นเหมือนการตั้งคำถามเวลาที่มองมัน แต่กลับกันก็รู้สึกว่าถ้าเกิดปล่อยให้ความหมายมันฟรี ปล่อยให้มันให้ชีวิตของมัน เราว่ามันน่าจะเพลินกว่าที่ได้มองมัน”

ก้อนหินประหลาดกับการสะท้อนตัวตน

“งานชุดนี้ที่เราทํามันเริ่มมีคาแรกเตอร์ที่นอนหลับเยอะขึ้น มันเป็นเหมือนการวาดโดยปล่อยใจให้สบาย ๆ แล้วก็ Relax มากขึ้น กลับไปตอนแรกเลยที่เราบอกว่าเราอยากทํางานสเกลใหญ่ขึ้น เลยลองหาวิธีกันว่าจะทำยังไง ก็เลยนึกย้อนไปถึงหินที่เราเคย Connect กับมัน ที่เราเคยเห็นมันเป็นภาพที่อยู่ในหัว คือมันประหลาดจนเก็บไปฝัน ก็เลยอยากทำให้มันกลายเป็นชิ้นงานจริง ๆ”

“เรารู้สึกว่ารูปที่เราวาดมาเรื่อย ๆ หรืองานที่เราทํามาเรื่อย ๆ มันเป็นเหมือนโลกอีกหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมา เป็นโลกที่มันไม่ได้อยู่ในความเป็นจริง เป็นสถานที่ที่เราจะได้หลีกหนีจากอะไรที่มันอาจจะทําร้ายเราหรือมันอาจจะไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง แต่งานศิลปะมันต้อนรับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว ค่อนข้างจะ Unconscious ประมาณนึง เพราะเราไม่สามารถออกแบบอะไรไว้ล่วงหน้าได้ เรารู้สึกว่าเราอยากจะสนุกกับการทำงานให้มากที่สุด เช่นเดียวกันกับก้อนหินประหลาดที่มันเซอร์ไพรส์เราเหมือนกัน”

MM.Kosum กับมุมองในการทดลองศิลปะ

“การทดลองของเรามันไม่ได้มีแบบแผนอะไรขนาดนั้น เหมือนไปเดินป่าแล้วก็ค่อย ๆ กรุยทางไปเรื่อย ๆ หรือเป็นการไปเจอประตูอีกบานที่เป็นเหมือนแสงสว่างที่ปลายถ้ําหรืออะไรมากกว่า หมายความว่าเราก็ทําไปเรื่อย ๆ เพราะมันสนุกมากกว่า ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สําคัญ”

“แต่สุดท้ายเราก็ยังต้องวางโกลให้ตัวเองด้วยเหมือนกันนะ อย่างนิทรรศการนี้ที่มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเรากำลังวกกลับมาที่จุดเดิม ซึ่งมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเรามันทรานส์ฟอร์มเหมือนกัน แบบเห็น Reflection ของตัวเองที่มันเปลี่ยนไป”

ป้าของเธออาศัยอยู่ริมทะเล กลายเป็นภาพของเด็กชายที่ถือเปลือกหอยสองใบแนบหู เชอร์รี่จำนวนมากดูเหมือนกำลังกระโดดไปมาบนผืนดินเหนียวที่ผสมทรายสีฟ้า

ระหว่างเดินทางไปพิสูจน์ว่าน้ำตกและก้อนหินที่เธอจินตนาการนั้นมีอยู่จริง เธอได้พบกับต้นกล้วยที่แสดงความสง่างามในตัวเอง ซึ่งถูกปกคลุมด้วยพืชเลื้อยที่งอกงามจนเขียวชอุ่ม

ที่อยู่ตรงกลางคือ “ก้อนหินประหลาด” ผลงานขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากการขยายประติมากรรมขนาดเล็กที่ปั้นด้วยมือ เป็นผลงานที่แบ่งออกเป็นสามส่วน บอกเล่าเรื่องราวของบุคคลในห้วงฝัน… การหลับ… และการฝันใหม่… - S. Yi Yao Chao

นิทรรศการ ‘Maybe Come See Me in The Sunlight Again’ โดยครอบครัว MM.Kosum’ จัดแสดงที่ MMAD MASS GALLERY ตั้งแต่วันนี้ - 16 มีนาคม 2568