สำรวจเรื่องเก่าเล่าใหม่สไตล์ ‘Narsid’ ศิลปินผู้หยิบสัญญะทางศาสนามาสร้างเป็นภาพประกอบร่วมสมัย

Post on 21 March

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันปี เสน่ห์ของเรื่องราวในศาสนา ตำนานปรัมปรา และปกรณัมทั้งหลาย ก็ยังคงติดตราตรึงใจผู้คนอยู่เสมอ ต่อให้เรื่องราวเหล่านั้นจะถูกเล่าขานออกมากี่รอบ และถูกดัดแปลงไปหลากหลายรูปแบบมากแค่ไหน แต่เราก็ยังสนุกกับการค้นหาความหมายและสำรวจเบื้องหลังสัญญะมากมายเหล่านั้นได้อย่างไม่รู้จบ เหมือนกับ ‘Narsid’ หรือ ‘ดานิส- พิชญะ วิมลธรรมวัฒน์’ ศิลปินนักวาดภาพประกอบอิสระผู้ใช้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาสร้างให้เป็นเรื่องราวใหม่ แต่ยังคงยึดโยงผู้คนในปัจจุบันให้เข้าใจได้ผ่านสัญญะอันน่าสนใจและงานศิลปะย่อยง่ายสไตล์ของเขาเอง

Narsid ได้เล่าถึงที่มาของนามปากกาตัวเองว่ามาจากการสลับสับเปลี่ยนคำในชื่อเล่นของตัวเองอย่าง ‘Darnis’ ให้กลายเป็น ‘Narsid’ (อ่านว่านารฺซิด) ซึ่งสอดคล้องกับสไตล์งานและความสนใจของเขาที่มักทำงานเกี่ยวกับสัญญะทางศาสนาหรือปกรณัมต่าง ๆ ในวัฒนธรรมอิสลาม ที่เชื่อมโยงกับฝั่งคริสต์และยูดาย หรือเรียกรวม ๆ ว่า ‘Abrahamic Religions’ หรือ ‘กลุ่มศาสนาอับราฮัม’ เพราะทั้งสามศาสนานี้มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว และมีอับราฮัมเป็นศาสดาพยากรณ์ โดยเขาได้นำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าใหม่ให้เข้าถึงความรู้สึกและธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังคงมีความรู้สึกรัก หลง เศร้า สุข อยู่ไม่จาง

Narsid อธิบายถึงรูปแบบผลงานของตัวเองว่า “เราทำงานกับสัญญะทางศาสนาหรือปกรณัมต่าง ๆ แต่นำเอามาใช้เล่าเรื่องใหม่ โดยส่วนมากจะนำมาใช้เล่าเรื่องราวของความรู้สึกและธรรมชาติของมนุษย์ที่คนปัจจุบันก็ยังเข้าถึงได้ เช่น ความรู้สึกรัก หลง เศร้า สุข ต่าง ๆ ซึ่งเรามองว่าอารมณ์เหล่านี้ เหตุการณ์เหล่านี้ ความรู้สึกเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องที่มนุษย์ในปี 2024 สามารถรับรู้ได้ ไม่ต่างอะไรจากผู้คนในอดีตกาลที่ก่อตั้งศาสนาหรือเขียนปกรณัมให้เราหยิบยืมสัญญะของเขามาใช้เลย”

“เราเชื่อว่าต่อให้คุณจะเป็นพนักงานออฟฟิศยุคปัจจุบัน หรือกสิกรผู้ทำงานกสิกรรมในยุคเมโสโปเตเมีย แต่ถ้าพูดถึงความทุกข์ของการสูญเสียคนรัก ไม่ว่าใครก็น่าจะเข้าใจได้ว่ามันโศกเศร้าแค่ไหน และยิ่งในช่วงหลังมานี้เราได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของ ‘Carl Gustav Jung’ นักจิตบำบัดและจิตแพทย์ชาวสวิส ผู้ก่อตั้งสำนักจิตวิทยาวิเคราะห์ขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 เรื่อง ‘Collective Unconscious’ หรือ ‘จิตไร้สำนึกร่วม’ ที่พูดถึงเรื่อง ‘Archetypes’ หรือ ‘แม่แบบ’ อันสื่อถึงสัญญะบางอย่างที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ในจิตใต้สำนึกเหมือนกันไม่ว่าจะมาจากที่ไหนบนโลกนี้ก็ตาม งานเขียนที่ว่านั้นทำให้เราเชื่อว่าการศึกษาและนำสัญญะโบราณมาใช้ในงานวาด จะช่วยสร้างเนื้อหาที่เป็นสากลและเชื่อมถึงมนุษย์ยุคปัจจุบันได้เยอะขึ้น”

“การทำงานหลัก ๆ ของเราจะเน้นไปที่งานแบบดิจิทัล เพราะสะดวกมากกว่าทั้งในแง่ของการแก้ไขและสีสันที่มีให้เลือกเป็นล้านสี แต่จริง ๆ แล้วตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงช่วงที่ทำโปรเจกต์ล่าสุด เทคนิคหลักที่เราเชี่ยวชาญคือ ‘Water-Medium Paint’ หรือตระกูลของสีที่ใช้น้ำเป็นหลัก โดยสีในตระกูลนี้ที่เราใช้มากที่สุดจะเป็นสีโกวเช่” Narsid ค่อย ๆ เล่าถึงกระบวนการทำงานของตัวเองให้เราฟัง

“จุดเริ่มต้นของการทำงานกับสีตระกูลนี้ของเราน่าจะคล้าย ๆ กับหลาย ๆ คน เพราะมีที่มาจากสมัยเรียนนั่นเอง เนื่องจากโจทย์การสอบเข้ามหาลัยศิลปะต่าง ๆ ในไทย ต้องการให้เด็กใช้สีโปสเตอร์เป็นทุกคน หลังจากฝึกใช้สีสไตล์นี้มา เราก็ค้นพบว่าสิ่งที่เราชอบในสีตระกูลนี้ไม่ใช่การทาให้เรียบเนียน แต่คือการที่เราค่อย ๆ ใช้พู่กันเล็ก ๆ สานเส้นรายละเอียดลงบนพื้นที่ที่ลงสีพื้นไว้แล้ว ด้วยความที่สีเหล่านี้มันละลายน้ำ ทุกครั้งที่เราสานเส้นสีใหม่ลงไปเพิ่มด้วยพู่กัน มันจะมีสีของเลเยอร์ก่อนหน้าที่ลงไปถูกดึงขึ้นมาผสมเสมอ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เราชอบมาก ๆ”

พอเห็น Narsid เล่าถึงที่มาของสไตล์การทำงานของตัวเองอย่างตั้งใจแบบนี้ ก็สัมผัสได้ถึงแพสชันและความชอบที่เขามีต่อแนวทางการทำงานของตัวเองจริง ๆ จึงชวนให้เราอยากตั้งคำถามต่อไปอีกถึงที่มาของแรงบันดาลใจทั้งหมดว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นทั้งหมดที่พาเขามาถึงวันนี้ ซึ่งเขาก็ตอบเราอย่างยินดีว่า “คงเป็นเพราะเราเติบโตขึ้นมาในครอบครัวมุสลิมล่ะมั้ง”

“เราคิดว่าเพราะเราเติบโตมาในครอบครัวมุสลิม เลยทำให้เราได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรม เรื่องเล่า ศิลปะ แนวคิด และความเชื่อที่แตกต่างจากเพื่อนไทยพุทธทั่วไป ซึ่งรากของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอิสลามมันก็ไปเชื่อมโยงกับฝั่งของคริสต์และยูดาย หรือจะเรียกรวม ๆ ว่ากลุ่มศาสนาอับราฮัมก็ได้ ทำให้เราได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมที่หลากหลายมากขึ้น”

“เรายังคิดต่อไปอีกว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมเหล่านี้หาดูไม่ได้ง่าย ๆ ในไทยเหมือนวัฒนธรรมทางฝั่งศาสนาพุทธ เลยทำให้เรายิ่งสนใจที่จะค้นคว้าและทดลองกับมัน อยากจะเข้าใจวัฒนธรรมทางสายตาทั้งหลายว่ามีที่มาอย่างไร สัญญะของเขาทำงานอย่างไร เลยเริ่มใช้ศิลปะในศาสนาและภาพจากปกรณัมต่าง ๆ มาเป็นตัวแทนในการเล่าเรื่องราวในงานของเรา”

**Miʿrāj (2022)**

Miʿrāj (2022)

งานชิ้นนี้เป็นงานที่เราดึงเรื่องราวจาก Islamic Mythology มาใช้ทำงาน โดยจะเป็นเหตุการณ์ตอนที่พระศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) เดินทางขึ้นสวรรค์บนหลังของบุร็อค (Buraq) เพื่อไปรับโองการจากพระเจ้าในยามค่ำคืน โดยเราเอามาตีความใหม่ ในเชิงที่ว่ามนุษย์ทั่วไปก็ได้เดินทางในแบบเดียวกันอยู่ทุกคืนในยามที่เราฝัน เป็นงาน paper-relief ที่เราได้สำรวจการเพ้นท์งานแบบ ‘Persian miniature’ หรือภาพขนาดเล็กที่มักทำเป็นภาพประกอบในหนังสือของเปอร์เซียมาเป็นแรงบันดาลใจ

**Paradise (2023)**

Paradise (2023)

ผลงานชิ้นนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่จัดแสดงอยู่ในนิทรรศการ Broken, thus Bloom ซึ่งทำหน้าที่เป็นอารัมภบทให้กับงานนี้ โดย Paradise ถูกสร้างขึ้นมาเป็น ‘Triptych’ หรือภาพที่มีบานพับเปิดดูเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ด้านในได้ โดยเป็นการเล่าเปรียบเทียบสภาพจิตใจมนุษย์เป็นสวนสวรรค์ จิตสำนึกที่เราควบคุมได้ทำหน้าที่เป็นคนดูแลสวน ทั้งคอยรดน้ำ และเลือกสรรค์พันธุ์ไม้ใหม่ ๆ มาปลูก เปรียบเสมือนการที่คนเราสามารถเลือกสรรค์สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตได้ว่าจะทำอะไร เป็นใคร คบกับใคร มีหน้าที่การงานทำอะไร และเมื่อสวนเจริญเติบโตกลายเป็นป่า สัตว์ต่าง ๆ ก็ย้ายเข้ามาอยู่อาศัย เปรียบเสมือนอุปนิสัยและอุดมคติของคนเรา ที่เกิดจากสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราตัดสินใจในชีวิต โดยงานชิ้นนี้เราได้อิทธิพลอย่างมากจาก Persian Miniature และวัฒนธรรมการสร้างสวนของชาวเปอร์เซีย

**Veneration of a Nameless Saint (2023)**

Veneration of a Nameless Saint (2023)

ภาพนี้เป็นภาพดิจิตอลที่เพิ่งปล่อยออกมาในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นงานที่เรายึดเนื้อร้องของเพลงประสานเสียงจากยุคกลางชื่อว่า ‘Kyrie’ โดยเนื้อร้องจะพูดขอวิงวอนให้พระผู้เป็นเจ้าเมตตาเรา ซึ่งเรารู้สึกเชื่อมโยงกับเพลงนี้ตรงที่มันทำให้เรารู้สึกเปราะบางแต่ก็ปลอดภัยและอบอุ่น หลังจากรู้ตัวว่ามีคนกำลังเมตตาเราอยู่ เราเลยพยายามกลั่นความรู้สึกนี้ออกมาผ่านสัญญะต่าง ๆ ผสมผสานทั้งงานเปอร์เซีย งานยุคกลาง และอาจจะมีปนความธิเบตเข้าไปเล็กน้อยด้วย โดยเป็นงานแรกที่เราพยายามเอาภาพของโน้ตดนตรีเข้ามาเล่นในงาน แล้วพบว่าเป็นองค์ประกอบที่น่าสนใจ น่าทดลองต่อในผลงานต่อ ๆ ไป

**ภาพบรรยากาศบางส่วนในนิทรรศการ ‘Broken, thus Bloom’ ถ่ายโดย ดิษฐา สุเทพปนะทานวงศ์**

ภาพบรรยากาศบางส่วนในนิทรรศการ ‘Broken, thus Bloom’ ถ่ายโดย ดิษฐา สุเทพปนะทานวงศ์

**ภาพบรรยากาศบางส่วนในนิทรรศการ ‘Broken, thus Bloom’ ถ่ายโดย ดิษฐา สุเทพปนะทานวงศ์**

ภาพบรรยากาศบางส่วนในนิทรรศการ ‘Broken, thus Bloom’ ถ่ายโดย ดิษฐา สุเทพปนะทานวงศ์

**ภาพบรรยากาศบางส่วนในนิทรรศการ ‘Broken, thus Bloom’ ถ่ายโดย ดิษฐา สุเทพปนะทานวงศ์**

ภาพบรรยากาศบางส่วนในนิทรรศการ ‘Broken, thus Bloom’ ถ่ายโดย ดิษฐา สุเทพปนะทานวงศ์

ล่าสุดผลงานของ Narsid ก็ไม่ได้อยู่บนโลกออนไลน์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เขายังจัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของตัวเองในชื่อ ‘Broken, thus Bloom’ หรือ ‘ผิดพลาด จึงผลิบาน’ ขึ้นมาด้วย เราจึงขอให้เขาเล่าถึงนิทรรศการครั้งนี้ของตัวเองให้ฟังสักหน่อยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

Narsid กล่าว “สำหรับนิทรรศการ 'ผิดพลาด จึงผลิบาน' เกิดมาจากการที่เราพยายามทำความเข้าใจสภาวะบาดเจ็บภายในจิตใจและทำความเข้าใจกระบวนการจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง โดยนำเรื่องราวหรือการเดินทางของตัวเรามาเปลี่ยนให้เป็นนิทานหรือตำนานบางอย่าง และใช้สัญญะทางศาสนาและปกรณัมเป็นตัวดำเนินเรื่องผ่านภาพ โดยหลัก ๆ แล้วงานนี้จะพูดถึงสภาวะจิตใจของมนุษย์ที่ต้องผ่านเรื่องราวเลวร้าย บุบพังแตกสลาย แล้วจากนั้นจึงจะลุกขึ้นมาผลิบานได้อีกครั้ง เหมือนกับวงจรชีวิตของดอกบัว ซึ่งเป็นสัญญะประธานของตัวงาน”

“จริง ๆ แล้วงานนี้เราได้ใช้ทฤษฎีของ ‘Carl Gustav Jung’ มาใช้เป็นโครงสร้างหลักของงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สัญญะต่าง ๆ ตามทฤษฎีเรื่อง ‘Archetypes’ ใน ‘Collective Unconscious’ ที่เคยกล่าวถึง หรือว่าเส้นเรื่องหลัก ที่ยึดหลักเรื่อง ‘Individuation Process’ ที่พูดถึงการยอมรับและผนวกตัวตนด้านต่าง ๆ ของจิตใจให้กลายเป็นหนึ่ง เพื่อที่เราจะได้กลายเป็น 'ปัจเจก' อย่างแท้จริง โดยในงานจะมีภาพจัดแสดงอยู่ทั้งหมด 11 ชิ้น เป็น Gouache painting on wooden frame ทั้งหมดหกชิ้น และภาพประกอบที่เป็นภาพพิมพ์ดิจิทัลอีกห้าชิ้น แต่ละรูปจะพูดถึงสภาวะหรือสภาพจิตใจต่าง ๆ ที่เราประสบพบเจอมานั่นเอง”

ถ้าใครสนใจในเรื่องราวของการใช้สัญญะทางศาสนาและอยากชมภาพผลงานที่เล่าเรื่องราวตำนานปรัมปราในแนวทางใหม่ ๆ ก็สามารถตามไปชมผลงานของ ‘Narsid’ กันได้ที่นิทรรศการ ‘Broken, thus Bloom’ หรือ ‘ผิดพลาด จึงผลิบาน’ ตั้งแต่วันนี้ - 28 มีนาคม 2567 ณ 1559 Space

หรือติดตามเขาได้ที่เพจ Narsid