ชวนดูหนัง Slow Cinema หนังช้าและ (บางเรื่อง) ยาวถึง 7 ชม. ที่สร้างจากนวนิยายปากกาของนักเขียนโนเบล 2025 “ลาซโล คราซนาฮอร์ไค”

Post on 10 October 2025

ใครที่เคยลองนั่งดูหนังขาวดำยาว ๆ อย่าง Sátántangó, The Turin Horse หรือ Werckmeister Harmonies ผลงานของตำนานผู้กำกับหนังช้าอย่าง เบลา ทาร์ (Béla Tarr) คงเคยตั้งคำถามเหมือนกันว่าทำไมตัวละครถึงเดิน กิน หรือจ้องมองสิ่งต่าง ๆ กันนานเหลือเกิน และบทภาพยนตร์เหล่านี้ถูกเขียนหรือดัดแปลงมาจากงานวรรณกรรมต้นฉบับแบบไหนกันแน่

คำตอบอยู่ที่ปลายปากกาของ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค (László Krasznahorkai) นักเขียนชาวฮังการีผู้เป็นทั้งแรงบันดาลใจและผู้เขียนบทต้นฉบับเบื้องหลังหนังเหล่านี้ เขาเพิ่งคว้ารางวัล โนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2025 ไปสด ๆ ร้อน ๆ จากงานเขียนที่เต็มไปด้วยประโยคยาว คดเคี้ยว และทรงพลัง ถ่ายทอดความสิ้นหวังและความงดงามท่ามกลางบรรยากาศแบบวันสิ้นโลก

คราซนาฮอร์ไคเกิดเมื่อปี 1954 ที่เมืองจูลอ (Gyula) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฮังการี งานชิ้นแรกของเขาอย่าง Sátántangó (1985) ได้สร้างแรงสะเทือนแก่วงการวรรณกรรมบ้านเกิด และต่อมาก็ถูกทาร์นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มหากาพย์ความยาวกว่า 7 ชั่วโมงที่กลายเป็นตำนาน งานของเขามักพาเราไปอยู่ในชนบทที่กำลังล่มสลายก่อนสิ้นสุดยุคคอมมิวนิสต์ สอดแทรกทั้งอิทธิพลจากคาฟกาและปรัชญาตะวันออก กลายเป็นโลกการเล่าเรื่องที่ทั้งหม่น เศร้า และสะกดสายตา

สำหรับคอหนังสาย Slow Cinema นี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะลองก้าวจากจอภาพยนตร์ไปสู่หน้ากระดาษ เพื่อสัมผัสต้นกำเนิดของจักรวาลที่ทาร์และคราซนาฮอร์ไคร่วมกันสร้างขึ้น และถ้าอยากเริ่มต้นด้วยภาพยนตร์ที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง นี่คือบางเรื่องที่ไม่ควรพลาด

📌Damnation (Kárhozat, 1988)

นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกันระหว่าง ลาซโล คราซนาฮอร์ไค และ เบลา ทาร์ ที่กลายเป็นต้นแบบของสไตล์หนังที่เรารู้จักกันในเวลาต่อมา เรื่องเล่าถึง Karrer ชายผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางเมืองอุตสาหกรรมที่ฝนตกไม่หยุด เขาหลงรักนักร้องหญิงในบาร์ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เธอมา แม้ว่าต้องแลกด้วยการทรยศและหักหลังผู้อื่น

บรรยากาศของหนังเต็มไปด้วยความหม่นหมอง เย็นชา และงดงามแบบภาพขาวดำที่ติดตรึงใจ คราซนาฮอร์ไคในฐานะผู้เขียนบทร่วมได้ใส่แก่นเรื่องที่เขาย้ำมาตลอดทั้งงานเขียนและงานหนัง ไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมสลายทางศีลธรรม ความปรารถนาที่นำไปสู่หายนะ และความว่างเปล่าของชีวิตสมัยใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นลายเซ็นที่เราจะเห็นได้ชัดในทุกผลงานต่อ ๆ มาของเขาและทาร์

📌 Sátántangó (1994)

นี่คือผลงานระดับมหากาพย์ที่ทำให้ชื่อของ เบลา ทาร์ และ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ดังไกลไปทั่วโลก ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่องแรกของคราซนาฮอร์ไคเอง หนังเรื่องนี้ขึ้นชื่อเรื่องความยาวมหาศาลกว่า 7 ชั่วโมง ที่ทดสอบความอดทนและสมาธิของผู้ชม แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดเผยพลังทางศิลปะของ Slow Cinema ได้อย่างน่าตะลึง

เรื่องราวพาเราไปยังหมู่บ้านเกษตรกรรมเล็ก ๆ ในฮังการีที่กำลังล่มสลาย ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังและเห็นแก่ตัว จนกระทั่ง Irimiás ชายลึกลับที่เคยถูกคิดว่าตายไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาอาจเป็นผู้ปลดปล่อยที่ชาวบ้านเฝ้ารอ หรืออาจเป็นซาตานที่นำหายนะมาเยือน —ความกำกวมนี้คือหัวใจสำคัญที่หนังทิ้งไว้ให้ผู้ชมขบคิด

โครงสร้างของเรื่องถูกสร้างให้เหมือนกับจังหวะแทงโก้ ที่ก้าวไปข้างหน้าและถอยหลัง สะท้อนถึงความซ้ำซาก วังวน และความลวงตาของชีวิตมนุษย์ ขณะที่งานเขียนของคราซนาฮอร์ไคถูกถ่ายทอดออกมาอย่างทรงพลัง ผ่านภาพขาวดำอันแสนงดงามและการเล่าเรื่องที่เนิบช้าแต่คมคาย ผลงานนี้ไม่ได้เป็นเพียงหนัง หากแต่คือการทำสมาธิร่วมกันระหว่างผู้กำกับ นักเขียน และผู้ชม ที่ทำให้เราได้เผชิญหน้ากับธรรมชาติของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา

📌Werckmeister Harmonies (Werckmeister harmóniák, 2000)

หนึ่งในผลงานที่ทั้งงดงามและชวนสะพรึงที่สุดของ เบลา ทาร์ และ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค เรื่องนี้พาเราเข้าสู่เมืองเล็ก ๆ อันเงียบสงบที่ถูกพลิกกลับหัวกลับหางเมื่อคณะละครสัตว์ลึกลับเดินทางมาถึง พวกเขานำซากวาฬยักษ์มาแสดง พร้อมกับ "เจ้าชาย" ผู้ลี้ลับที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้ามาก่อน การมาถึงของสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เหมือนการจุดประกายไฟในถังน้ำมันที่ค่อย ๆ ปลุกเร้าความบ้าคลั่งและความรุนแรง จนในที่สุดเมืองทั้งเมืองก็ถลำเข้าสู่ความโกลาหล

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนวนิยาย The Melancholy of Resistance ของคราซนาฮอร์ไค และคราสนาฮอร์ไคในฐานะผู้เขียนบทก็ถ่ายทอดงานออกมาเป็น อุปมาทางการเมืองและสังคม ที่เข้มข้น การเผชิญหน้าระหว่างความเป็นระเบียบกับความวุ่นวาย ศรัทธาที่ถูกสั่นคลอน และอุดมการณ์ที่กัดกร่อนผู้คนจนเสียสมดุล ทุกอย่างถูกถ่ายทอดอย่างทรงพลังผ่านภาษาภาพขาวดำที่คมกริบและจังหวะการเล่าเรื่องที่เนิบช้าแต่สะกดใจ

นี่ไม่ใช่แค่หนัง แต่คือการสำรวจสภาวะจิตใจของสังคมที่เปราะบาง ท่ามกลางโลกที่พร้อมจะระเบิดออกด้วยความกลัว ความเชื่อ และการหลงผิด และคืออีกครั้งที่คราซนาฮอร์ไคทำให้บทภาพยนตร์กลายเป็นพื้นที่ทดลองในการสำรวจความมืดมนของมนุษยชาติอย่างลึกซึ้งและน่าขนลุก
.

📌 The Man from London (A londoni férfi, 2007)

แม้จะเป็นผลงานที่ดัดแปลงมาจากนิยายแนวอาชญากรรมของ ฌอร์ฌ ซีเมน็อง (Georges Simenon) แทนที่จะมาจากงานเขียนของคราซนาฮอร์ไคเอง แต่ทั้ง เบลา ทาร์ และ คราซนาฮอร์ไค ก็ยังคงรักษาลายเซ็นเฉพาะตัวเอาไว้ได้ชัดเจน เรื่องราวเริ่มต้นจาก Maloin พนักงานสับรางรถไฟผู้ใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงา เขาบังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมและพบกระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยเงินสด การตัดสินใจเก็บมันไว้ทำให้ชีวิตของเขาถูกกลืนเข้าไปในห้วงแห่งความผิดบาป ความหวาดระแวง และความกลัวที่กัดกินจิตใจอย่างไม่สิ้นสุด

แม้โครงเรื่องจะฟังดูเหมือนหนังสืบสวนสอบสวนทั่วไป แต่ด้วยบทของคราซนาฮอร์ไค มันกลับกลายเป็น การสำรวจเชิงปรัชญาเกี่ยวกับความเปราะบางทางศีลธรรมของมนุษย์ เมื่อถูกทดสอบด้วยสิ่งล่อใจและความมืดในใจตนเอง บรรยากาศของหนังเต็มไปด้วยความอึดอัดและกดดัน ภาพถ่ายขาวดำของทาร์บีบคั้นผู้ชมให้รู้สึกเหมือนถูกกักขังอยู่ในโลกที่ทั้งเงียบงันและโหดร้าย

The Man from London จึงไม่ใช่แค่หนังอาชญากรรมธรรมดา แต่เป็นการใช้ “อาชญากรรม” เป็นข้ออ้างในการพาเราดำดิ่งลงไปสำรวจเงามืดภายในใจมนุษย์ และตั้งคำถามว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายศีลธรรมที่สุด เราจะเหลือ “ความเป็นมนุษย์” อยู่แค่ไหนกันแน่

📌 The Turin Horse (A torinói ló, 2011)

นี่คือผลงานเรื่องสุดท้ายของเบล่า ทาร์ และยังเป็นอีกครั้งที่ลาซโล คราสนาฮอร์ไคเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ร่วมเขียนบท ซึ่งที่จริงแล้วหนังก็ดัดแปลงมาจากงานเขียนของเขาเองด้วย เรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงในชีวิตของฟรีดริช นีเชอ นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ที่ล้มป่วยทางจิตหลังจากเห็นคนขับรถม้าเฆี่ยนตีม้าของตนอย่างโหดร้าย หนังไม่ได้เล่าเรื่องของนีเชอโดยตรง แต่เลือกจินตนาการต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถม้าและลูกสาวของเขาในอีกหกวันถัดมา เราจึงได้ติดตามชีวิตอันแร้นแค้น ซ้ำซาก และหนักอึ้งของทั้งคู่ที่ต้องอยู่กับม้าเพียงหนึ่งตัว ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำไม่หยุดและโลกที่ค่อย ๆ มืดดับลงไปต่อหน้าต่อตา

คราสนาฮอร์ไคได้ถ่ายทอดแก่นเรื่องเกี่ยวกับความหนักหน่วงของการดำรงอยู่ การเผชิญหน้ากับความเสื่อมสลาย และความสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง ผ่านบทภาพยนตร์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง The Turin Horse จึงไม่ใช่แค่หนังปิดตำนานของเบล่า ทาร์ แต่ยังเป็นบทสรุปเชิงปรัชญาที่สะเทือนใจและท้าทายคนดูอย่างถึงที่สุด