วันจันทร์อันเงียบงันและการกดขี่ที่สนั่นดัง

Art
Post on 23 May

บทสนทนาระหว่างคนทำหนัง ดีคา โอโฟมา (Dika Ofoma) และคิวเรเตอร์ อินโนเซนต์ เอเคจียูบา (Innocent Ekejiuba) ว่าด้วยภาพยนตร์ของโอโฟมาเรื่อง ‘วันจันทร์อันเงียบงัน’ ซึ่งเผยโฉมหน้าแห่งการใช้ชีวิตในประเทศไนจีเรีย และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลสร้างหลุมอากาศที่ทำให้ความรุนแรงลุกลามไปเรื่อย

โดย ดีคา โอโฟมา (Dika Ofoma) และ อินโนเซนต์ เอเคจียูบา (Innocent Ekejiuba)

Dika Ofoma and Uzoamaka Aniunoh, Behind the scene Photo by Eddie Eduvie, Enugu, 2023

Dika Ofoma and Uzoamaka Aniunoh, Behind the scene Photo by Eddie Eduvie, Enugu, 2023

อินโนเซนต์ เอเคจียูบา / IE: ดิกา เรามาคุยกันครั้งนี้ภายใต้บริบทของโปรแกรมการฉายหนังของ Protocinema เกี่ยวข้องกับผลงานศิลปะที่กล่าวถึงสภาพการณ์การกดขี่ที่เกิดขึ้นบนโลก โปรแกรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาสภาพการณ์เหล่านี้และคิดไปไกลกว่าสิ่งที่มันเสนอมาเอง และมันยังเกี่ยวข้องกับการวางผังและวาดภาพสถานการณ์บางอย่างเหล่านี้ และอีกทางหนึ่ง ก็สร้างความเชื่อมโยงข้ามสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นที่มาของผลงาน: จากกัมพูชาไปยังอินเดีย ผ่านปาเลสไตน์ อิรัก และไนจีเรีย ภาพยนตร์ของคุณเรื่อง ‘วันจันทร์อันเงียบงัน’ (A Quiet Monday) ก็อยู่ในโปรแกรมนี้ ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมว่าภายใต้สถานการณ์ใด จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นมา

ดีคา โอโฟมา / DO: ผมอาศัยอยู่ในเมืองเอนูกู ประเทศไนจีเรีย วันที่ 30 พฤษภาคม ปี 2021 เราได้เผชิญหน้ากับประสบการณ์การถูกสั่งให้กักตัวอยู่บ้าน (sit-at-home order) ครั้งแรกโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน IPOB [1] ซึ่งคำสั่งนี้เกิดขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงบิอาฟรา (Biafra รัฐที่ประกาศแบ่งแยกดินแดนจากไนจีเรียในช่วงปี 1967 - 1970 ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอีโบ) และสงครามกลางเมืองของไนจีเรีย (1967-1970) ย้อนกลับไปในวันศุกร์นั้น ผมวางแผนจะไปชมคอนเสิร์ตวงแนวไฮไลฟ์ที่ชื่อ The Cavemen แต่ IPOB กลุ่มผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดนในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ได้ออกคำสั่งห้ามออกจากบ้าน และคำสั่งนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของคำสั่งให้อยู่บ้าน (sit-at-home order) ภายหลังจากผู้นำของพวกเขาถูกจับกุม กลุ่ม IPOB ประกาศว่าคำสั่งให้อยู่แต่ในบ้านจะถูกบังคับใช้ทุกวันจันทร์ ดังนั้นทุกวันจันทร์ จะไม่มีใครไปโรงเรียน ไม่มีใครออกไปทำธุรกิจ ทุกคนอยู่บ้าน และมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรื่องตลก มันรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องขำ ๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เมื่อวันจันทร์แรกมาถึง ไม่มีใครถือคำสั่งนั้นเป็นเรื่องจริงจัง แต่เราได้ยินข่าวจากโรงเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่เหล่านักเรียนถูกเฆี่ยนตีเพราะพวกเขาออกไปโรงเรียน ร้านค้าถูกเผาและปล้นเพราะพวกเขาเปิดร้านในวันจันทร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจัง และรัฐบาลก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เราคิดว่ามันเป็นแค่สถานกาณ์ชั่วคราว แต่มันก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ กระทั่งประมาณช่วงเทศกาลคริสต์มาส สถานการณ์นั้นก็เหมือนจะหยุดลง มันเป็นวันคริสต์มาสปี 2021 ผู้คนเริ่มออกไปข้างนอกอีกครั้ง แต่แล้วผมก็จำได้ว่าในวันจันทร์แรกหลังจากวันขึ้นปีใหม่ในเอนูกู ผมออกจากบ้านเพราะมีงานที่ผมจะไปสัมภาษณ์ แล้วอยู่ดี ๆ ก็เกิดความวุ่นวายในเมือง และเหมือนกับว่า IPOB ได้เข้าไปคุมพื้นที่ทั่วเมืองพร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แล้วในวันจันทร์ถัดไป ทุกคนก็อยู่แต่ในบ้าน และมันก็ยังเป็นอย่างนั้นต่อไปจนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลมีความพยายามบางอย่างในการสร้างความมั่นใจเพื่อชักชวนให้กับพลเมืองออกจากบ้านในวันจันทร์ ตอนนี้โรงเรียนและธนาคารทยอยกลับมาเปิดให้บริการในวันจันทร์แล้ว แต่เอนูกูยังคงให้ความรู้สึกเหมือนเมืองร้างในวันจันทร์ การใช้ชีวิตภายใต้ประสบการณ์พวกนี้ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องราวนี้

IE: มันดูตลกร้ายอยู่นะถ้าลองคิดว่ากลุ่ม IPOB น่าจะฆ่าชาวอีโบ (Igbo กลุ่มชาติพันธุ์ในไนจีเรีย) มากกว่าใครอีก แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่ากำลังสู้เพื่อเสรีภาพของรัฐอีโบและการสถาปนารัฐบีอาฟรา ผู้คนที่พวกเขาอ้างว่ากำลังต่อสู้ให้อยู่ กลับเป็นคนที่พวกเขาทำร้ายมากที่สุด ผมพยายามพูดคุยกับผู้ที่สนับสนุนปฏิบัติการของ IPOB หรือคนในองค์กร IPOB ซึ่งบางครั้งก็พยายามสำเร็จ และผมรู้ว่ามีนักเขียนและนักข่าวหลายคนพยายามจะสร้างบทสนทนากับพวกเขาด้วย แต่ก็ประสบความสำเร็จมากน้อยแตกต่างกัน ผมรู้ว่ามันยากขนาดไหน ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ส่งผลต่อการสร้างภาพยนตร์และการเผยแพร่มันอย่างไรบ้าง

DO: ผมต้องเจอกับความท้าทายอย่างมากในการแคสต์บท คาลิสตัส (Calistus) พอผมไปทาบทามนักแสดงและอธิบายเนื้อเรื่องให้พวกเขาฟัง พวกก็เขามักจะปฏิเสธ ความรู้สึกต่อต้านนี้เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าเด็กหนุ่มมักจะถูกเล็งเป้าโดยกลุ่มคนที่หนังพูดถึง แม้ว่าเจตนาของผมจะไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองโดยตรง แต่ภาพยนตร์ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ IPOB บ้าง อย่างไรก็ตาม จุดสนใจหลักของผมคือการนำเสนอความเป็นจริงของสถานการณ์ผ่านสายตาของคนธรรมดา ๆ อย่าง คามโนนู (Kamnonu) และน้องชายของเธอ อ็อกบอนนา (Ogbonna) แต่ผมไม่คาดคิดว่าจะต้องเจอนักแสดงถึงสามหรือสี่คนที่ปฏิเสธบทบาทคาลิสตัสทั้งหมด สุดท้ายคนที่รับบทเป็นคาลิสตัสก็คือเพื่อนของผม ครั้งแรกที่ผมไปหาเขา เขาก็ปฏิเสธ แต่หลังจากที่นักแสดงประมาณสี่คนไม่ยอมเล่นบทนี้ ผมก็กลับไปหาเขาอีกครั้ง เขาเป็นเพื่อนของผม ผมเลยพยายามคุยกับเขา เขาไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ เขาเป็นเด็กสายเทคฯ ที่ผมดึงมาเล่นหนังเรื่องนี้ พวกนักแสดงก็ไม่ยอมเล่นบทอ็อกบอนนาเหมือนกัน ไม่ใช่แค่บทคาลิสตัส คือว่า อูโซมาคา (Uzoamaka) ก็ตื่นเต้นที่จะรับบทเป็นคามโนนู เธอชอบตัวละครนั้น แต่บทตัวละครนำชายนั้นแคสต์ยากมาก นอกจากนี้ แค่ก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำ A Quiet Monday พวกผู้กำกับภาพที่เราชวนมาร่วมงานด้วยก็เพิ่งไปถ่ายอีกงานกันที่รัฐอื่นของอิโมะ พวกเขาถ่ายงานกันในวันจันทร์ และ IPOB ก็ไปโจมตีพวกเขา ดังนั้นเขาเลยมีอาการสะเทือนขวัญจากประสบการณ์นั้น เมื่อเราติดต่อเขาไป เขาก็บอกว่าเขาไม่สนใจที่จะถ่ายทำในเอนูกูหรือที่ใดก็ตามในภาคตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากข้อกังวลด้านความปลอดภัย เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเราหวาดกลัวด้วยเช่นกัน ดังนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง เราจึงคิดถึงการไปถ่ายทำที่ลากอสแทน ทำให้การถ่ายทำล่าช้าออกไปจากเดือนพฤศจิกายน 2022 จนถึงเดือนมกราคม 2023 ซึ่งในที่สุดเราก็ได้ถ่ายทำที่เอนูกู แต่มันก็ต้องฝ่าฟันใช้ได้เลยเพื่อหาคนมาร่วมทีมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้

IE: คุณคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสร้างงานการเมืองโดยไม่ต้องตรงไปตรงมาจนเกินไป

DO: คุณพูดถูกแล้ว และผมต้องการการถ่ายทอดมันไม่ใช่การเทศนาสั่งสอนตรง ๆ แม้ว่า A Quiet Monday จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองบ้าง แต่จุดมุ่งหมายหลักคือการพาผู้ชมเข้ามามีส่วนร่วมในแง่อารมณ์ความรู้สึกกับเรื่องราวของพี่น้องพวกนี้ที่ต้องใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความท้าทายจากคำสั่งนั้น ดังนั้น ใช่เลยว่าโดยแก่นแท้แล้วมันเป็นเรื่องราวทางการเมือง แต่จุดสำคัญของมันคือการสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ชมในแง่อารมณ์ความรู้สึกของการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัวและการควบคุมของคนกลุ่มนั้น

IE: คนไนจีเรียมองภาพยนตร์เป็นสื่อบันเทิงรูปแบบหนึ่งเป็นหลัก ซึ่งก็สะท้อนอิทธิพลของนอลลีวูด (Nollywood) และนำไปสู่ความสำเร็จทางรายได้ของอุตสาหกรรมนี้ [2] ด้วยเหตุนี้ คนทำหนังไนจีเรียจำนวนมากจึงมีแนวทางในการสร้างภาพยนตร์อยู่สองแนวทาง คือถ้าไม่สร้างภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว ก็ทำสารคดีจริงจังเจาะลึกประเด็นใดประเด็นหนึ่ง แต่คุณกลับมีวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างออกไปอยู่ บางทีอาจเป็นเพราะคุณดูละครน้ำเน่ามากในวัยเด็ก เลยได้องค์ประกอบของการเล่าเรื่องต่าง ๆ มาถักทออยู่ในหนังของคุณ คุณตั้งใจใช้กลวิธีการเล่าเรื่องเป็นหนทางที่จะนำเสนอสถานการณ์ทางสังคมการเมืองที่แหลมคมให้มันง่ายแก่การเข้าถึงหรือไม่

DO: ผมได้รู้จักกับศาสตร์แห่งการเล่าเรื่องแรก ๆ ก็มาจากประสบการณ์การอ่านนิยายแอฟริกัน ซึ่งแม้ว่าพวกมันจะทำหน้าที่ให้ความบันเทิง แต่ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคมไปด้วย บางเรื่องก็มีพื้นหลังทางการเมือง ซึ่งยิ่งทำให้เรื่องราวนั้นน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้นไปอีก หนึ่งในคนทำหนังแอฟริกันที่ผมได้ศึกษาอย่างจริงจังเมื่อผมหันมาสนใจการเล่าเรื่องคือ อุสมาน ซ็องบ็อง (Ousmane Sembène) หนังของเขาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและผู้นำของเซเนกัล จนถึงขั้นโดนแบนในบางที่ การปิดกั้นของรัฐบาลเซเนกัลต่อภาพยนตร์เหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นพลังของการเล่าเรื่อง ในการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชน และนี่คือความตระหนักรู้ประเภทที่จะเกิดเมื่อเราสะท้อนสิ่งต่าง ๆ กลับไปสู่ผู้คน บางครั้งก็เป็นสิ่งที่เรามองข้ามมาก่อน เมื่อเราได้ยินเรื่องราว พวเขามักจะรู้สึกถึงระยะห่างกับมัน เหมือนกับข่าวหน้าหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่กลางวันยุ่ง ๆ ยาก ๆ ของเรา ประเด็นอย่างการอยู่บ้านตามคำสั่งของ IPOB อาจดูเหมือนแค่เรื่องยุ่งยากเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่หนังทำได้นั้นน่าประทับใจมาก มันคือสะพานเชื่อมข้ามช่องว่างระหว่างเราและประสบการณ์เหล่านั้น และฟูมฟักความเห็นอกเห็นใจ ความสามารถในการเข้าใจและแบ่งปันความรู้สึกของผู้อื่นเป็นแรงที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการทำกิจกรรมเคลื่อนไหว หัวหอกนักกิจกรรมจำนวนมากก็ไม่ได้โดนผลกระทบโดยตรงจากปัญหาที่พวกเขาเรียกร้อง แต่ว่านั่นแหละ สิ่งที่หนังทำได้ “ความเห็นอกเห็นใจ”

IE: บางครั้งความเห็นอกเห็นใจก็คือเพียงแค่การหาภาษาที่เหมาะสม ในการสื่อสารผลงานของคุณ และการทำให้แน่ใจว่าสารสำคัญนั้นได้รับการถ่ายทอดไปถึงผู้อื่น สิ่งสำคัญหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งในการสนทนานี้คือตัวภาษา ว่ามันจะถูกนำไปใช้อย่างไรในการสื่อสารความเห็นอกเห็นใจ และบางครั้งมันก็พลัดออกจากพวกสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ คุณตัดสินใจอย่างไรที่จะให้ภาษาที่พูดในภาพยนตร์เป็นภาษาอีโบ แล้วจากนั้นจึงใส่คำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ

DO: ส่วนใหญ่แล้ว การตัดสินใจของผมมักมาจากความรู้สึกว่ามันใช่ ภาษาหลักที่ใช้ในเอนูกูคือภาษาอีโบ คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเอนูกูพูดภาษาอีโบ ดังนั้นหากเราจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับคนที่อาศัยอยู่ในเอนูกู มันก็มีสมเหตุสมผลอยู่แล้วที่จะทำเป็นภาษาอีโบ แต่ก็อีกนั่นแหละ นี่คือภาพยนตร์ที่ผมตั้งใจจะฉายให้คนไนจีเรียดู และคนไนจีเรียจำนวนมากนอกพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้พูดภาษาอีโบ ดังนั้นภาษาใดจะครอบคลุมผู้ชมทั้งหมดไว้ได้ล่ะ? ผมเลยตัดสินใจใส่คำบรรยายภาษาอังกฤษในภาพยนตร์เรื่องนี้

IE: ย้อนกลับไปที่เรื่อง IPOB สิ่งที่พวกเขาอ้างว่าต้องการคือการแยกดินแดน แต่ตามความเห็นของผม สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ คืออนาธิปไตย เพราะจากประวัติศาสตร์บีอาฟราในไนจีเรียและประวัติศาสตร์ที่ไม่ซับซ้อนของชาวอีโบในไนจีเรีย ที่ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนและหลังสงครามกลางเมือง การแบ่งแยกดินแดนคือสิ่งที่ IPOB ต้องการจริง ๆ หรือ?

DO: การเติบโตในกอมเบ เมืองทางตอนเหนือของไนจีเรีย [3] ทำให้ผมมักจะมองตัวเองว่าเป็นคนไนจีเรียและชาวอีโบไปพร้อม ๆ กัน ทั้งสองอัตลักษณ์นี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน ผมเติบโตมาโดยพูดทั้งภาษาอีโบ ภาษาเฮาซา (Hausa) และภาษาอังกฤษ ผมนิยามตนเองเป็นคนกอมเบเมื่อมีคนถามว่าผมมาจากไหน คนมักจะพูดกับผมว่า "แต่คุณเป็นคนอีโบนะ" แล้วผมก็ต้องตอบว่า "ใช่ แต่พ่อแม่ผมมาจากรัฐอิโมะ" อย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกพอใจในเอกลักษณ์ไนจีเรียของตัวเอง แต่เมื่อพูดถึงแนวคิดการแยกดินแดนและจุดยืนของ IPOB ต่อบีอาฟรา มันเหมือนกับภาพฝันของดินแดนในอุดมคติ สถานที่ที่ปัญหาทั้งหมดในภาคตะวันออกเฉียงใต้หายไป เหมือนกับสวงสวรรค์ที่พวกคริสเตียนพูดถึง อย่างไรก็ตาม ผมยังสงสัยถึงความเป็นไปได้จริงของมัน กลุ่ม IPOB ได้ทำอะไรเพื่อประชาชนชาวอีโบบ้าง? ต่อให้บีอาฟราเกิดขึ้นได้จริง พวกชนชั้นนำอีโบเดิม ๆ ก็ยังปกครองอยู่ดีไม่ใช่เหรอ? พวกเขาอาจจะแค่เปลี่ยนแปลงอะไรนิดหน่อย เปลี่ยนชื่อภาคตะวันออกเฉียงใต้เป็นบีอาฟราและสร้างสัญลักษณ์ใหม่ขึ้นมา แต่มันไม่ได้เป็นเวทมนตร์วิเศษ กลยุทธ์ของ IPOB อย่างคำสั่งให้อยู่บ้านนั้นเป็นการมุ่งต่อต้านรัฐบาลกลาง แต่กลับส่งผลกระทบหนักหนาที่สุดต่อชาวอีโบธรรมดา ๆ ที่ใช้ชีวิตทั่วไป ช่วงที่บูฮารี (Buhari อดีตประธานาธิบดีไนจีเรีย) ดำรงตำแหน่ง การ “ชัตดาวน์” พื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ของพวก IPOB ก็ไม่ได้ก่อกวนเขาเท่ากับที่มันกวนใจทินนูบู (Tinubu ประธานาธิบดีไนจีเรียปัจจุบัน) [4] ผู้คนทั่วไปที่ไม่สามารถทำงานหรือไปโรงเรียนต่างหากที่ได้รับผลกระทบที่สุด ดังนั้น ผมเลยตั้งคำถามกับคำมั่นสัญญาของ IPOB แต่ส่วนตัวแล้ว ผมไม่เชื่อในการแบ่งแยกดินแดน

IE: มีคำถามจากทางผู้ชมบ้างไหม

ผู้ชม: สิ่งที่ติดใจผมมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้คือความสมจริงของตัวละครต่าง ๆ การที่คามโมนูระลึกถึงการสวดมนต์ก่อนรับประทานอาหารนั้นให้ความรู้สึกจริงแท้มาก ทำให้ผมนึกถึงการเลี้ยงดูแบบคาทอลิกที่เจอมาในวัยเด็ก คุณต้องถ่ายทำฉากเหล่านั้นใหม่บ่อยหรือไม่? หรือมันมาจากการทำงานร่วมกับนักแสดงที่คุ้นเคยกับภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมากกว่า การคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดไหม หรือคุณเจออุปสรรคอื่น ๆ ในการสร้างความสมจริงให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้?

DO: มันเริ่มต้นจากตอนเขียนบทก่อน ผมรู้ว่าผมต้องการทำอะไร ผมต้องการให้ภาพยนตร์มีบรรยากาศคล้ายสารคดี ซึ่งส่งผลต่อวิธีการทำงานภาพของกล้องด้วย สำหรับการแสดง ผมได้ส่งตัวอย่างภาพยนตร์ที่มีการแสดงแบบธรรมชาติให้นักแสดงได้ศึกษา เราก็ได้ซ้อมหลายครั้ง โดยเฉพาะเพื่อให้แน่ใจว่าภาษาอีโบที่ใช้ถูกต้องแม่นยำ มันสำคัญที่จะต้องซ้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้มั่นใจในความชัดเจนของการถ่ายทอดและจังหวะของบทสนทนา แม้ว่าจะมีความท้าทายจากการที่นักแสดงอยู่คนละสถานที่กัน แต่เราก็ใช้วิธีมาเจอกันใน Zoom แล้วก็ซ้อมแบบ dry run (ซ้อมแบบเสมือนจริง) ในเซ็ต ที่สุดแล้ว ความสมจริงนั้นมาจากบทสนทนาที่ผมดึงมาจากประสบการณ์ชีวิตจริง เช่น ประสบการณ์การเติบโตในครอบครัวอีโบคาทอลิก และความตั้งใจที่จะจับภาพปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้ขึ้นไปอยู่บนจอ

ผู้ชม (ถามผู้พูดทั้งสอง): ในแง่การทำหนัง พวกคุณคิดว่าเจตนาที่ตั้งใจสำคัญกว่าผลกระทบไหม? คุณเชื่อไหมว่า ‘ทฤษฎีการตอบสนองของผู้ชม’ สำคัญกว่าคำวิจารณ์ในทางปฏิบัติ?

DO: คุณหมายถึงทรรศนะของผมกับสิ่งที่ผู้ชมได้จากมันเหรอ?

IE: โรลองด์ บาร์ตส์ ได้เขียนงานที่ได้รับความนิยมอย่างมากไว้ เกี่ยวกับความจำเป็นที่ผู้เขียนต้องตายไป และการเกิดใหม่ของผู้อ่านเพื่อให้กระบวนการสร้างความหมายได้เกิดขึ้น สำหรับผม ผลกระทบและเจตนาสำคัญเท่า ๆ กัน เพราะหากไร้ซึ่งเจตนา ก็จะไม่มีสิ่งใดนำพาไปสู่ผลกระทบ ยกตัวอย่างเช่น การปรากฏของกองทหารที่จับกุมทุกคน ความสัมพันธ์ระหว่างอ็อกบอนนาและคาลิสตัส และวิธีที่เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อ คามโนนูในภาพยนตร์ สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อผู้ชมภาพยนตร์ได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมคนนั้นเป็นใคร

IE [ถาม DO]: นอกเหนือจากการเมืองเรื่องไบอาฟรา ยังมีการเมืองในความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องหรือคู่รักด้วย สิ่งเหล่านี้สำคัญสำหรับคุณเช่นกันใช่หรือไม่?

DO: ถูกต้องเลย สิ่งเหล่านั้นสำคัญทั้งคู่ ผู้ชมก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่เหมือนกันหมด ดังนั้นทุกคนจึงเก็บเอาอะไรต่างกันออกไปจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมดีใจที่ผลงานนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนได้ และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ผลตอบรับบางส่วนก็เป็นการสะท้อนเจตนาของผม

Dika Ofoma and Blessing Uzzi (Producer, A Quiet Monday), Behind the scene Photo by Eddie Eduvie, 2023

Dika Ofoma and Blessing Uzzi (Producer, A Quiet Monday), Behind the scene Photo by Eddie Eduvie, 2023

ผู้ชม: คำถามของผมเกี่ยวกับการคิวเรต (คัดเลือก) วิดีโอ/ภาพยนตร์ในการฉายในครั้งนี้ ตอนแรกมันเหมือนกับว่าว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะกล่าวถึงการปกครองแบบทรราช และมุ่งเน้นไปที่กลุ่มประเทศโลกใต้ (global south) เท่านั้น และด้วยภาพยนตร์ของไมเคิล รากูวิทซ์ (Michael Rakowitz) ในที่สุดเราก็ได้เห็นบทบาทของชาติตะวันตกหรือประเทศโลกเหนือ (global north) ที่บางทีก็เป็นต้นกำเนิดของการปกครองแบบเผด็จการ เรื่องพวกนี้เป็นความตั้งใจอยู่แล้วหรือแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น

IE: เมื่อมารี สปิริโต (Mari Spirito)และ ลอรา ไรโคควิช (Laura Raicovich) คัดเลือกภาพยนตร์สำหรับงานฉายครั้งนี้ พวกเธอตั้งใจและระมัดระวังอย่างมากที่จะให้ผลงานศิลปะเหล่านี้ข้ามพ้นขีดจำกัดของการกดขี่ ในขั้นตอนการค้นคว้า พวกเธอพบว่ามีศิลปินบางคนที่เผชิญหน้ากับปีศาจ/ผู้กดขี่/ชาวตะวันตก และมีศิลปินบางคนที่เผชิญหน้ากับการสร้างโลกใหม่ การตัดสินใจเหล่านี้เป็นไปอย่างตั้งใจจากฝั่งศิลปินและคนคัดเลือกผลงาน ภาพยนตร์เรื่อง The Ballad of Special Ops Cody ไม่ใช่ผลงานชิ้นแรกในโปรแกรมที่สะท้อนบทบาทของตะวันตกในการสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการ ภาพยนตร์เรื่อง Monologue ของรัตตันนา วานดี (Rattanna Vandy) ก็สะท้อนเรื่องการทิ้งระเบิดในกัมพูชาโดยชาวตะวันตก และผลกระทบที่มันทิ้งไว้กับครอบครัวของเขา

ผมไม่เชื่อในการใช้เวลาและพลังงาน — ที่เราสามารถใช้ยกระดับและมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ไปกับแนวคิดและชุมชนของเรา — ไปกับกลุ่มชาติตะวันตกที่พยายามควบคุมแนวคิดและชุมชนของเราอยู่เสมอ ผมเชื่อว่าการต่อต้านที่ดีที่สุดคือการเปิดพื้นที่ให้กับชุมชนและจัดวางแนวคิดปรัชญา แนวคิด และการเคลื่อนไหวของเราไว้ตรงศูนย์กลาง แทนที่จะให้ความสำคัญและเปิดพื้นที่มากขึ้นกับผู้กดขี่

นั่นทำให้ผมนึกถึง กาบี เอ็งโคโบ (Gabi Ngcobo) เธอเคยถูกถามว่าการตัดสินใจทาผนังของศูนย์จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ (Center for Historical Reenactment) ให้เป็นสีดำนั้น เป็นการตอบโต้ต่อการทำห้องนิทรรศการแบบ ‘กล่องขาว’ (white cube) โดยตรงหรือไม่ เธอตอบว่าเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องกล่องขาวอะไรเลยตอนที่เลือกสีดำ ที่มันทาสีดำก็เพราะความเหมาะสมกับโครงการที่พวกเธอกำลังทำอยู่เท่านั้น พวกเธอไม่ได้สนใจอยู่กับการหาพื้นที่ให้กับชาวตะวันตกในโครงเรื่อง สิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับเราคือเรื่องราวที่ศิลปินและผู้สร้างภาพยนตร์เหล่านี้เล่า แค่นั้น

ผู้ชม (ถาม DO): ถ้าจุดสนใจหลักของคุณในฐานะคนทำหนังคือการบอกเล่าเรื่องราวของคนธรรมดา มีบ้างไหมที่คุณรู้สึกลำบากเวลาผู้คนให้ความสนใจแต่กับเรื่องการเมือง เพราะว่าอะไร ๆ ก็เป็นการเมือง?

DO: คำตอบของผมคือไม่นะ และนี่ล่ะเหตุผลว่าทำไมคนทำหนังถึงสร้างหนังตามที่ตนต้องการ และผู้ชมก็มีสิทธิ์ที่จะดูหนังตามที่พวกเขาต้องการด้วย และแน่นอน ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งใจจะมีความเป็นการเมือง มันก็แน่อยู่แล้ว ผมคงไม่ได้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการเมืองของไบอาฟราและไนจีเรีย แล้วออกมาพูดว่าผมไม่ได้ทำภาพยนตร์ทางการเมือง มันเป็นภาพยนตร์การเมือง แต่อย่างไรก็ตาม จุดสนใจหลักของผมคือการสะท้อนว่าการเมืองส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนธรรมดา ๆ อย่างไร

เราไม่สามารถบรรจุบทสนทนาทั้งหมดเกี่ยวกับไบอาฟราเอาไว้ในภาพยนตร์สั้น 20 นาทีได้ เรื่องราวของไบอาฟราย้อนไปถึงช่วง 1960s เริ่มต้นจากการสังหารหมู่ในปี 1966 ที่นำไปสู่ความตายของชาวอีโบกว่าพันคนที่ตอนเหนือของไนจีเรีย ความตายเหล่านี้ยังไม่ได้มีการรับผิดชอบใด ๆ เลย เมื่อผู้คน ที่ภายหลังรู้จักกันในนามชาวไบอาฟรา (Biafran) ได้ตัดสินใจแยกตัวออกจากไนจีเรียเพื่อปกป้องตัวเอง รัฐบาลไนจีเรียก็ไปโจมตี นำไปสู่สงครามที่ยาวนานสามปี และคร่าชีวิตชาวอีโบไปอีกนับล้านคน สิ่งที่เกิดขึ้นใน A Quiet Monday คือปมบาดแผลจากเหตุการณ์เหล่านั้น ภาพสะท้อนหลังสงคราม ที่แสดงให้เห็นว่าแม้สงครามจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังไม่ฟื้นดีและยังไม่ได้รับการรักษาแผลแต่อย่างใด

และก็ใช่ ที่รัฐบาลกลางแบกความรับผิดชอบมหาศาลต่อคำสั่งห้ามออกนอกบ้านในวันจันทร์ในพื้นที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ และผลของมันในการจัดการกับการเรียกร้องแยกดินแดนจากกลุ่มนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ปลดเปลื้อง IPOB ออกจากความรุนแรงที่เกิด แม้แต่ในภาพยนตร์เอง อ็อกบอนนาก็พูดว่า "ไนจีเรียเดียวกันนี้ที่ปล่อยให้เราต้องมาอยู่ในความมืดมนสิ้นหวัง" ตรงนี้เองที่ไปชี้เข้าที่ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลไนจีเรีย ในการปล่อยให้แนวคิดแบ่งแยกดินแดนลุกลามขยายไปมากขึ้นอีก

*All images (unless otherwise stated) are courtesy Dika Ofoma, Still from 'A Quiet Monday', 2023

[1] IPOB (Indigenous People of Biafra) is a secessionist and separatist group founded in 2014 by Nnamdi Kanu. See “Biafran leader Nnamdi Kanu: The man behind Nigeria's separatists,”BBC News, May 5, 2017, https://www.bbc.com/news/world-africa-39793185.
[2] See “Nigeria - Media and Entertainment,”International Trade Administration | Trade.Gov, June 6, 2023, www.trade.gov/country-commercial-guides/nigeria-media-and-entertainment.
[3] For some background on geographical conflict in Nigeria, see Frances Jumoke Oloidi and Leonard Ilechukwu, “Ethnicity in Nigeria in Post Colonial Era and Implications for Reader-Centred Library Collections,” Library Philosophy and Practice (2021), https://digitalcommons.unl.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=13384&context=libphilprac
[4] R. O. Okonkwo, “The trouble with IPOB’s sit-at-home orders,” Premium Times, January 23, 2022, https://www.premiumtimesng.com/opinion/507361-the-trouble-with-ipobs-sit-at-home-orders-by-rudolf-ogoo-okonkwo.html.