บอมบ์-สิทธิพนธ์ และ มีน-นภัส กับตัวตนทางศิลปะที่ยังไม่เคยมีใครรู้จัก และงานล่าสุดบนขวด SangSom

Post on 29 September 2025

การออกแบบของใช้ในชีวิตประจำวันที่นอกจากจะต้องมีฟังก์ชันที่ครบถ้วนและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือของชิ้นนั้นต้องมีเอกลักษณ์และภาพจำที่ชัดเจน อย่างดีไซน์บนกระเป๋า กล่องรองเท้า หรือแม้แต่รายละเอียดบนขวดเครื่องดื่มเล็ก ๆ เหล่านี้ก็สามารถนำไปสู่ตัวอย่างของการออกแบบที่ดีได้ไม่ยาก

หนึ่งในงานที่สะดุดตาเราเป็นพิเศษในปีนี้ คงต้องขอยกความสร้างสรรค์ให้กับขวด SangSom ในคอลเลกชัน 4 Seasons of the Moon Art Pack ที่นำ 4 ศิลปินไทยมาร่วมตีความเรื่องราวของพระจันทร์ในฤดูกาลทั้ง 4 ฤดู และถ่ายทอดลายเส้นของตัวเองลงบนขวด SangSom ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ

และด้วยความที่งานออกแบบขวดแสงโสมของโปรเจกต์นี้สะกดสายตาเป็นพิเศษ​ เราเลยหลังไมค์ไปขอล็อกคิว 2 ใน 4 ศิลปิน ซึ่งก็คือ มีน-นภัส จันทร์แสง และ บอมบ์-สิทธิพนธ์ เลาะไชยสงค์ คนที่จะมาถ่ายทอดฤดูร้อนและฤดูหนาวให้เราฟังแบบเจาะลึก ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้จะไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องแนวคิดและเทคนิคการออกแบบขวดเท่านั้น แต่เราจะพาพวกเขาทั้งสองคนมาทำความรู้จักกันในฐานะศิลปิน และการได้ร่วมงานกับแบรนด์ SangSom ถ้าพร้อมแล้วตามไปรู้จักพวกเขาสองคนในบทความนี้ได้เลย

📌รู้จักมีนและบอมบ์

มีน: นภัส จันทร์แสง หรือว่ามีนค่ะ นามปากกาก็คือ Meanapas (มีนนภัส) ซึ่งชื่อนามปากกาได้มาจากการเอาชื่อจริงกับชื่อเล่นมารวมกันค่ะ ปัจจุบันทำงานหลายบทบาท ทั้งเป็นนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ ทำงานศิลปะส่วนตัว แล้วก็ยังทำงานประจำในออฟฟิศควบคู่กันไปด้วย ที่ผ่านมาเราทำงานบริษัทด้านอาร์ตและดีไซน์มาตลอด แต่ตำแหน่งงานที่ทำจะเป็นแนว Project Coordinator หรือ Project Manager ที่ดูแลโปรเจกต์ต่าง ๆ มากกว่า

บอมบ์: บอมบ์ สิทธิพนธ์ เลาะไชยสงค์ครับ ใช้ชื่อศิลปินว่า บอมบ์ สิทธิพนธ์ เลยครับ ก็คือเอาชื่อจริงมาต่อกันคล้าย ๆ กับของมีนเลย ผมเรียนศิลปะมาโดยตรงตั้งแต่ปริญญาตรีและโท แล้วก็ทำงานเกี่ยวกับศิลปะมาเรื่อย ๆ ทั้งการแสดงงานในไทยและต่างประเทศครับ

📌การเดินทางในสายงานศิลปะและการเป็นศิลปิน

บอมบ์: ด้วยความที่สนใจงานศิลปะมาตั้งแต่แรกเลยเลือกเรียนคณะจิตรกรรม เอกศิลปะไทย แต่จริง ๆ ตอนแรกสนใจงานจิตรกรรมมากกว่า แต่พอดูหลักสูตรแล้วเห็นว่า ศิลปะไทยเป็นภาควิชาที่เปิดกว้าง ไปได้ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ก็เลยเลือกเรียนทางนี้ ซึ่งตอนเรียนจริง ๆ เกรดเราก็ไม่ได้มาก แต่เราทุ่มเทกับการทำงานศิลปะแบบมาก ๆ พอเรียนจบเริ่มส่งงานเข้าประกวดแล้วก็ได้รางวัล และมีโอกาสไปดูงานที่ต่างประเทศ

ตอนนั้นก็ฝันเลยว่า อยากไปแสดงงานต่างประเทศเลยเริ่มลองเขียน Proposal (ข้อเสนอ) ส่งไปตามแกลเลอรี ที่แรกเลยคือสิงคโปร์ แล้วก็ได้รับการตอบรับจริง ๆ จากนั้นก็ได้ไปต่อเรื่อย ๆ เลย ทั้งอิตาลี เกาหลี ฮ่องกง จนทุกวันนี้ก็ยังคงทำงานศิลปะอย่างต่อเนื่องครับ

มีน: ของมีนจบคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกศิลปะศึกษา ที่จริง ๆ จบแล้วก็จะไปเป็นครูศิลปะได้เลย แต่เรารู้สึกว่า ตอนลองไปทำแล้วมันไม่ใช่แนว เลยหันมาทำงานประจำบริษัทเอกชนที่เกี่ยวกับดีไซน์ แล้วก็ยังคงพัฒนางานวาดของตัวเองไปด้วยในขณะที่ทำงานประจำ อย่างการเป็นนักวาดภาพประกอบเราเริ่มวาดตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้วก็พยายามทำมันให้ต่อเนื่อง หาเวลาว่างจากงานหลักมาวาด เป้าหมายหลักคืออยากเป็นศิลปิน

จนปี 2022 เราส่งงานตัวเองไปออกบูธที่ Bangkok Illustration Fair (BKKIF) ซึ่งก็ถือว่า เป็นจุดเปลี่ยนนึงของเรา มีคนรู้จักมากขึ้น ติดต่อจ้างงานมาตามโอกาส แล้วก็เปิดโลกเราด้วย จากนั้นก็ค่อย ๆ ส่งงานไปตามงานแฟร์ต่างประเทศ ซึ่งเราคิดว่า ประสบการณ์พวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากการเดินทาง การได้ไปเจอศิลปินใหม่ ๆ หรือจากการทำงานประจำ มันก็กลายมาเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมวิธีคิดและวิธีการทำงานในสายวาดภาพของเราไปพร้อม ๆ กันค่ะ

📌ความแตกต่างของสไตล์และลายเส้นที่ทั้งสองทำ

บอมบ์: งานของผมเป็น Fine Art (วิจิตรศิลป์) ที่อยู่ในกลุ่มจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ไปถึงพวกงานศิลปะดิจิทัล แต่สิ่งสำคัญคืองานที่ผมทำจะพูดถึง ‘ตัวตน’ ในแง่ของการมองสิ่งต่าง ๆ ผ่านมุมมองที่ไม่เหมือนใครแล้วหยิบมาแปรเป็นผลงาน ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องปรัชญาและการตั้งคำถาม มีความเป็นนามธรรมอยู่ด้วย

ส่วนเทคนิคการทำงานของผมค่อนข้างเฉพาะตัว คือผมไม่ได้ใช้สีที่ผสมเสร็จแล้วมาวาดบนงาน แต่จะใช้พิกเมนต์ของสีที่เป็นผง ๆ มาวาดโดยตรง ซึ่งแรงบันดาลใจมันมาจากตอนเรียนศิลปะไทย เราจะเห็นวิธีการเขียนลายรดน้ำโบราณที่ใช้ผงดินสอพองโรยผ่านกระดาษที่เจาะรูจนเป็นลวดลาย เลยรู้สึกว่า ความเป็นฝุ่นผงมันสวยในตัวเอง แต่ปัญหาคือจะทำยังไงให้ฝุ่นเหล่านี้อยู่คงที่ได้ ผมเลยทดลองหลายวิธีเพื่อเก็บความล่องลอยนั้นไว้กับงานศิลปะที่คนเห็นแล้วสงสัยว่า หายใจแรง ๆ แล้วมันจะฟุ้งหายไปไหม ตรงนี้แหละครับที่ผมชอบมาก มันท้าทายกฎฟิสิกส์ และสร้างคำถามให้ผู้ชมได้โต้ตอบกับงาน

ซึ่งงานของผมส่วนใหญ่จะเน้นสีเขียวกับฟ้า ผมรู้สึกว่า มันให้ความรู้สึกสงบมากที่สุด เหมือนเป็นสีที่หาได้ยากในธรรมชาติ สีพวกนี้มันพาไปสู่ความฝัน ความผ่อนคลาย และความปิติ สิ่งที่ผมอยากมอบให้คนดูคือความสงบขณะที่โลกวุ่นวาย ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ผู้ชมมองแล้วหยุดสายตาสักสิบวินาทีแล้วรู้สึกนิ่ง แค่นั้นก็ดีใจแล้วครับ

มีน: เหมือนของมีนจะต่างกับคุณบอมบ์เลย เหมือนเป็นขั้วตรงข้ามกัน (หัวเราะ) งานของมีนตอนนี้จะเน้นไปทางการวาดภาพประกอบ เพราะงานลักษณะนี้ต้องทำงานเพื่อตอบโจทย์การใช้งานบางอย่าง เช่น ปกหนังสือ แพ็กเกจจิง หรือภาพประกอบที่ต้องสื่อสารบางเรื่องให้ไปถึงคนอื่น ส่วนสไตล์การทำงานมีนคิดว่า มีนไม่ใช่ศิลปินที่มีลายเส้นตายตัว แบบที่เห็นแล้วรู้ได้เลยว่าเป็นเรา เพราะเราชอบความหลากหลาย ไม่จำเจ ชอบทดลองอะไรใหม่ ๆ ตลอด ซึ่งถ้าย้อนดูงานสิบปีก่อนกับตอนนี้ มันไม่เหมือนกันเลย

ช่วงสามสี่ปีหลังมานี้เองที่เรารู้สึกว่าเริ่มเป็นอิสระจริง ๆ ในการวาดรูป เรารู้ตัวเองว่าชอบเล่าเรื่องผ่านรูปทรงและสีมากที่สุด ไม่ว่าจะเริ่มจากการอ้างอิงดอกไม้แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนรูปทรงมันให้กลายเป็นทรงที่อิสระมากขึ้น ตอนนี้เลยเป็นเหมือนการสนุกกับการเล่นสีที่จัดจ้านบ้าง สดใสบ้าง หรือบางครั้งก็เลือกทำโทนสงบ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อยากสื่อสารในงานนั้น ๆ ค่ะ

📌 จากสไตล์ของตัวเองมาสู่การออกแบบขวด SangSom ครั้งแรกได้ยังไง

มีน: เริ่มจากที่ทีม SangSom ติดต่อเข้ามาผ่านอินสตาแกรมค่ะ เขาเห็นงานที่เราที่ไปออกบูธก็เลยทักมา แล้วก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้กันค่ะ ซึ่งเอาจริง ๆ ตอนที่เขาติดต่อมาก็อยากถามมากเลยว่า ทำไมเลือกเรา แต่พอเจอกันก็ไม่กล้าถามค่ะ (หัวเราะ) แต่ถ้าลองคิดว่า ทำไมเขาถึงเลือก อาจเพราะสไตล์งานที่มีนทำก่อนหน้านี้มันมีความสดใส แล้วก็ตรงตามที่ทีมอยากได้ เหมาะที่จะออกแบบฤดูร้อน (Summer Moon)

บอมบ์: ของผมก็คล้าย ๆ กันครับ ส่วนตัวได้ถามทางทีมไป เขาบอกว่า เขาเห็นผมมาจากนิทรรศการที่เคยจัดก่อนหน้านี้ก็เลยติดต่อมา แล้วก็ส่งโจทย์มาให้ลองพัฒนาต่อครับ ซึ่งตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่า เราไม่ได้รับบรีฟที่เยอะเลย เขาให้เราตีความแบบเป็นตัวเองมาก ๆ ซึ่งงานนี้ตอนแรกสิ่งที่กังวลคือมันต้องเป็นงานดิจิทัล แต่ส่วนตัวผมทำงานวาดมือลงบนวัสดุต่าง ๆ อยู่แล้ว ซึ่งถ้าให้ทำก็ทำได้ครับ แต่จะรู้สึกเหมือนตัวตนมันหายไป ก็เลยได้คุยกับทางทีมแล้วก็ได้ข้อสรุปมาว่า สามารถเริ่มงานด้วยการวาดลงบนขวดได้ แล้วค่อยถ่ายรูป และนำไปสู่กระบวนการอื่นต่อไป

มีน: เรื่องการบรีฟคือเห็นด้วยเลยค่ะ มีนรู้สึกว่า ทางลูกค้าค่อนข้างให้อิสระเราในการตีความ สิ่งที่เขาบรีฟมาคือกว้าง ๆ ว่าอยากให้ลองตีความฤดูที่ตัวเองได้รับดู แต่แค่แต่ละฤดูในงานของเราจะต้องมีดวงจันทร์ซึ่งคือความหมายของ ‘แสงโสม’ อยู่ด้วยค่ะ

📌 การตีความของฤดูร้อนและฤดูหนาว

บอมบ์: ของผมได้รับโจทย์เป็น Winter Moon หรือฤดูหนาว ซึ่งยากมาก เพราะเมืองไทยไม่มีหิมะ ตอนแรกตีความแบบตรงไปตรงมาแต่ก็ไม่โดน เขาก็ตีกลับมาให้ลองตีความใหม่ สุดท้ายก็เลยหันกลับมาใช้สิ่งที่ถนัดคืองานแบบนามธรรม เล่าความรู้สึก ความเย็น ความสงบ ผ่านองค์ประกอบที่เกี่ยวกับน้ำ คลื่น ฟองน้ำ แสงจันทร์ และการสะท้อนดวงดาว ตีความฤดูหนาวแบบไม่มีหิมะ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกสงบ และสื่อถึงการพักผ่อนครับ

มีน: มีนได้รับโจทย์เป็นฤดูร้อน ตอนแรกตีความตรง ๆ เลยค่ะ คิดถึงความสดใส สนุกสนาน ดอกไม้บาน แต่พอมาลองดูแล้วมันอาจจะไปซ้ำกันฤดูใบไม้ผลิ ก็เลยลองปรับใหม่ ซึ่งทีมแนะนำเรามาว่าให้มองในมุมของเมืองไทย สุดท้ายเลยตีความเป็นความร้อนจริง ๆ ของไทย แบบร้อนที่สุดของปี

อย่างพอมีนได้คอนเซปต์มาแล้ว คีย์เวิร์ดที่ว่าคือความร้อนที่ร้อนที่สุดของปี ก็เลยไปหาข้อมูลต่อว่า ร้อนที่ประเทศไทยมันร้อนแค่ไหนกัน แล้วก็พบว่า ไทยเคยร้อนทะลุ 40 องศามาแล้ว ซึ่งมันเลยไปตรงกับ 40 ดีกรีของ SangSom มันร้อนพอ ๆ กันเลย เราเลยทำตัวเลือกไปเสนอให้ลูกค้า ทำมาทั้งหมด 3 แบบ สุดท้ายทางลูกค้าเลือกตัวที่ออกแบบเป็น Heat Map เราคิดแค่ว่า พอมันเป็นแมปที่ร้อนมาก ๆ มันจะไม่มีจุดไหนในแผนที่เป็นสีเขียวเลย มันคงต้องแดงไปหมด ซึ่งข้อดีของงานชิ้นนี้มันคือมีความเป็นกึ่ง Abstract (ศิลปะนามธรรม) มันเป็นลักษณะฟรีฟอร์ม แล้วพอมีดวงจันทร์เข้าไปด้วยเลยรู้สึกว่ามันกลายเป็นค่ำคืนในฤดูร้อน มีพวกดวงดาวระยิบระยับไปด้วย เป็นการสังสรรค์ยามค่ำคืนฤดูร้อนที่มันแบบมันจัดจ้านมันร้อนและมีความสนุกด้วยนะ

บอมบ์: อย่างของผมตอนดราฟท์แรก ๆ ที่ออกแบบไปก็ดอกไม้ ผีเสื้ออะไรเหมือนกัน คือเรามองว่าฤดูหนาวเป็นการสะสมพลังงาน แต่สุดท้ายได้รับบรีฟที่ลูกค้าสโคปให้ชัดเจนขึ้นก็รู้สึกชอบบรีฟใหม่ เพราะว่า มันเป็นตัวเรามากกว่า เหมือนเป็นสิ่งที่เรารู้สึกจริง ๆ พอออกแบบไปใหม่ในครั้งที่สองลูกค้าก็บอกให้เราเริ่มทำงานจริงได้เลย ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าเวลามันค่อนข้างน้อย แต่เราทำมันได้ค่อนข้างพอดีกับเวลาที่มี ซึ่งมันเป็นหนึ่งเดือนเต็มที่เวลาผ่านไปไวมาก

มีน: แอบรู้สึกว่าของบอมบ์น่าจะยากกว่า เพราะเหมือนของเขาต้องทำงานบนแคนวาสมันต้องใช้เวลา ซึ่งของมีนมันจะทำได้ไวกว่า เพราะเลือกทำแบบดิจิทัลเลยมีเวลาทำมากกว่า

📌ความเชื่อมโยงของ SangSom กับสไตล์งานที่ตัวเองทำ

มีน: มีนรู้สึกว่า SangSom กับมีนมีความเชื่อมโยงกันเรื่องการเปิดรับสิ่งใหม่ เพราะ SangSom เขามีการออกคอลเลกชันที่ออกมาแต่ละรุ่นไม่ซ้ำกัน เหมือนมีอะไรที่ทำให้เราได้ตื่นเต้นและคอยติดตามเขา ซึ่งก็น่าจะตรงกันกับเราที่มีความชอบทำอะไรแปลกใหม่ ไม่ซ้ำเดิมอยู่เรื่อย ๆ ค่ะ

บอมบ์: เห็นเหมือนกับมีนเลย เรารู้สึกว่า ในภาพจำของคนในวงการศิลปะจะเห็นว่า SangSom ให้การสนับสนุนงานศิลปะ แล้วก็คิดว่า ศิลปะกับความเป็น SangSom มันไม่ได้ไกลกันเลย

มีน: ใช่ ๆ มีนรู้สึกว่าจุดยืนเขาชัดเจน และทำจริงมาเป็นหลักสิบปีแล้ว คือมีนเห็น SangSom มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้วอะ เวลามีงานเทศกาลดนตรี ก็มักจะมีการสนับสนุนงานของศิลปินหรือวงการศิลปะ เรารู้สึกว่า จุดยืนเขาชัดเจนมาตลอด

📌ความท้าทายในการออกแบบขวด SangSom 4 Seasons of the Moon Art Pack

มีน: ของมีนคือรู้สึกว่า มันเป็นความไม่มั่นใจและตีกับความคิดตัวเอง เพราะด้วยความที่ SangSom เป็นแบรนด์ใหญ่ที่มีนได้ร่วมงานด้วย มันเป็นความกังวลว่าเขาเลือกเราจริงเหรอ มีแวบนึงที่ไม่เชื่อด้วยนะ เพราะเราไม่ได้เป็นที่รู้จักขนาดนั้น และในการทำงานที่เราจะต้องดีไซน์เพื่อไปอยู่บนแพ็กเกจจิงจริง ซึ่งไซซ์ก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าพองานชิ้นนี้ต้องเอาไปใช้ขึ้นจอใหญ่ด้วย แปลว่า ขนาดมันใหญ่สูงกว่าคน สำหรับมีน มันเลยเป็นความท้าทาย เหมือนเราต้องคิดให้รอบด้าน เช่น ถ้าไปอยู่บนขวดก็ต้องสวยรอบด้าน และพอไปอยู่บนจอใหญ่ก็ต้องสวยด้วย

บอมบ์: ความท้าทายจริง ๆ ก็คือเราเป็นคนที่ทำงานโดยเริ่มจากความรู้สึกข้างในเป็นหลัก แต่งานนี้มันเริ่มจากบรีฟว่าเป็นงานลักษณะไหน ซึ่งบางทีเวลาคิดงาน เราก็คิดเยอะจนลืมความเป็นตัวเองไป คิดเยอะมากจนสุดท้ายลองเลิกคิด แล้วลองเริ่มใหม่ คือนึกถึงเรื่องว่า ถ้าพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูหนาว ก็ไปนึกถึงจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง ข้างขึ้น ข้างแรม เป็นการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ มันก็เลยไหลลื่นไปกับแนวความคิดของเรา หลังจากนั้นมันคือสนุกแบบที่เป็นตัวเองจัด ๆ ไปเลย แล้วพอเสนอไปทางลูกค้าก็ชอบด้วย มันเลยได้เรียนรู้จากความท้าทายนี้ว่า บางครั้งก็อย่าคิดเยอะทำไปด้วยความจริงใจก่อน

📌 ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับ SangSom ในโปรเจกต์นี้

มีน: สำหรับมีน มันสนุกมากเลยอะ แบบเราเห็นทาง SangSom สนับสนุนวงการศิลปะแล้วพอได้มาทำงานจริง ๆ กับเขา มันรู้สึกว่าเขาให้อิสระกับมีนมาก ให้เกียรติคนทำงานมากนะ แล้วก็ให้อิสระกับการที่มีนได้เป็นตัวเองจริง ๆ แล้วมีนคิดว่า การที่เราได้รับโอกาสสำหรับการทำอาชีพนี้มันสำคัญนะ มีนอาจจะไม่ใช่คนเก่ง แต่ว่าการเป็นคนที่ได้รับโอกาสมันช่วยผลักดันเราได้เยอะมาก เพราะว่างานเราได้ถูกวางขายไปทั่วประเทศ มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งเลย

เอาง่าย ๆ ว่ามีนเป็นคนต่างจังหวัด ตอนเด็ก เราไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะทำอาชีพเกี่ยวกับศิลปะได้ยังไงเลย คนโดยส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า มีนไปทำอะไรอยู่กรุงเทพ ไม่รู้ว่า มีนทำอะไรอยู่ แต่พอมีแบรนด์ที่ใหญ่ขนาดนี้ ที่สามารถวางขายสินค้าได้ทั่วประเทศ แล้วงานมีนมันได้กลับไปขายถึงบ้านตัวเองได้อะ นั่นคือความภูมิใจมาก ๆ เลยนะ มันคือโอกาสที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินหลาย ๆ คนที่กำลังพยายามอยู่ตอนนี้ เพราะมีนคิดว่า ทุกคนตั้งใจมาก ๆ ในเส้นทางนี้ มีนคิดว่า ถ้าเราทำงานต่อเนื่องแบรนด์เขาจะเห็น และให้โอกาส เพราะมีนเองก็ไม่ได้ดัง เป็นศิลปินตัวเล็ก ๆ คนนึงที่แบรนด์เห็นค่ะ

บอมบ์: ผมก็คนต่างจังหวัดเหมือนกัน พ่อเราก็ได้เห็นงานที่ผมออกแบบ แถมยังซื้อด้วย (หัวเราะ) เรารู้สึกว่า การทำงานกับ SangSom ครั้งนี้มีอะไรใหม่หลายอย่างเกิดขึ้น นอกจากผลลัพธ์ที่ภูมิใจที่เขาเลือกเราแล้ว ยังทำให้คนอื่น ๆ ได้เห็นงานเราเพิ่มขึ้น ครั้งหนึ่งที่เราไปเป็นวิทยากรเกี่ยวกับศิลปะในมหาลัยหนึ่ง แล้วมันคือวันที่สุดท้ายที่เขาจัดปาร์ตี้ แล้วก็มีคนซื้อ SangSom ที่เป็นขวดที่เราออกแบบ พอเราบอกคนที่ซื้อมาว่า เราเป็นคนวาดเองนะ จากนั้นมันเลยเป็นบทสนทนาที่ดีมาก สนุกดีครับ อันนี้ในส่วนของผลลัพธ์

ส่วนในพาร์ทการทำงาน คือเรารู้สึกว่า ตัวเองใหม่มาก เพราะเราไม่เคยคุยงานแบบที่ต้องคุยออนไลน์กับหลาย ๆ ฝ่าย เราตื่นเต้นมาก คิดอยู่ในใจว่าเขาจะชอบงานเราไหม คิดไปสารพัด แต่พอมาได้ทำงานเป็นทีมใหญ่ ๆ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้หลายอย่างมากขึ้น เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ในชีวิตครับ

📌 สิ่งที่อยากทำ และภาพอนาคตในสายงานศิลปะ

มีน: สำหรับมีนยังรู้สึกว่า มันมีอีกหลายโปรเจกต์ที่น่าหยิบงานศิลปะเข้าไปใส่ด้วย นึกถึงภาพว่า ถ้าเราเดินห้าง หรือเดินผ่านชั้นวางขายสินค้าอะไรสักอย่าง แล้วมองเห็นงานตัวเองตรงนั้นมันคงจะดี อยากเห็นงานตัวเองไปอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เหมือนที่ทำกับทาง SangSom เลยค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราเป็นคนชอบดูพวกเรื่องงานดีไซน์ขวด ซึ่งก็คิดว่า ถ้าวันนึงเราได้รับโอกาสไปคอลแลบอย่างอื่นด้วยน่าจะสนุกค่ะ

บอมบ์: ของผมคือ ถ้าเกิดในอนาคตมีผลิตภัณฑ์หรือมีแบรนด์แบบ SangSom มาให้การสนับสนุน ก็อยากลองทำงาน Immersive Art (งานศิลปะที่สร้างประสบการณ์ให้ผู้คน) แบบที่คนสามารถเข้าไปในนั้นได้ แล้วหลุดเข้าไปในจักรวาลที่เราสร้างขึ้น มันคือความฝันของเรานะในการเล่นกับแสง สี ถ้ามันต่อยอดจากโปรเจกต์นี้ได้ก็น่าจะดีครับ

มีน: มีนว่า มันดีมากเลยที่เขาเลือกคุณบอมบ์เข้ามาจอยในคอลเลกชันนี้ เพราะส่วนใหญ่พวกงานโปรดักส์หรืองานคอลแลบมันจะมาทางนักวาดภาพประกอบ ส่วนตัวมีนคิดว่า น้อยนะที่จะมีศิลปิน Fine Art (วิจิตรศิลป์) มาร่วมโปรเจกต์ด้วย มันได้ความแปลกใหม่ดีอะในมุมมีนนะ

บอมบ์: ดีใจเหมือนกันที่ได้มาร่วมงานในโปรเจกต์นี้ แล้วก็ดีมากที่ได้มาพูดคุยกันวันนี้ครับ