GC_MultiCover_2.jpeg

ฉันถามเลย ‘ดารุมะ ไหน’ ชวนรู้จัก ‘ดารุมะ’ ตุ๊กตาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้ขายซูชิ

Art
Post on 21 June

ฉันถามเลย ‘ดารุมะ’ ไหน มันจะมีดารุมะที่ขายซูชิ กับดารุมะที่เป็นตุ๊กตา

เชื่อว่าในวินาทีนี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อ ‘ดารุมะ’ จากดราม่าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในปัจจุบันแล้วรู้หรือไม่ว่าเจ้าตุ๊กตาที่ว่านั้นมีที่มาจากไหน? ดารุมะถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ถึงความโชคดีนานัปการของญี่ปุ่น ด้วยดวงตากลมโต หนวดเครารกครึ้ม ตัวอ้วนปุ๊กลุก ลักษณะเหล่านี้ทำให้ดารุมะเป็นเครื่องรางที่จับใจผู้คนทั่วโลกในฐานะภาพจำของดินแดนอาทิตย์อุทัย

วันนี้ GroundControl ชวนทุกท่านทำความรู้จักกับ ‘ดารุมะ’ ตุ๊กตาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องรางยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่น ที่มีต้นแบบมาจากปรมาจารย์วัดเส้าหลิน ทั้งยังเป็นเครื่องรางที่ซ่อนความหมายดีดีไว้อีกเพียบ แต่น้องมีวันหมดอายุนะแถมยังมีวิธีขอพรที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร กดอ่านได้เลย!

อาตมาทำไม่ไหวแล้ว

ตุ๊กตาดารุมะมีประวัติยาวนานที่สามารถย้อนไปถึงราวๆ ปี 1764 โดยมีต้นกำเนิดมาจากวัด shorinzan Darumaji ในเมือง Takasaki ทางเหนือของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทุกๆ ปี เจ้าอาวาสจะทำเครื่องรางแจกจ่ายผู้คน เครื่องรางที่ว่าคือรูปพระโพธิธรรมเถระ หรืออีกชื่อหนึ่งที่แมสกว่าคือ ‘ปรมาจารย์ตั๊กม้อ’ ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้สถาปนาศาสนาพุทธนิกายเซ็นในประเทศจีนซึ่งต่อมาได้เผยแผ่เข้ามาในประเทศญี่ปุ่นและวัด shorinzan darumaji ก็เป็นวัดในสังกัดนิกายนี้ 

ธรรมเนียมการแจกเครื่องรางของวัดส่งผลให้มีผู้คนเข้ามาขอเครื่องรางจำนวนมากจนเจ้าอาวาสทำไม่ทัน ต่อมา ท่าน Togaku พระสงฆ์ผู้สืบทอดวัดลำดับที่ 9 ก็ปิ๊งไอเดียทำแม่พิมพ์เครื่องรางรูปตุ๊กตาท่านดารุมะขึ้นมาแล้วแจกจ่ายให้ชาวบ้านไปทำเครื่องรางด้วยตัวเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตุ๊กตาดารุมะก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้นด้วยวิธีการทำแบบเปเปอร์มาเช่

<p>วัดต้นกำเนิด</p>

วัดต้นกำเนิด

พระโพธิธรรมเถระ ต้นกำเนิดมวยเส้าหลิน

อย่างที่เล่าว่าตุ๊กตาดารุมะสร้างตามใบหน้าของพระโพธิธรรมเถระ หรือท่านตั๊กม้อ ชื่อว่า ‘ดารุมะ’ ก็มาจากชื่อของท่านในภาษาญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน ชาวญี่ปุ่นจะเรียกท่านว่า Daruma daishi  

ประวัติของท่านตั๊กม้อเต็มไปด้วยความลึกลับและปาฏิหาริย์นับไม่ถ้วน ว่ากันว่าท่านเป็นโอรสของกษัตริย์แคว้นคันธาระในประเทศอินเดียและต่อมาได้ออกบวชในสังกัดของพระปรัชญาตาระเถระผู้สืบทอดสายธรรมมาจากพระมหากัสสปะ ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาราวๆ ปี 526 เมื่อเดินทางไปถึงมณฑลกวางตุ้งท่านก็ค้นพบวัดเส้าหลินอันเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิธรรมอย่างมาก ท่านจึงอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานจนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา 

ว่ากันว่าท่านตั๊กม้อปฏิบัติธรรมด้วยวิธีพิสดารเกินใครจะจินตนาการถึงผ่านการทำสมาธิโดยการจ้องผนังถ้ำเป็นเวลานานถึง 9 ปี แต่ครั้งหนึ่งในปีที่ 7 ท่านก็เกิดเผลอหลับขึ้นมา ทำให้ท่านตัดสินใจตัดหนังตาของตนทิ้งเพื่อไม่ให้เคลิ้มหลับอีกต่อไป ตำนานเล่าต่อว่า เศษหนังตาที่ถูกตัดของท่านได้กลายเป็นต้นชาเขียวต้นหนึ่ง และนี่เองที่เป็นเหตุให้พระสงฆ์ในนิกายเซ็นนิยมดื่มชาเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวขณะทำสมาธิอยู่เสมอ หลังจากที่นั่งภาวนานานถึง 9 ปี ท่านก็พบว่าแขนขาตนเองไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ท่านจึงเริ่มการฟื้นฟูแขนขาผ่านการทำโยคะซึ่งเป็นศาสตร์ที่ติดตัวท่านมาจากอินเดีย

ต่อมาพระโพธิธรรมสังเกตว่าบรรดาพระในวัดไม่สามารถโฟกัสกับการปฏิบัติธรรมและการทำสมาธิเนื่องจากร่างกายอ่อนแอไม่กระปรี้กระเปร่า ท่านจึงคิดค้นกระบวนท่าเพื่อบริหารร่างกายและถ่ายทอดให้กับพระลูกวัดเพื่อให้พวกเขามีร่างกายแข็งแรงสามารถโฟกัสกับการปฏิบัติธรรมได้ และกระบวนท่าเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นวิชากังฟูและวรยุทธิ์วัดเส้าหลินที่โด่งดังไปทั่วโลก  

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านตั๊กม้อมีความจำเป็นต้องเดินทางข้ามแม่น้ำแยงซี แต่วันนั้นกลับไม่มีเรือเลยสักลำ ท่านจึงหักต้นอ้อแถวๆ นั้นโยนลงไปในน้ำ แล้วกระโดดเหยียบบนต้นอ้อใช้เป็นเรือข้ามไปยังอีกฝั่ง ชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์แถวนั้นต่างก็ร่ำลือถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของท่านตั๊กม้อ และเริ่มมีการนับถือท่านมากขึ้นเรื่อยๆ 

แต่ถึงแม้ท่านจะทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมและเป็นที่เคารพรักของชาวบ้านมากถึงเพียงนี้ ท่านตั๊กม้อกลับถูกวางยาพิษจนมรณภาพ ศพของท่านถูกบรรจุไว้ในโลงอย่างดี แต่ไม่กี่วันถัดมาผู้คนในวัดได้เปิดโลงศพท่านอีกครั้งและพบว่าร่างท่านไม่อยู่ข้างใน มีเพียงรองเท้าเก่าๆ ข้างหนึ่งที่คงเหลือไว้เท่านั้น 

ปาฏิหาริย์เหล่านี้ทำให้ท่านได้รับการเคารพบูชาอย่างกว้างขวางจากประชาชนชาวจีนและต่อมาความเชื่อนี้ก็ได้ส่งต่อยังญี่ปุ่นผ่านการเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายเซ็น

ร่างศักดิ์สิทธิ์ที่ล้มแล้วลุก

ตุ๊กตาดารุมะนั้นซ่อนความหมายอันเป็นมงคลมากมายไว้ในตัวมันเอง ลักษณะที่เป็นตุ๊กตาล้มลุกสะท้อนความสามารถของบุคคลที่จะประสบความสำเร็จว่าต้องผ่านการผจญอุปสรรคล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็สามารถก้าวข้ามผ่านและลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผยได้ในที่สุด

คิ้วและหนวดเคราของตุ๊กตาสะท้อนภาพของนกระเรียนและเต่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตยืนยาว ส่วนสีแดงของตุ๊กตานั้นเชื่อกันว่าเป็นสีที่สามารถขับไล่ความชั้วร้ายและภูติผีปีศาจทั้งยังเป็นสีของหมวกพระสงฆ์ชั้นสูงของญี่ปุ่นในอดีต นอกจากนี้ บริเวณคางของตุ๊กตายังเขียนคำอวยพรที่มีความหมายในเชิงบวก เช่น สุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุข 

กิมมิคที่สำคัญที่สุดของตุ๊กตาดารุมะคือ ‘วิธีขอพร’ ในขั้นแรก ดวงตาทั้งสองข้างของตุ๊กตาจะถูกทิ้งไว้เปล่าๆ ให้ไม่มีลูกตาอยู่ในนั้น ทันทีที่ผู้คนนำตุ๊กตากลับบ้าน พวกเขาจะต้องอธิษฐานขอพรหนึ่งข้อแล้วต้องวาดลูกตาลงไปในดวงตาข้างหนึ่ง (แค่เพียงข้างเดียวเท่านั้นนะ) และเมื่อคำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผล เขาก็จะต้องกลับมาวาดลูกตาให้กับข้างที่เหลือเพื่อตอบแทนตุ๊กตาที่ตอบสนองคำอธิษฐาน ฟังก์ชั่นนี้แท้จริงแล้วมีไว้เพื่อเตื่อนใจให้ผู้คนระลึกถึงเป้าหมายและความต้องการของตนเองอยู่เสมอนั่นเอง 

เมื่อเจ้าของเห็นดวงตาหนึ่งข้างของตุ๊กตาตนเอง ก็จะเกิดแรงบันดาลใจให้ออกไปไขว่คว้าหาความสำเร็จตามที่ขอ เพื่อที่จะได้กลับมาวาดตาอีกข้างให้เสร็จสมบูรณ์ในที่สุด (แต่ถ้าเกิดไม่สำเร็จก็เลือกที่จะวาดหรือไม่วาดตาอีกข้างก็ได้) นี่จึงเป็นกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ที่บรรดาคณาจารย์เซ็นตั้งแต่อดีตได้ซ่อนไว้ในตุ๊กตานำโชคตัวนี้เพื่อสั่งสอนผู้คนว่าแท้จริงแล้วทุกสิ่งนั้นสามารถสำเร็จได้ด้วยหนึ่งสมองและสองมือของตนเอง (แต่อาจจะต้องการโชคช่วยนิดนึง)  

ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าตุ๊กตาดารุมะมีวันหมดอายุ ตุ๊กตาอ้วนตัวนี้จะทำงานแค่ 1 ปีเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าภายใน 1 ปีนี้ตุ๊กตาดารุมะได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่แล้ว ทั้งให้พร ให้โชคลาภ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย รวมไปถึงรับเคราะห์แทน พอครบหนึ่งปี พวกเขาจึงให้น้องพักผ่อนโดยการไปคืนที่วัด และนำตัวใหม่กลับบ้าน ความเชื่อนี้ก่อให้เกิดเทศกาลสำคัญของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ‘Daruma kuyo’ ซึ่งจะจัดหนึ่งครั้งต่อปีเท่านั้นในหนึ่งวันหลังจากวันขึ้นปีใหม่ ในเทศกาลนี้ผู้คนจะนำดารุมะตัวเก่าไปคืนวัดและนำตัวใหม่กลับบ้าน ตุ๊กตัวเก่าที่ถูกปลดระวางจะถูกกองรวมกันและเผาจนสิ้นซากหลังจากที่พระสงฆ์ทำพิธีสวดพระสูตร

ดารุมะกับการเป็นดาราท่านหนึ่งในป๊อปคัลเจอร์

ตุ๊กตาดารุมะปรากฏตัวในป๊อปคัลเจอร์ในหลายต่อหลายครั้ง แต่การปรากฏตัวที่ตราตรึงจิตใจผู้คนมากที่สุดคงนี้ไม่พ้น บทบาทในภาพยนตร์เรื่อง As the gods will หรือ เกมเทวดาฆ่าไม่เลี้ยง ที่ตุ๊กตาดารุมะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินเกมเกมหนึ่งที่มันจะหันหลังแล้วร้องเพลง ทันทีที่มันร้องเพลงจบ มันจะหันหลังกลับมา ถ้ามันพบว่าใครขยับเขยื้อน มันจะสังหารคนนั้นให้สู่ขิตทันที 

ทั้งบทบาททางความเชื่อ บทบาทในป๊อปคัลเจอร์และบทบาทของการเป็นมาสคอตของประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นความสำคัญของตุ๊กตาดารุมะในฐานะที่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตผู้คนมาอย่างช้านานทั้งยังสะท้อนความชาญฉลาดของชาวญี่ปุ่นที่สามารถส่งออกความเชื่อด้านคติชนของตนเองไปทั่วทุกมุมโลกจนสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศตนเองได้อย่างมหาศาลอีกด้วย

อ้างอิง
https://bit.ly/2Q0GzWK
https://bit.ly/3y6Crg9
https://bit.ly/3N4lUxz
https://bit.ly/3xHDUYX
https://bit.ly/2smcqJW