จากเด็กเกรียนสู่เจ้าของรางวัลแกรมมี่สองสมัย กะเทาะหน้ากาก มองการเติบโตของแรปเปอร์จอมปั่น Tyler, The Creator

Post on 22 September 2025

ไหน… เมื่อคืนมีใครไป CHROMAKOPIA: THE WORLD TOUR คอนเสิร์ตครั้งแรกในไทยของ Tyler, The Creator กันมาบ้าง?
.
มูฟออนกันได้แล้วนะ เลิกได้เลิก แต่ถ้าเลิกไม่ได้ ที่นี่มีให้อ่าน!
.
แม้ปัจจุบัน ไทเลอร์ เกรกอรี โอคอนมา (Tyler Gregory Okonma) หรือที่ชาวเรารู้จักกันดีในชื่อ Tyler, The Creator จะมีอายุเพียงแค่ 34 ปี แต่เขาก็มีผลงานในวงการเพลงมายาวนานมากกว่า 17 ปี โดยถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขยันผลิตผลงานออกมาให้สาธารณชนได้รับชมอย่างต่อเนื่องมากที่สุดของยุคนี้ เขาเป็นทั้งแรปเปอร์ โปรดิวเซอร์ แฟชั่นดีไซเนอร์ กราฟิกดีไซเนอร์ ผู้กำกับ รวมถึงเป็นตัวป่วนของวงการฮิปฮอป ที่ไม่ว่าจะขยับตัวเมื่อไหร่ก็มักจะสร้างแรงสั่นสะเทือนได้เสมอ

เมื่อมองย้อนกลับไปในเส้นทางการเป็นศิลปินของไทเลอร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเคยตกเป็นเป้าในประเด็นฉาวอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมสุดเรื้อน หรือเนื้อเพลงในอดีตที่เต็มไปด้วยความรุนแรง จนครั้งหนึ่งเขาเคยโดนประเทศอังกฤษแบนไม่ให้เข้าประเทศมาแล้ว!

แต่จากวีรกรรมป่วน ๆ ในอดีต วันนี้ไทเลอร์กลับกลายมาเป็นศิลปินผู้ทรงอิทธิพลทั้งในวงการเพลงและแฟชั่น จนมีโอกาสได้ไปคว้ารางวัล Grammy Awards ถึงสองสมัย แถมพฤติกรรม ‘ชายแท้’ ที่เคยถูกจดจำ ปัจจุบันเขากลับเป็นแรปเปอร์ที่กล้าเปิดเผยด้านเปราะบาง โดดเดี่ยว และแตกต่าง

วันนี้ GROUNDCONTROL ขอพาทุกคนย้อนกลับไปสำรวจการเติบโตของแรปเปอร์ตัวจี๊ดคนนี้ ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกกับแก๊ง Odd Future ไปจนถึง Don’t Tap the Glass อัลบั้มชุดล่าสุดที่ออกมาเซอร์ไพรส์แฟนเพลงในปีนี้

Odd Future (OFWGKTA): แก๊งเด็กเปรตแห่งวงการฮิปฮอป

ก่อนจะเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ไทเลอร์ในวัย 17 ปีก่อตั้งฮิปฮอปคอลเลกทีฟชื่อ Odd Future Wolf Gang Kill Them All (หรือที่แฟน ๆ มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า Odd Future) ขึ้นในปี 2007 ร่วมกับเพื่อน ๆ โดยมีสมาชิกที่ต่อมากลายเป็นศิลปินดังระดับโลก เช่น Frank Ocean, Earl Sweatshirt และ Syd

ภาพจำของยุคนี้คือโลโก้โดนัท OF ที่กลายเป็นไอคอนในวงการสเก็ตและสตรีทแวร์ เพลงเต็มไปด้วยพลังดิบ เถื่อน และขบถ พวกเขาเป็นเหมือนแก๊งวัยรุ่นที่เข้ามาสร้างความโกลาหลให้กับวงการฮิปฮอป อย่างไรก็ดี แม้ในปัจจุบัน Odd Future จะไม่ได้ประกาศยุบวงอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่มีกิจกรรมร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2018 เหลือเพียงความทรงจำที่ยังปรากฏซ้ำในงานของไทเลอร์ อย่างการตั้งชื่อแบรนด์สตรีทแวร์ของตัวเองว่า Golf Wang หรือเทศกาลดนตรี Camp Flog Gnaw Carnival ที่เกิดจากการเล่นคำและสลับตัวอักษรจากคำว่า Wolf Gang นั่นเอง

Wolf Trilogy: หมาป่า พ่อ และความเกรี้ยวกราดของเด็กหนุ่ม

สามอัลบั้มแรกของไทเลอร์ในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่าง Bastard (2009), Goblin (2011), และ Wolf (2013) มักถูกแฟน ๆ เรียกรวมว่า ‘Wolf Trilogy’ หรือ ‘ไตรภาคหมาป่า’ เนื่องจากสิ่งที่มีร่วมกันคือการเล่าเรื่องผ่านวงบำบัดระหว่าง Wolf Haley อัลเตอร์อีโกที่เกรี้ยวกราดและมืดหม่นของไทเลอร์ กับ Dr. TC จิตแพทย์ในจินตนาการของเขา ซึ่งเรื่องราวที่ทั้งสองพูดคุยกันก็มีตั้งแต่เรื่องเพศ ความรุนแรง รวมไปถึงพ่อที่ทิ้งเขาไปตั้งแต่เกิด ซึ่งปมนี้เองจะเป็นประเด็นสำคัญที่ปรากฏในผลงานของไทเลอร์อีกหลายครั้งในเวลาต่อมา

เพลงและภาพในยุคนี้เต็มไปด้วยความมืดหม่น ดิบ และรุนแรงสไตล์ Horrorcore ตัวอย่างที่โดดเด่นสุดคือมิวสิกวิดีโอเพลง Yonkers ที่ทำให้เขาสามารถคว้ารางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเวที MTV Video Music Awards ในปี 2011

Cherry Bomb & Flower Boy: การเดินทางสู่จุดเปลี่ยนทางดนตรี (และตัวตน)

ในปี 2015 ไทเลอร์ปล่อย Cherry Bomb อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายทางดนตรี แต่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้แฟนเพลงได้เริ่มสังเกตเห็นการเติบโตของเขา ทั้งทางดนตรีและภาพลักษณ์

โดยในอีกสองปีถัดมา เขาได้ปล่อย Flower Boy (2017) อัลบั้มที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เพลงฮิตอย่าง See You Again ทำให้ไทเลอร์สามารถเข้าถึงคนฟังในวงกว้างได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น เนื้อเพลงในอัลบั้มนี้ยังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของความเปราะบาง ความเจ็บปวด และความโดดเดี่ยว รวมไปถึงการเปิดเฉยและยอมรับเพศของตัวเอง เช่น ท่อน “I’ve been kissing white boys since 2004” จากเพลง I Ain’t Got Time! ที่หลายคนตีความว่าเป็นการ ‘come out’ กลาย ๆ

Igor: รักที่ไม่สมหวังของของชายในวิกผมบลอนด์

จุดเปลี่ยนในอาชีพของไทเลอร์มาถึงในปี 2019 เมื่ออัลบั้มเต็มเต็มชุดที่หกอย่าง Igor ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่การเป็นศิลปินกระแสหลักเต็มตัว เพลง Earfquake กลายเป็นเมกาฮิตที่พาเขาไปคว้ารางวัลอัลบั้มแรปยอดเยี่ยมจาก Grammy Awards ในปี 2020 มาครอง

แต่สิ่งที่ทำให้คนจดจำมากที่สุดคืออัลเตอร์อีโกใหม่ในชื่อ Igor ชายหนุ่มในวิกผมสีบลอนด์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหวและบอบช้ำจากรักสามเส้า โดยเรื่องราวในอัลบั้มนี้บอกเล่าเรื่องราวของการแอบหลงรักผู้ชายที่เลือกผู้หญิงอีกคนแทน ซึ่งนี่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่เขาได้เปิดเฉยเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา

Call Me If You Get Lost: นักเดินทางผู้ตามหาความหมายของชีวิต

ในปี 2021 ไทเลอร์กลับมาพร้อมบทบาท Tyler Baudelaire อัลเตอร์อีโกนักเดินทางผู้เปี่ยมรสนิยม มาพร้อมกับเสื้อผ้าสีพาสเทลสุดหรูหรา กระเป๋าเดินทาง Louis Vuitton รถคลาสสิก และนี่เองคือครั้งที่สองที่เขาสามารถคว้ารางวัลอัลบั้มแรปยอดเยี่ยมจาก Grammy Awards มาครองได้อีกครั้ง

โดยการเลือกใช้ชื่อ Baudelaire ก็น่าจะอ้างอิงมาจาก Charles Baudelaire กวีชาวฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 19 ผู้ถูกจดจำจากเขียนตัวละคร ‘นักท่องเมือง’ ผู้สังเกตการณ์หลากชีวิตในเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา อัลบั้มนี้จึงสะท้อนการเดินทางทั้งทางกายภาพและภายในจิตใจ แม้ไทเลอร์จะมีทุกอย่างแล้ว แต่ยังคงว่างเปล่าและต้องตามหาความหมายของชีวิตต่อไป

Chromakopia: แสง สี และการเผชิญหน้ากับเงาในใจ

นอกจากจะเป็นอัลบั้มที่มีงานภาพโดดเด่นจัดจ้านแล้ว อัลบั้ม Chromakopia (2024) ยังมีความน่าสนใจจากการร้อยเรียงเรื่องราวผ่านเสียงของแม่แท้ ๆ ที่เลี้ยงเขามาโดยลำพัง พร้อมการปรากฏตัวของอัลเตอร์อีโกใหม่ St. Chroma ชายผู้สวมหน้ากากและชุดทหาร เป็นทั้งผู้นำสีสันมาสู่โลก และสัญลักษณ์ของความเปราะบางที่ต้องปกปิด

เพลง Like Him ทำให้เห็นชัดเจนที่สุดว่า ไทเลอร์ยังคงถูกหลอกหลอนจากเงาของพ่อที่ไม่เคยเจอหน้า แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ค้นพบคำตอบที่ช่วยปลดล็อกปมในใจจากปากแม่ของเขา อัลบั้มนี้จึงเป็นเหมือนการสำรวจความสัมพันธ์ ความเหงา ความกลัว และการยอมรับกับปัจจุบันอย่างเข้มข้น

Don’t Tap the Glass: เต้นได้ แต่อย่าเคาะกระจก!

ปีนี้ไทเลอร์กลับมาสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหม่ด้วยการปล่อยอัลบั้ม Don’t Tap the Glass โดยคราวนี้เขามาในโหมดสนุกกับเพลงเต้นเต็มรูปแบบ และใช้อัลเตอร์อีโก Big Poe เป็นตัวแทนของความมั่นใจที่พร้อมปล่อยสเต็ปแดนซ์ให้ฟลอร์ลุกเป็นไฟ

แม้เจ้าตัวจะบอกว่า อัลบั้มนี้ไม่มีแนวคิดอะไรเป็นพิเศษ แต่ชื่ออัลบั้มก็ชวนให้แฟน ๆ นึกถึงคำเตือน “อย่าเคาะกระจก” ในอควาเรียม ที่เปรียบเหมือนชีวิตของศิลปินที่ถูกจับจ้องตลอดเวลา ซึ่งไม่ว่าความหมายที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร ไทเลอร์ก็ได้พาแฟน ๆ กลับมาสู่ความสนุกของฮิปฮอปยุคเก่าที่มีกลิ่นอายของดนตรีดิสโก้และฟังก์สไตล์ย้อนยุค

ชมเรื่องราวของ Tyler, The Creator แบบเต็ม ๆ ใน YouTube ได้ที่:

ฟังเรื่องราวของ Tyler, The Creator แบบเต็ม ๆ ใน Spotify ได้ที่: