ถ้าพูดถึง ‘เวียนนา’ เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย คำที่ทุกคนจะโพล่งออกมาเป็นคำแรกน่าจะเป็น ภาพยนตร์โรแมนติกตลอดกาล ‘Before Sunrise’ ที่ดำเนินเรื่องหลักในเวียนนา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านอกจากเนื้อเรื่องแสนอบอุ่นใจ ความงดงามของสถาปัตกรรมในเวียนนาก็ช่วยชูรสความโรแมนติกให้หนังเรื่องนี้ไม่น้อยจน ‘เวียนนา’ กลายเป็นเมืองในดวงใจของใครหลายคน
ว่ากันว่าเวียนนาคือเมืองแห่งสถาปัตยกรรมแบบบาโรกตอนปลาย จุดสตาร์ทที่สำคัญของบาโรกในเวียนนาคือการสร้างพระราชวัง Liechtenstein เมื่อปี 1694 แต่ยุคทองของ ‘บาโรกสไตล์เวียนนา’ ที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างพระรางวัง Belvedere ของเจ้าชายยูจีน จากแต่เดิมที่สถาปัตกรรมแบบบาโรกนั้นดูยิ่งใหญ่อยู่แล้ว สถาปนิกชาวเวียนนาก็ได้ปรับให้อาคารของพวกเขาดูโอ่อ่ายิ่งขึ้นไปอีก อาคารต่างๆ มักมีโค้งเว้าที่ซับซ้อน โค้งแบบหักศอกและวงรี ทั้งยังมีหลังคาลาดเอียงเชื่อมต่อกัน บางส่วนก็ใช้องค์ประกอบจากแวร์ซายและบาโรกอิตาลีเพื่อสร้างเอฟเฟกต์ใหม่
แต่นอกจากอาคารแบบบาโรก เวียนนาก็ยังประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิก สถาปัตยกรรมแบบโรโกโกเพื่อเพิ่มความหรูหราให้บาโรก สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกที่หันกลับมาสู่ความเรียบง่ายสง่างามแบบกรีกโรมัน และอาร์ตนูโวที่รุ่งเรืองในออสเตรียอย่างมาก ฯลฯ
ความโดดเด่นของบาโรกสไตล์เวียนนาและความหลากหลายของอาคารโบราณต่างๆ ที่ปะทะกับอาคารสมัยใหม่รอบข้างนี้เองที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักเมืองแห่งนี้
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/a97606a7e43c982ef9098985899669f5.jpg)
Stephanskirche
ก่อนจะกระโดดไปดูสถาปัตยกรรมรูปแบบอื่นๆ เราขอพาทุกคนไปดูสถาปัตยกรรมแบบโกธิกซึ่งเป็นยุคเก่าแก่ที่สุดในสถาปัตยกรรมของเวียนนากันที่ Stephanskirche (St. Stephen’s Cathedral) หรือมหาวิหารเซนต์สตีเฟนอันเป็นโบสถ์แม่ของอัครสังฆมณฑลโรมันคาธอลิกแห่งเวียนนาและเป็นที่ตั้งของอัครสังฆราชแห่งเวียนนาด้วย
มหาวิหารใจกลางกรุงที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1137-1160 แห่งนี้เป็นหนึ่งในอาคารสไตล์โกธิกที่สำคัญของยุโรป รูปแบบของวิหารสำคัญนี้มีโครงสร้างแบบโกธิกฮัลเลนเคียร์เช่ซึ่งมีต้นกำเนิดในเยอรมัน เอกลักษณ์คือมีการตกแต่งภายในที่คล้ายกับโถงทางเดินขนาดมหึมา โดยมีทางเดินกลางและทางเดินแยกที่มีความสูงเท่ากัน
แต่เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้หลายครั้งและการระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนผ่านการบูรณะในหลายสมัย รูปแบบของฮัลเลนเคียร์เช่นั้นจึงเหลือแต่เพียงฐานราก ประตูใหญ่ และหอคอยด้านตะวันตกเท่านั้น ส่วนหอคอยทางเหนือที่ไม่เคยสร้างเสร็จถูกปิดทับด้วยโดมแบบยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา สิ่งที่น่าทึ่งคือยอดแหลมของอาสนวิหารซึ่งสร้างเสร็จในปี 1433 ยังคงสูงเหนือเส้นขอบฟ้าของกรุงเวียนนา
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/81349fdb7cec96f06fd8479322413a6c.jpg)
Staatsoper
Staatsoper หรือโรงอุปรากรแห่งเวียนนาเป็นสถานที่จัดงานที่มีรูปแบบเลียนแบบอาคารยุคเรเนอร์ซองส์ ทั้งยอดแหลม ทางเดิน แนวเสา และรูปปั้นวีรสตรี Staatsope อาคารแห่งนี้ยังถือเป็นอาคารหลักแห่งแรกบนถนนวงแหวนเวียนนาที่สร้างขึ้นในปี 1861-1869 ที่มีที่นั่งมากถึง 1,709 ที่นั่ง
ด้านหน้าอาคารตกแต่งด้วยซุ้มประตูสไตล์เรอเนสซองส์ ด้านหน้าของระเบียงหลักมีรูปปั้นของนักขี่ม้าสองคนซึ่งเป็นตัวแทนของม้ามีปีกทั้งสองของ Erato ในบทกวี Harmony and the Muse of Poetry ที่รวบรวมบทกวีที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 17
บนซุ้มประตูเหนือเฉลียงมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ตัวแทนของวีรกรรม โศกนาฏกรรม ความแฟนตาซี ความตลก และความรัก ทางด้านขวาและด้านซ้ายของโรงอุปรากรมีน้ำพุสองแห่ง แห่งหนึ่งสื่อถึงโลกดนตรี การเต้นรำ ความปิติยินดี และความรื่นเริง แห่งทางขวาสื่อถึงการยั่วยวน ความเศร้า ความรัก และการแก้แค้น
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/710c5f74c553f7f28162b69d408e1493.jpg)
Albertina
ก่อนจะพูดถึงอาคารต่อไปนี้ เราขอพูดถึง Hofburg Imperial Palace หรือพระราชวังฮอฟบวร์กอันเป็นอดีตพระราชวังหลวงของราชวงศ์ฮับส์บูร์กซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1279 ก่อนสร้างส่วนต่อขยายออกไปหลายครั้ง ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 แต่เดิม พระราชวังแห่งนี้มีโครงร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีป้อมปราการสี่แห่ง และล้อมรอบด้วยคูน้ำที่มีสะพานชักตรงทางเข้า
ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของปราสาทในปัจจุบันนี้คือ Swiss Court ซึ่งมีโบสถ์สไตล์โกธิกตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 และคลังสมบัติต่างๆ ตั้งอยู่ ส่วนอื่นๆ ของพระราชวังที่ต่อขยายไปถูกดัดแปลงให้เป็นรูปแบบเรอเนสซองส์และบาโรกตามสมัยต่างๆ
ปัจจุบันฮอฟบวร์กเป็นที่ตั้งของหอสมุดแห่งชาติออสเตรีย พิพิธภัณฑ์อัลเบอร์ตินา พิพิธภัณฑ์กระดาษ และพิพิธภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมถึงโรงเรียนสอนขี่ม้าสเปน ทั้งปีกด้านหนึ่งของวังก็ยังเป็นสำนักงานของประธานาธิบดีออสเตรียด้วย และภาพที่เห็นอยู่นี้คือ Albertina หรือพิพิธภัณฑ์อัลเบอร์ตินาซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1776 แต่เดิมเคยเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในเมืองช่วงราชวงศ์ Habsburg และถือเป็นพระราชวังสไตล์นีโอคลาสสิกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาต้นฉบับภาพวาดที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมีภาพวาดกว่า 65,000 ภาพและภาพพิมพ์ฉบับเก่าประมาณ 1 ล้านภาพ ตลอดจนงานกราฟิก ภาพถ่าย และภาพวาดสถาปัตยกรรม ครอบคลุมตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จนถึงปัจจุบัน
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/369ee354fc167895343ba358a9aa776e.jpg)
Spanischen Hofreitschule
Spanischen Hofreitschule คือโรงเรียนสอนขี่ม้าสเปนถือเป็นสถาบันสอนขี่ม้าคลาสสิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก Spanish Riding School ตั้งอยู่ระหว่าง Michaelerplatz และ Josefsplatz ภายในส่วนของพระราชวัง Hofburg ใจกลางกรุงเวียนนา ในอดีต สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของมกุฎราชกุมารแม็กซีมีเลียน ต่อมาในปี 1889 ที่พักแห่งนี้ถูกดัดแปลงในช่วงยุคบาโรกเพื่อใช้เป็นที่ประทับของม้าของจักรพรรดิชั้นล่าง
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/fabe452ed7452e3faf5ff8116336cb5e.jpg)
Welt Museum Wien
Welt museum Wien คือพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรีย ก่อตั้งขึ้นในปี 1876 และใช่แล้ว! สถานที่แห่งนี้ก็ตั้งอยู่ในพระราชวัง Hofburg เช่นกัน แต่อยู่ในส่วนของ Heldenplatz หรือ Heros Square
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรักษาวัตถุทางชาติพันธุ์และโบราณคดีมากกว่า 400,000 ชิ้นจากเอเชีย แอฟริกา โอเชียเนีย และอเมริกา ใน 14 ห้องสำคัญ
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/40d84f748082ca398b865a31344c641c.jpg)
Palais Pallavicini
Palais Pallavicini เป็นพระราชวังในจตุรัส Josefsplatz ของตระกูล Pallavicini ซึ่งซื้อต่อจาก Count Moritz von Fries ครอบครัวธนาคารที่เคยร่ำรวย ปัจจุบันเปิดให้เช่าในโอกาสพิเศษต่างๆ อย่างการประชุม คอนเสิร์ต งานแต่งงาน และกิจกรรมอื่นๆ ทั้งยังเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Third Man ด้วย
อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1784 ในสไตล์นีโอคลาสสิกผสมผสานกับบาโรก ทั้งในและนอกอาคารนั้นมีเส้นนำสายตาที่สะท้อนทั้งความยิ่งใหญ่และความสง่างาม แต่ละห้องมีงานปูนปั้นอับนผนังและเพดาน โดยเฉพาะในห้องบอลรูมก็ยังมีผนังกระจกสไตล์บาโรกโบราณ โคมไฟระย้าคริสตัล ทั้งยังปูพื้นด้วยไม้ปาร์เก้ฝังจากไม้ราคาแพง
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/b5372f897647d83c1642e59d59441858.jpg)
Palais Eschenbach
Palais Eschenbach เป็นอาคารเก่าแก่เมื่อปี 1872 ในสไตล์คลาสสิกแบบ Palladian โดยสถาปนิก Otto Thienemann สไตล์ Palladian นี้เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปที่ได้มาจากผลงานของ Andrea Palladio สถาปนิกชาวเวนิสที่หยิบแนวคิดดเรื่องความสมมาตร มุมมอง และหลักการของสถาปัตยกรรมคลาสสิกอย่างกรีกโรมันมาปรับใช้
Palais Eschenbach ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองในเขตแรกของเวียนนา ภายในมีห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่ปูด้วยแผ่นไม้และผ้าม่าน ทั้งยังมีเพดานโค้ง ซุ้มอาร์เคด และเสาหินอ่อน
อ้างอิง :
visitingvienna
britannica
palais-pallavicini
austria
avontuura