“เพราะเราอาจใช้การดีไซน์แค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วที่เหลือล่ะคืออะไร?” คำถามชวนคิดจาก โยชิอากิ อิโรเบะ (Yoshiaki Irobe) กราฟิกดีไซเนอร์และอาร์ตไดเรกเตอร์จากญี่ปุ่น ขณะขึ้นบรรยายในงาน BORDERLESS: Design X Change ที่จัดขึ้นโดย DITP และ THACCA เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ชวนทุกคนกลับมาทบทวนว่า จริง ๆ แล้ว ‘การออกแบบต้องทำอย่างไร’
ในหัวข้อบรรยาย ‘30% Design - Design Completed through Relationship’ อิโรเบะได้เผยแนวคิดการทำงานของเขาผ่านเบื้องหลังการทำงานกับโปรเจกต์ที่หลากหลาย ทั้งการออกแบบโลโก้ Osaka Metro, National Parks of Japan (2019), Japan Pavilion, Expo 2025 รวมถึงโปรเจกต์ของบริษัทระดับโลกอย่าง Sony ที่จะช่วยสะท้อนให้เห็นว่า ความสำเร็จของแต่ละโปรเจกต์ไม่ได้เกิดจากฝีมือด้านดีไซน์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกในแง่อื่น ๆ ถึง 70% มาประกอบด้วย
ในวันนี้ GroundControl เลยขอนำสรุปบทเรียนสั้น ๆจากการฟังบรรยายในครั้งนี้มาฝากทุกคน ตามมาอ่านกันได้เลย!

📌เมื่อดีไซน์คือ 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วที่เหลือคืออะไร?
อิโรเบะเผยแนวคิดที่เขายึดถือมาตลอดว่า งานออกแบบไม่ใช่แค่การสร้างวัตถุสวย ๆ แต่คือการทำงานร่วมกับสิ่งแวดล้อม ผู้คน ประวัติศาสตร์ และบริบทโดยรอบเพื่อหลอมรวมทุกอย่างให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะดีไซน์ที่แท้จริงไม่ได้จบอยู่ที่แบบร่างหรือโลโก้ แต่มันต้องกลมกลืนกับพื้นที่นั้น ๆ และชีวิตประจำวันของผู้คน และในขณะเดียวกันมันก็ต้องโดดเด่นด้วย หลังจากนั้นถึงจะเป็นเรื่องของการดีไซน์ เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยแปลความเข้าใจทั้งหมดให้กลายเป็นรูปธรรม

📌Osaka Metro (2018) ที่ไม่ใช่แค่โลโก้แต่คือเครื่องสะท้อน ‘จิตวิญญาณของโอซาก้า’
เมื่อได้รับโจทย์ให้ออกแบบโลโก้ใหม่ให้กับ Osaka Metro อิโรเบะไม่ได้เริ่มจากการวาดรูปร่างหรือสัญลักษณ์ใด ๆ แต่เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานว่า “โอซาก้าเป็นเมืองแบบไหน?” โดยเขาพบว่าโอซาก้าเป็นเมืองที่มีมิติหลากหลาย ทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมท้องถิ่นที่เข้มแข็ง และบทบาทในฐานะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยือน
อิโรเบะจึงเริ่มต้นทำงานจากการวิจัยเชิงลึกเพื่อเข้าใจบริบทของเมืองนี้อย่างรอบด้าน ทั้งจากสถานที่จริงและการศึกษาโลโก้ของระบบรถไฟฟ้าในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ลอนดอน มอสโก และปักกิ่ง เพื่อสำรวจว่าแต่ละแห่งสื่อสารตัวตนของเมืองผ่านโลโก้อย่างไรให้ออกมากลมกลืน
และเพื่อสะท้อนความเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน อิโรเบะจึงเลือกออกแบบโลโก้ในลักษณะ 3 มิติ โดยใช้เส้นสายที่เคลื่อนที่ได้จนก่อรูปร่างเป็นตัวอักษร M ที่สื่อถึง Metro และเปลี่ยนต่อเนื่องเป็นตัว O ที่แทนถึงโอซาก้า ในแบบภาพนิ่ง จะมีการเพิ่มคำว่า ‘Osaka Metro’ ลงไป เพื่อให้ผู้โดยสารต่างชาติสามารถเข้าใจได้ทันที
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เขาคำนึงถึงคือเรื่อง ‘สี’ ของแต่ละสายรถไฟ ซึ่งมีความหลากหลาย เพื่อให้สามารถแยกแยะได้ง่าย อิโรเบะจึงออกแบบโลโก้ให้สามารถทำงานร่วมกับระบบสีของสายรถไฟต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ผู้คนเข้าใจความหมายของโลโก้มากขึ้น เขายังใช้การสื่อสารผ่านจอโทรทัศน์ในรถไฟใต้ดิน เพื่ออธิบายแนวคิดและกระตุ้นการรับรู้ในวงกว้าง

📌 โลโก้ National Parks of Japan กับความท้าทายในการรวม 36 อัตลักษณ์ให้เป็นหนึ่ง
ในปี 2019 อิโรเบะได้รับมอบหมายให้ออกแบบโลโก้ให้กับ 36 อุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่น ซึ่งกระจายตัวตั้งแต่ฮอกไกโดถึงโอกินาว่า โดยแต่ละแห่งล้วนมีภูมิทัศน์และอัตลักษณ์เฉพาะตัว คำถามคือ “จะสร้างภาพจำร่วมกันได้อย่างไร โดยไม่ทำลายความหลากหลายของแต่ละที่?”
มีหลายคนที่บอกให้เข้าใช้ภาพถูเขาไฟฟูจิ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็เลือกภาพ ‘ท้องฟ้า’ เหนืออุทยานแต่ละแห่งจากหลากหลายช่วงเวลามาเป็นตัวแทน แล้วนำมาเรียงไล่สีอย่างละเอียดจนเกิดภาพรวมที่กลมกลืนในความแตกต่าง พร้อมออกแบบฟอนต์ใหม่ที่เส้นไม่เท่ากัน สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ทั้งยังมีเวอร์ชันโมโนโทนและสีสัน เพื่อใช้งานได้ทั้งในโลกออนไลน์และพื้นที่จริงอย่างไม่ขัดตา

📌 การออกแบบออฟฟิศของ Sony PCL และ Furukawa กับการทำงานบนพื้นที่ที่ลายเซ็นชัด
โจทย์สำคัญของการออกแบบในครั้งนี้ คือการสร้างสรรค์พื้นที่ให้กับบริษัทที่มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ชัดเจนอยู่แล้ว การออกแบบจึงไม่ใช่แค่การใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป แต่ต้องฟังตัวตนของแต่ละองค์กร และสื่อสารสิ่งนั้นออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในเชิงภาพลักษณ์
Sony PCL คือบริษัทที่ทำงานด้านการผลิตสื่อดิจิทัลที่หลากหลาย ตั้งแต่ภาพ เสียง ไปจนถึงสื่อผสมรูปแบบใหม่ อิโรเบะจึงตั้งใจให้ออฟฟิศนี้เป็นเหมือนเวิร์กสเปซที่สื่อถึง ‘กระบวนการสร้าง’ ที่ยังไม่สมบูรณ์แต่เต็มไปด้วยพลัง เช่น การโชว์สายไฟเปลือยที่ปกติจะซ่อนไว้ การเลือกใช้สีส้มเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
ในขณะที่ Furukawa เป็นบริษัทที่ออกแบบไลน์ผลิตรถยนต์ ซึ่งงานของพวกเขามักเป็นความลับทางอุตสาหกรรม ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ชัดเจน แต่ก็ยังต้องการให้ผู้คนเข้าใจภาพรวมของสิ่งที่ทำ อิโรเบะจึงเลือกใช้ “แอนิเมชัน” เป็นเครื่องมือในการอธิบายเบื้องหลังที่มองไม่เห็น พร้อมกับออกแบบพื้นที่ให้มีความ ‘ไหลลื่น’ ระหว่างภายนอกกับภายในโดยใช้โครงสร้างกริด (Grid System) เป็นแกนหลัก ซึ่งถ้าใครได้ไปเยือนที่นี่ก็จะเห็นว่าที่พื้นลานจอดรถไปจนถึงด้านในอาคาร จะมีลักษณะต่อเนื่องกันไม่แยกด้านนอกและด้านในเลย

📌เบื้องหลังการออกแบบ Japan Pavilion, Expo 2025 เมื่อการดีไซน์และการสื่อสารคือเรื่องเดียวกัน
หนึ่งในผลงานล่าสุดที่ท้าทายและมีความหมายอย่างยิ่งของอิโรเบะ คือการออกแบบ Japan Pavilion ในงาน Expo 2025 ที่โอซาก้า ซึ่งเป็นงานระดับนานาชาติที่ทั่วโลกจับตา โดยธีมหลักของงานคือ ‘วัฏจักร’ (Cycle) ที่ว่าด้วยการหมุนเวียนของชีวิต ทรัพยากร และความรู้สึกเชื่อมโยงกันระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
อิโรเบะเริ่มต้นจากการตั้งคำถามพื้นฐานว่า “อะไรคือตัวแทนของวัฏจักรในระดับเล็กที่สุด?” คำตอบที่เขาพบคือ ‘เซลล์’ หน่วยพื้นฐานของชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เซลล์คือจุดเริ่มต้นของการเติบโต การเปลี่ยนแปลง และการส่งต่อ เขาจึงใช้เซลล์เป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างกราฟิก โลโก้ ไปจนถึงแนวคิดเชิงสถาปัตยกรรมของทั้งศาลา โดยให้เซลล์เป็นจุดตั้งต้นที่สามารถขยายและแตกแขนงออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด
เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดเขาเลยนำโปรแกรม Generator เข้ามาช่วยออกแบบลวดลายและแพทเทิร์นต่าง ๆ ให้มีความพลิ้วไหวและแตกตัวให้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้แบบอินฟินิตี้ ทำให้ศาลาญี่ปุ่นกลายเป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง เป็นภาพแทนของญี่ปุ่นที่เคลื่อนไหวไปพร้อมกับโลก
อิโรเบะเชื่อว่าการดีไซน์คือเครื่องมือของการสื่อสาร และไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในวันเปิดงานเท่านั้น เขาจึงริเริ่มแนวคิดการจัดทำวารสารรายเดือนบนเว็บไซต์ของ Japan Pavilion เพื่อสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับศาลาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนงานจะเริ่มต้น เพื่อให้ผู้คนค่อย ๆ คุ้นเคยกับภาพลักษณ์ของศาลาไปพร้อมกับการรับรู้ข้อมูลที่สำคัญ
การทำงวารสารรายเดือนเป็นเรื่องท้าทาย เพราะต้องอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ข้อมูลทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดจากรัฐบาล เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งอิโรเบะได้บอกว่า การสื่อสารกับทีมทุกฝ่ายด้วยความเข้าใจ ก็เป็นสิ่งที่คนทำงานดีไซน์ต้องทำเช่นเดียวกัน สุดท้าย ความพยายามนี้ไม่เพียงช่วยให้ภาพลักษณ์ของศาลาญี่ปุ่นถูกสื่อสารออกไปอย่างมีทิศทาง แต่ยังทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลของงานได้ง่ายขึ้น ผ่านรูปแบบที่เป็นมิตร เข้าใจง่าย และน่าจดจำ
จะเห็นได้เลยว่า สำหรับอิโรเบะ การออกแบบไม่ใช่แค่การสร้างสิ่งใหม่ให้สวยงาม แต่คือการเชื่อมโยงสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่ผู้คน พื้นที่ ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงความรู้สึก ให้กลายเป็นสิ่งที่ ‘มีความหมาย’ และ ‘กลมกลืน’ ในชีวิตประจำวัน และทั้งหมดนี้ก็คือเหตุผลที่เขาเชื่อมั่นว่า Design is only 30%. The rest is relationship. นั่นเอง
เครดิตภาพประกอบ: Irobe Design Institute , ทีม BORDERLESS: Design X Change และ Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan Official Website