เหมือนกับ ดนตรี กำลังหมุนวนไปรอบ ๆ ตัวผม
ผ่านสิ่งที่เรียกว่า จังหวะ
เพลง หนังสือ และหนัง สามสิ่งที่ดูจะเป็น ‘คนละเรื่อง-เดียวกัน’ เชื่อมต่อกันผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘จังหวะ’ ได้อย่างน่าสนใจ และจังหวะซี่งถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นธรรมชาตินี้ คือจุดร่วมที่ ฮารุกิ มุราคามิ (Haruki Murakami) นักเขียนในดวงใจของใครหลายคน, รยูสึเกะ ฮามากุจิ (Ryusuke Hamaguchi) ผู้กำกับมือทองที่การันตีด้วยรางวัลมากมาย และศิลปินหญิงสายทดลอง เออิโกะ อิชิบาชิ (Eiko Ishibashi) มีเหมือน ๆ กัน ซึ่งสิ่งนี้พวกเขาเรียกว่า ‘Jazz’
แจ๊ส (Jazz) มีความหมายไม่ตายตัว แต่มักเป็นจังหวะของเสียงที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติและมั่นคงในเวลาเดียวกัน มุราคามิอธิบายว่า นวนิยายเป็นการจัดเรียงทำนองของคำให้ลงล็อกกับจังหวะ เมื่อตัวละครดำดิ่งสู่ความรู้สึกที่ลึกลงไป นั่นหมายความว่า ‘เสียงสะท้อน’ จากหน้ากระดาษ สนับสนุนเป็นหนึ่งเดียวกับเรื่องเล่า และเมื่อทั้งหมดถูกจัดวางอย่างลงตัว ขั้นตอนสุดท้ายคือการเผยแพร่สู่กระแสผู้อ่าน ให้เรื่องเล่าเดินไปอย่างอิสระผ่านประสบการณ์ส่วนตัวจากเจ้าของหนังสือ วิธีนี้เป็นแบบเดียวกับที่ฮามากุจิใช้ในภาพยนตร์ของเขาเช่นกัน เพราะจังหวะของเรื่องเล่าที่ถูกถ่ายทอดผ่านบทภาพยนตร์อย่างไล่เรียงตามเวลาโดยไม่พยายามเพิ่มเอ็ฟเฟ็กต์ปลุกเร้าอารมณ์ ทำให้ภาพยนตร์ของเขามีภาษาสากล และแตะลึกถึงความรู้สึกภายในผู้ชมไม่ต่างจากตัวละครในเรื่อง สิ่งนี้นำมาสู่เพลงประกอบภาพยนตร์โดยอิชิบาชิ ที่นำเอาธรรมชาติของหนังมาเปลี่ยนเป็นท่วงทำนอง ทำงานร่วมกับตัวภาพยนตร์อย่างลงตัว
จะมีอะไรดีไปกว่าเพลงแจ๊สเบา ๆ ในยามค่ำคืน ..
เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าสกอร์เพลงอันโดดเด่นนี้ เกิดขึ้นจากศิลปินหญิงอย่าง เออิโกะ อิชิบาชิ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะความสามารถของเธอ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้ว!
ก่อนจะมาทำงานร่วมกับฮามากุจิใน Drive My Car เออิโกะ อิชิบาชิ คือศิลปินที่มักทดลองแนวดนตรีของเธอโดยผสานธีมของเพลง เข้ากับเปียโน ฟลุต มาริมบา กลอง และเครื่องสังเคราะห์เสียง Synthesizer เกิดเป็นเพลงที่ต่างกันออกไปตามจุดประสงค์ของงาน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีประกอบละครเวที ภาพยนตร์ หรือดนตรีสด เธอเคยฝากผลงานเด่น ๆ ไว้ นั่นคือ The Dream My Bones Dream (2018) ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวส่วนตัว การเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์ในฐานะที่เป็นชาวแมนจูเรีย (Manchuria) เริ่มจากรูปถ่ายเก่า ๆ ของคนในครอบครัว เวลาที่อิชิบาชินึกถึงอดีตซึ่งถูกหลงลืมไป เสียงรถไฟในเพลงของเธอก็ได้เชื่อมโยงวันวานเข้ากับปัจจุบันและอนาคตอีกครั้ง เธออธิบายว่า ทั้งหมดนี้นำไปสู่จุดหมายปลายทาง คือเสียงของสายน้ำในยุคหน้า
แน่นอนว่าเสียงแอมเบียนส์ที่แทรกเข้ามาในเพลงประกอบของ Drive My Car ทำหน้าที่เล่าเรื่องในทางใดทางหนึ่งไม่ต่างจากเพลงที่ผ่านมาของอิชิบาชิ นำมาสู่ธีมของเรื่องเล่าผ่านตัวโน๊ตในเพลย์ลิสต์เพลงประกอบภาพยนตร์ ที่เจาะจงตามตัวละครแต่ละครคน ซึ่งนอกจากเพลงจะทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวของตัวละครแล้ว สิ่งนี้ยังช่วยให้เราไม่ลืมว่าตัวละครเหล่านั้นมีตัวตนอยู่ .. และใช่ เราหลงใหลไปกับท่วงทำนองเหล่านี้ เหมือนสิ่งที่กำลังได้ยิน แทรกซึมเข้ามาในตัวเราอย่างช้า ๆ หากไม่ทำให้เราสะบัดความรู้สึกบางอย่างไปได้ ก็อาจพาเราดำดิ่งลึกลงไปจนค้นเจอตัวเองในอีกที่หนึ่ง
ฟังเพลงประกอบเพราะ ๆ จาก Drive My Car ได้ใน Spotify
ติดตามผลงานของ Eiko Ishibashi ได้ที่ eikoishibashi.net
อ้างอิง
Haruki Murakami’s Passion for Jazz: Discover the Novelist’s Jazz Playlist, Jazz Essay & Jazz Bar
Eiko Ishibashi announces debut album for Black Truffle, Hyakki Yagyo