ผีใช้ได้ค่ะ ใช้ได้ไหมคะ? คุยกับ อุ้ย - รัชฏ์ภูมิ และ โมสต์ - วิศรุต เรื่องความผี ความเควียร์ และประวัติศาสตร์ในภาพยนตร์

Post on 26 June 2025

ในโลกที่คุณค่าของชีวิตถูกกำหนดจากประโยชน์ที่เราสร้างได้ ไม่ว่าจะเพื่อชาติ ครอบครัว หรือบริษัท ความกดดันนี้ไม่เพียงตกอยู่กับมนุษย์เท่านั้น เพราะแม้แต่วิญญาณ…ก็ต้อง “เป็นประโยชน์” ได้เช่นกัน

นี่คือแก่นเรื่องของภาพยนตร์ไทย ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ (แนะนำให้อ่านชื่อเรื่องด้วยน้ำเสียงมีจริตเล็ก ๆ) หรือ A Useful Ghost ที่เพิ่งคว้ารางวัลใหญ่ AMI Paris Grand Prize จากสายประกวด Critics’ Week ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ปี 2025
.
ภาพยนตร์เล่าเรื่องของ “แนท” (รับบทโดย ใหม่ – ดาวิกา โฮร์เน่) วิญญาณที่สิงอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น และต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเธอมีคุณค่าต่อบ้านของ “มาร์ช” (รับบทโดย โมสต์ – วิศรุต หิมรัตน์) สามีผู้ยังมีชีวิตอยู่ โดยภารกิจของเธอคือการจัดการกับวิญญาณอื่น ๆ ที่มารบกวนโรงงานของแม่เขา

เมื่อแม้แต่ผีก็ต้องทำงานให้เกิดประโยชน์ คำถามสำคัญจึงตามมาว่า…ในโลกนี้ ยังมีใครที่ “ไม่มีหน้าที่” เหลืออยู่บ้างไหม?

“ขออุทิศรางวัลนี้แด่ผีทั้งหลายในประเทศไทย ทั้งผีที่มีประโยชน์ และผีที่ไม่มีประโยชน์” คำพูดของ อุ้ย – รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ ขณะขึ้นรับรางวัล AMI Paris Grand Prize ที่เมืองคานส์ สะท้อนชัดถึงแนวคิดหลักของหนังและจุดยืนของผู้สร้าง

รัชฏ์ภูมิคือผู้กำกับที่มองภาพยนตร์ไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่อง แต่เป็นการ “ส่อง” องค์ประกอบเล็ก ๆ อย่างละเอียด เพื่อแกะรอยความหมาย การเมือง และร่องรอยประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ในงาน ก่อนจะหยิบมันมาเล่นตลก วิพากษ์ และตั้งคำถามกับสังคมในลีลาของตัวเอง

ที่ผ่านมา เขาเคยใช้ประวัติศาสตร์มาเล่นกับภาพยนตร์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร เช่น “แหม่มแอนนา หัวนม มาคารอง โพนยางคำ และการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ที่พาบุคคลสำคัญจากยุคเปลี่ยนผ่านสู่สมัยใหม่ของสยาม มาตั้งคำถามถึงภาวะอาณานิคมแฝงในสังคมไทยไทย หรือ “มะนีจันเปล่งเสียงไม่ได้ในทวิภูมิทางภาษาของคุณ” ที่ใช้ลีลาภาษาภาพยนตร์แบบทดลอง มาทำให้ตัวละครในประวัติศาสตร์เจอข้อจำกัดของภาษาและการสื่อสาร

ใน ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ เขายังคงความสนใจต่อประวัติศาสตร์และสังคมไว้เช่นเดิม แต่คราวนี้เลือก “ผี” เป็นตัวกลางในการเล่าเรื่อง ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าผีมีจริงหรือไม่ หรือเชื่อถือได้แค่ไหน แต่ใช้ “ผี” เป็นองค์ประกอบที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้เล่าเรื่องราวซับซ้อนของความทรงจำ การเมือง และการกดทับในระดับต่าง ๆ

GroundControl จึงชวน อุ้ย – รัชฏ์ภูมิ และ โมสต์ – วิศรุต นักแสดงนำของเรื่อง มาพูดคุยกันหลังกลับจากคานส์ ในประเด็นตั้งแต่ “การมีประโยชน์” สำหรับพวกเขาหมายถึงอะไร? ไปจนถึงว่า พวกเขาใช้ความเป็น “ผี” มาพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่? พร้อมแนบ ลิสต์หนังสือและภาพยนตร์ ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานในเรื่องนี้ เผื่อใครจะตามอ่านตามดูได้ระหว่างรอให้ ผีใช้ได้ค่ะ เข้าฉายในประเทศไทย

ทำไมเป็นผีก็ยังต้องมีประโยชน์: ‘พี่มาก..พระโขนง’ และ ‘ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์’

แค่ได้ยินชื่อ “แน็ต” กับ “มาร์ช” และเรื่องราวความรักระหว่างคนกับผีใน ผีใช้ได้ค่ะ หลายคนคงพอเดาได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้หยิบเอาตำนานรักอมตะ แม่นากพระโขนง มาเล่าใหม่อีกครั้ง แต่เป็นการเล่าที่พลิกแพลงเสียจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม

ที่น่าสนใจคือ ผู้รับบท “แน็ต” ผีสาวในเรื่อง ก็คือ ใหม่ - ดาวิกา โฮร์เน่ ซึ่งเคยรับบทแม่นากในภาพยนตร์ พี่มาก…พระโขนง (2013) ที่ประสบความสำเร็จถล่มทลายในยุคนั้น การกลับมารับบท “ผี” อีกครั้งของเธอในบริบทที่ต่างออกไป จึงเหมือนเป็นการพา “แม่นาก” เวอร์ชันเดิม มาย้อนมองตัวเองในโลกใหม่ที่ไม่โรแมนติกเท่าเดิม แต่เต็มไปด้วยระบบการจัดการ คุณประโยชน์ และหน้าที่ที่ทุกคน ทุกตน ต้องแบกรับ

ผู้กำกับของเรื่องอย่างรัชฏ์ภูมิก็ยอมรับว่าประเด็นสำคัญที่เขาอยาก “ขยี้” ในหนังเรื่องนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจาก พี่มาก…พระโขนง โดยเฉพาะการตั้งคำถามว่า ในยุคที่ “ผี” ก็ต้องมีหน้าที่ มี productivity และทำตัวให้ “ใช้ได้” เพื่อหาคำตอบว่า ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขแบบแม่นากในอดีต ยังมีพื้นที่ให้ยืนอยู่ไหม? หรือจะถูกกลืนหายไปกับระบบที่ทุกสิ่งต้องมีประโยชน์เท่านั้นจึงจะมีคุณค่า

“ช่วงท้าย ๆ หนังเรื่อง ‘พี่มาก..พระโขนง’ เราว่ามันดีมากเลย เพราะถ้าตามขนบแล้ว นากกับมากเขาต้องพลัดพรากจากกัน แต่ในเรื่องนั้นมันเหมือนกลับอยู่ด้วยกันได้ แล้วเจ้าอาวาสก็รับรองด้วย“ รัชฏ์ภูมิอธิบาย

“ช่วงท้ายเรื่องจะมีฉากที่แม่นากใช้ความสามารถยืดแขนช่วยซ่อมหลังคาวัด ในขณะที่ชาวบ้านก็ออกมาประท้วงเพราะรับไม่ได้ แต่การประท้วงของชาวบ้านก็ไม่เป็นผลเพราะเจ้าอาวาสเองก็โอเคที่จะให้นากอยู่ ชาวบ้านก็ทำอะไรไม่ได้ เรารู้สึกว่าซีนนี้น่าสนใจเพราะมันมีแก่นอะไรที่เรารู้สึกไทยมาก ๆ อยู่ คือต่อให้เราต่ำต้อยเป็นผีตายท้องกลม แต่ถ้าเราคบหาคนถูก หรือมีเครือข่ายถูกคน ในที่นี้คือเจ้าอาวาส คุณก็มีที่ทางในสังคม คุณแค่ทำงานแลกซึ่งในกรณีนี้คือการช่วบบำรุงวัดทนุบำรุงศาสนา”

“มันมีหนังสือเรื่อง ‘ผีอาลัยรักและพระนักเวทย์: สมเด็จโตกับนางนากและการนับถือพระพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่’ ที่เขามองความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับผี ว่าพระก็ต้องการผีเพื่อจะมาไล่ เพื่อสร้างบารมี เหมือนมารไม่มี บารมีไม่เกิด”

จากไอเดียนั้นก็นำมาสู่เรื่องความ “ใช้ได้” หรือ Useful ของผี ที่ต้องมีประโยชน์ในตัวด้วยไม่แพ้คน ซึ่งก็ผ่านการรีเสิร์ชมามากเหมือนกันกว่าจะเป็นผีเครื่องดูดฝุ่นแบบที่เราเห็นกัน โดยที่เขารีเสิร์ชเรื่องผีผ่านสายตาแบบคนทำหนัง

“จริง ๆ ภาพแรก ๆ ที่เราอยากเห็นในหนัง คือภาพผีเดินอยู่ในออฟฟิศ ทำงานอยู่ ไม่ได้มาหลอกด้วย เพราะเราอยู่ในโลกยุคที่ทุกคนต้องหางานหาเงิน ถ้าไม่ทำงานหาเงินก็จะกลายเป็น Useless Ghost เพราะผีส่วนใหญ่มันน่าจะไม่ได้มีฟังก์ชันอะไรกับคน เราเลยได้ชื่อภาษาอังกฤษก่อนคือ A Useful Ghost — ชอบที่มันดูเป็นคำที่ฟังดูไม่เข้ากันแต่จับมาอยู่ด้วยกันแล้วแปลก ๆ ดี แต่เรายังไม่ได้ตั้งชื่อไทย จนไปคุยกับลูกศิษย์แล้วลูกศิษย์ก็เหมือนแปลชื่อออกมาเลยตรงตัวว่า ผีใช้ได้ แล้วเราก็รู้สึกมันกวนตีนดี แต่ยังกวนตีนได้อีกเลยเติม “ค่ะ” ลงไป เป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’

“เราไม่ชอบความคูลอะ ตอนทำหนังเราก็บรีฟแค่ว่าไม่อยากให้มันดูคูลเกินไปหรือดูเท่เกินไป แต่ว่ามันก็ก้ำกึ่งนะ เพราะเวลาต้องมาขายหนังอะไรอย่างนี้มันก็ต้องเท่บ้าง แต่ว่าโดยทั่วไปแล้วเราสนใจความ silly — ความไม่จริงจังแต่ก็จริงจัง เพราะจริง ๆ หนังมันก็พูดถึงอะไรที่ใหญ่เหมือนกัน แต่มาในท่าทีที่ดูไร้สาระ

“ตอนแรกเราไม่ได้เห็นภาพผีชัด เราแค่โฟกัสเนื้อเรื่องก่อน แต่ไม่ได้ออกแบบว่าผีจะหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วเวลาไปคุยกับคนอื่น นักลงทุนในเทศกาลต่าง ๆ หรือคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานเรา เขาก็จะถามว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร ต่างจากผีในเรื่องอื่น ๆ อย่างไร เราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ผู้หญิงเฉย ๆ เลยก็ได้ แล้วแต่งหน้าเหมือนกับการ์ตูนผี ให้ผิวเทาหรือผิวเขียวมีแผลอะไรพวกนั้น แต่มันก็ยังไม่ว้าว แล้วพอรีเสิร์ชต่อไปก็พบว่าตามประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มันมี การนำเสนอผีในหนังมันมีความหลากหลายมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คน เกือบจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ในหนังบางเรื่องเราไม่เห็นผีแต่เราได้ยินเสียง อาจจะมองไม่เห็นแต่ได้ยินเสียง หรือผีบางตัวไม่มีเท้า บางตัวลอยตัวได้ แต่มันจะมีผีตระกูลหนึ่ง จากหนังอเมริกันยุค 80 คือไม่มีตัว แต่จะพยายามสื่อสารกับคนในบ้านด้วยการขยับเครื่องใช้ไฟฟ้า เปิดปิดทีวีเอง เปิดหน้าต่างหรือก๊อกน้ำ ขยับโต๊ะ แล้วประจวบกับช่วงที่ทำมันมีวิกฤตฝุ่นในเมืองไทยที่มันเยอะมาก มันก็เชื่อมโยงกันได้ แล้วเครื่องดูดฝุ่นมันก็เคลื่อนไหวได้ ไม่เหมือนตู้เย็นหรือเครื่องซักผ้ามันก็เคลื่อนไหวได้แต่อาจจะลำบากกว่า แต่เครื่องดูดฝุ่นมันมีล้อด้วย อย่างน้อยมันคงได้ขยับแน่ในการถ่าย และมันสื่อไปถึงวิกฤติฝุ่นที่มีในประเทศไทยได้ด้วย”

“แล้วพอผีมาเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า มันเหมือนกับว่าผีถูกลดทอนให้เหลือแค่ฟังก์ชันการทำงานเท่านั้นเลย คืออาจจะต้องซักผ้า ดูดฝุ่น หรือเก็บอาหาร แล้วมันยิ่งมีมิติของการไม่ใช่คน เป็นแค่แรงงานด้วย”

ด้านวิศรุตผู้รับบที่ต้องใกล้ชิดกับผีที่สุดก็เผยมุมมองว่า “ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองแสดงหนังผีอยู่เลย อาจจะเป็นเพราะความโกรธของมัน หรือความตลกร้าย ผมมองแกนนี้เป็นหลัก แล้วก็ด้วยตัวละครเองด้วย ภายในโลกของหนังนี้ ที่มันไม่ได้มองผีแบบผีหนังผีทั่วไป

“ผมไม่ค่อยดูหนังผีเท่าไร แต่คิดว่าผีมีอิทธิพลกับคนไทยมาก ๆ และคิดว่ามันก็คงไม่ได้หายไปไหน มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากเลย ความเป็นผีสำหรับคนไทย เช่นถ้าเขามาเข้าฝันเราก็ตีความแล้วว่ามันหมายถึงเลขอะไรได้บ้าง

“บางทีเราก็รู้สึกว่าเราทำไม่โอเค ไม่ได้เรื่องเลยเหมือนกันในชีวิตจริง ในเรื่องมันก็มีภารกิจเฉพาะส่วนตัวของเขาบางอย่างที่ต้องทำ แล้วถ้าไม่ได้ทำก็ทำให้เขารู้สึกผิด รู้สึกใช้ไม่ได้ด้วย”

เป็นผีทำอะไรได้บ้าง?: ‘Train to Busan’ ‘Warm Bodies’ และ ‘The Palace of Dreams’

“เราอยากสำรวจว่าผีที่ไม่ได้มาหลอก แล้วมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบอื่น ๆ ในหนัง แบบอื่น มีรูปลักษณ์แบบอื่น มันจะนำไปสู่การสำรวจประเด็นอะไรได้อีก” รัชฏ์ภูมิบอก ซึ่งชวนให้เราสงสัยต่อว่า ตกลงแล้วเราควรเรียกหนังที่มีผีแต่เนื้อเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้ว่าเป็นหนังผีได้ไหม?

“ในเชิงวิชาการมันอาจจะแบ่งตระกูลหนัง (genre) เป็นเกณฑ์ได้ว่าแต่ละตระกูลมันมีองค์ประกอบ (iconography) อะไรอยู่ในนั้นบ้าง แล้วความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านั้นในหนังเป็นอย่างไร เช่น ในหนังอย่าง ‘Train to Busan’ และ ‘Warm Bodies’ ต่างก็เป็นหนังที่มีซอมบี้เหมือนกัน แต่ใน Warm Bodies ความสัมพันธ์ระหว่างซอมบี้กับคนมันคือเรื่องความรัก เลยทำให้มันเป็นหนังตระกูลเดียวกับ ‘Twilight’ หรือ ‘The Shape of Water’ มากกว่า คือหนังตระกูลคนรักกับ อมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่า ‘Train to Busan’ จะมีซอมบี้เหมือนกันแต่ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ในหนังมันไม่เหมือนกันเลย

“เราก็เลยรู้สึกว่าจะเรียกผีใช้ได้ค่ะเป็นหนังผีก็ได้เพราะมันมีผี แต่ผีของมันอาจจะไม่ได้เป็นผีแบบเดียวกับแม่นากเวอร์ชั่นก่อน ๆ หรือผีแบบตั้งใจมาหลอก เพราะเราอยากสำรวจมันมากกว่าว่าถ้าผีไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์นั้นแล้วจะเป็นอะไรได้บ้าง”

“มันมีความเหนือจริง แต่ก็เป็นเหนือจริงในเชิงน้อยกว่าที่เป็นจริงด้วย คือเหมือนเจอผีแล้วมันรีแอคกันน้อยกว่าที่ควรเป็น ตอนแรกเราคิดว่าทุกคนจะแสดงแบบเดียวกัน เป็นเอกภาพ แต่พอถ่ายจริงเรารู้สึกว่ามันไม่ได้ สำหรับโมสต์ เพราะว่าไอ้นี่มันเป็นตัวละครที่รู้สึกเยอะ เหมือนในโลกที่มันจะกีดกันคนกับผีให้ได้ ตัวละครนี้มันต้องแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวด รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มาก กับโมสต์เลยจะเป็นการแสดงอีกแบบหนึ่ง แต่อย่างใหม่การแสดงจะน้อยลงมาอีกนิด เป็นอีกแบบหนึ่ง หรือแบบพี่อุ๋มผมอยากให้ตัดอารมณ์ออกให้หมดเลย คือไปเห็นคนช่วยตัวเองอะไรแบบนี้แต่รีแอคเบามากเหมือนดูสารคดีสัตว์โลก” รัชฏ์ภูมิตอบ เมื่อเราถามเขาถึงเซนส์ความตลกที่มักพบในผลงานของเขา

“เรื่องการเมือง สังคม ประวัติศาสตร์มันค่อนข้างจะไทยแล้วเราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้เลือกจะแบประเทศไทยออกไปให้ฝรั่งดูด้วย อาจจะเป็นความเสียเปรียบในเรื่องของประเทศพวกนี้ คือเราเองถ้าไปดูหนังโรมาเนียเกี่ยวกับการเมืองในยุค 50 เราก็อาจจะไม่เข้าใจบริบทของเขา แต่เขาจำเป็นต้องทำให้คนข้างนอกเข้าใจขนาดนั้นไหม ถ้าคนดูของเขาคือคนในประเทศตัวเองมันก็อาจจะไม่จำเป็น แต่ถ้าหนังมันมีฟอร์ม มีองค์ประกอบทั้งหมดประคับประคองมันก็ดูสนุกได้ อย่างตอนคานส์เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะเข้าใจอารมณ์ขันกันบ้างไหม คนดูจะรู้เรื่องไหม จะหลุดไหม แต่สุดท้ายเราก็รู้สึกว่าถ้าเทศกาลเลือกไป อย่างน้อยมันก็คงมีคนดูที่พร้อม หรือหนังมันมีคุณภาพพอที่จะฉายแบบนานาชาติได้”

ซึ่งการสำรวจว่าผีจะเป็นอะไรได้บ้างในภาพยนตร์ของเขา ก็นำไปสู่การใช้งานผีอย่างเต็มความสามารถที่มนุษย์ทำไม่ได้ โดยตัวละครในภาพยนตร์นั้นเอง

“ช่วงที่เขียนเรื่องนี้มันก็ยังอยู่ในยุคประยุทธ์ที่มีการจับคนเห็นต่าง แล้วเราเห็นการใช้หลักฐานเป็นแชทอย่างในเฟสบุ๊คหรือในไลน์ซึ่งมันเป็นส่วนตัวมาก ๆ มันเป็นการละเมิดอะไรบางอย่าง และเราได้แรงบันดาลใจจากนิยาย ‘The Palace of Dreams’ โดย อิสมาอิล คาแดเร (Ismail Kadare) ซึ่งในเรื่องจะมีกระทรวงความฝัน ทุกเช้าเวลาคนตื่นนอนมาต้องแวะไปหาเจ้าหน้าที่ความฝันแล้วเล่าว่าเมื่อคืนฝันอะไร แล้วที่สำนักงานศูนย์กลางก็จะมีคนมาคอยอ่านแล้ววิเคราะห์ความฝันของประชากรที่ส่งมาแต่ละวันว่าใครมีแนวโน้มจะเป็นกบฎ จากในหนังสือมันทำให้เรารู้สึกว่าความฝันมันไม่ใช่สมบัติส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว ประจวบกับในวัฒนธรรมไทยก็มีเรื่องผีที่ชอบมาเข้าฝันเรา เป็นพ่อแม่หรือญาติที่เสียชีวิตไป แล้วพอตัวละครในเรื่องเรารู้ว่าผีเข้าฝันได้ มันก็เลยนำไปสู่การให้ผีเข้าฝันไปดูคนที่เป็นผู้ต้องสงสัยหน่อยว่าเขายังจำเหตุการณ์อะไรที่รัฐไม่อยากให้จำไหม”

ผีในแง่นี้ จึงเป็นจุดรวมของแนวคิดเรื่องการใช้ประโยชน์สูงสุดและการจัดการความทรงจำและประวัติศาสตร์การเมืองพร้อม ๆ กัน

“เราว่าหนังตะวันตกเขาไม่ค่อยใช้ฟิกเกอร์ผีเยอะ หมายถึงเขาก็มีหนังผีอะไรของเขาแหละ แต่เขาอาจจะไม่ได้ใช้ผีเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์ในแบบเดียวกับหนังของเรา สมมติเช่นประเด็นอาณานิคม ฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมที่ใหญ่มาก แล้วจะมีชาวแอลจีเรียหรือชาวแอฟริกาตะวันตกจำนวนมากที่เข้ามาอยู่ในฝรั่งเศส เราก็จะเห็นหนังของ มิคาเอล ฮาเนเก ( Michael Haneke) เช่นเรื่อง Hidden ที่พูดเรื่องผลตกค้างของอาณานิคมฝรั่งเศสที่มีต่อแอลจีเรีย เขาก็ไม่ได้ใช้ผี แต่ใช้เครื่องมืออย่างอื่น ในหนังคือเทปวิดีโอลึกลับ หนังมันเริ่มมาที่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่บ้าน และมีวิดีโอมาส่งที่บ้าน เป็นวิดีโอที่แอบถ่ายเขาในชีวิตประจำวัน และนั่นทำให้เขาก็ต้องกลับไปคิดว่าเคยมีศัตรูอะไรไหม แล้วก็นึกได้ว่าเคยไปบุลลี่เด็กแอลจีเรีย คือความสัมพันธ์ของฝรั่งเศสกับชาติใต้อาณานิคมมันไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาเป็นผีกลับมาหลอกคน แม้ว่าอดีตเจ้าอาณานิคมยังคงหลอกหลอนสังคมฝรั่งเศสอยู่เหมือนเป็นผี แม้ว่าเขาก็พูดถึงอดีตที่ไม่ยอมจากไปเหมือนกับผี แต่จะใช้ในรูปแบบคนลึกลับที่มาหลอกหลอนมากกว่า” ผู้กำกับบอก

“ท้ายที่สุดคนที่ชอบก็จะมีที่เดินมาบอกเรา แต่ถ้าเขาไม่ชอบก็อาจจะไปเขียนรีวิวเอง ซึ่งเวลาเราอ่านก็จะเห็นสิ่งที่เขาไม่ชอบเหมือนกัน ซึ่งบางเรื่องก็ไม่ได้แปลกใจขนาดนั้น เช่นว่าทำไมต้องเล่าเรื่องการเมืองนะ ฉันสนใจแค่ประเด็นความรักระหว่างคนกับเครื่องดูดฝุ่น แต่นั่นคือหัวใจของมันเลย คือการบอกว่าอย่าลืมผีในประวัติศาสตร์ แต่ก็มีคนที่เข้าใจ ว่าทำไมหนังมันเริ่มจากจุดหนึ่งแล้วไปโผล่ที่อีกจุด แต่เราจะชอบบอกว่าการทำหนังมันเหมือนการทำซุปเปอร์มาร์เก็ต — คุณเข็นรถเข้าไปอาจจะได้ซื้อไข่ซื้อผงซักฟอกแล้วก็กลับ คุณไม่ต้องซื้อของทุกชิ้นในนั้นก็ได้ — คนดูไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่างเพื่อที่จะสนุกไปกับหนัง แต่ตัวหนังมันต้องมีของเยอะมากพอจะให้คนดูเข้าไปเลือกหยิบของ 4-5 อย่างมาแล้วก็โอเคได้ ไม่ใช่คนดูเข้าไปแล้วไม่มีอะไรให้หยิบไปเลย ซึ่งคนต่างชาติก็อาจจะเลือกหยิบอารมณ์ขัน หยิบเรื่องความทรงจำเข้าไป เขาอาจจะไม่ได้ชอบในส่วนของประวัติศาสตร์ไทยขนาดนั้น แต่ชอบในการพยายามของคนที่ถูกลืม ที่จะถูกจำให้ได้ ก็แปลว่าเขาปรับได้ ว่าในสังคมเขาก็มีเรื่องคล้าย ๆ กัน เรื่องคนในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำให้ลืม มันไม่ต้องเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในประเทศไทยตรง ๆ ก็ได้ เพราะในสังคมของเขาก็อาจจะมีคนแบบนั้นอยู่แล้ว ถึงเขาไม่รู้เรื่องเมืองไทยแต่มันประยุกต์ได้”

ประวัติศาสตร์หนังไทยที่หาไม่ค่อยเจอ: ‘สตรีที่โลกลืม’

หนึ่งในเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ของรัชฏ์ภูมิ คือการใช้วัฒนธรรมร่วมสมัยหรือวัฒนธรรมจากอดีต แต่คลังวัฒนธรรมเหล่านั้นของเขามาจากไหนกัน?

“หนังไทยจริง ๆ แล้วมีประวัติศาสตร์ของเรา คือทำกันมานาน แต่ไม่ค่อยมีการบันทึกที่ดี ลองนึกดูว่าเรามีหนังขาวดำเหลืออยู่กี่เรื่อง แต่เรามีหนังฮอลลีวูด หนังญี่ปุ่น ตั้งแต่ยุคสงครามโลกที่เป็นขาวดำ นำมารีมาสเตอร์สวยงามเยอะแยะมากมาย แต่ในเมืองไทยเราเคยอ่านเจอว่าหนังไทยมากกว่าครึ่งสูญหายไปตลอดกาลแล้วเพราะไม่มีการจัดเก็บที่ดี

“ตอน ‘ลุงบุญมี’ ได้ปาล์มทอง พี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) ก็ให้สัมภาษณ์ว่าหนังเรื่องนี้ “มีการอ้างอิงขนบ genre หนังไทยเก่าหกแบบ” แล้วก็มีนักวิชาการต่างชาติสนใจ อยากมารีเสิร์ชหาเกี่ยวกับหนังไทยเก่าดู แต่ปรากฏว่าอินเตอร์เน็ตไม่มีอะไรเลย ไม่มีข้อมูลภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส เขาก็เลยไปเรียนภาษาไทย ย้ายมาไทยแล้วไปหาห้องอยู่ใกล้ ๆ กับหอภาพยนตร์ เพื่อจะไปสืบค้นในคลังข้อมูลเขา เรารู้เรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ามันยากจังเลย ทั้งสำหรับคนต่างชาติและคนไทยเองด้วย ที่จะเข้าถึงข้อมูล หรือค้นคว้าเกี่ยวกับหนังไทยเก่า

“มันจะมีหนังไทยเรื่องแรกที่ได้ไปประกวดเทศกาลหนังหลักของโลก คือเทศกาลหนังที่เบอร์ลิน คานส์ เวนิส หนังไทยเรื่องแรกที่ไปเบอร์ลินชื่อ ‘นางทาษ’ (2498) กำกับโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ เข้าไปในสายประกวดด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่มากนะ ลองนึกดูสิตอนนั้นคนจัดโปรแกรมฉายเขาไปเจอหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร มาเจอประเทศนี้ได้อย่างไร แต่สิ่งที่ประหลาดกว่าคือมันไม่มีฟิล์มเหลือให้ดูเลย หนังไทยเคยประกวดที่เบอร์ลินมีสี่เรื่องคือนางทาษ แพรดำ (2504 กำกับโดย รัตน์ เปสตันยี) หลวงตา (2523 เพิ่มพล เชยอรุณ) และ คำพิพากษาของมหาสมุทร (2549 เป็นเอก รัตนเรือง) คือแต่ละเรื่องห่างกันเป็นสิบปีเลย แต่นางทาสเรื่องแรกไม่เหลือฟิล์มให้คนรุ่นหลังดูเลยว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เราก็หวังว่าฟิล์มฉบับที่พอดูได้จะถูกค้นพบ เหมือนกับ ‘สันต-วีณา’ ที่เพิ่งถูกเจอ หลังสูญหายไปเป็นทศวรรษ ”

“มีเรื่องหนึ่งที่ตาของเราเล่น คือ ‘สตรีที่โลกลืม’ (2518 ชุติมา สุวรรณรัตน์) เป็นหนังยุค 70 ซึ่งช่วงนั้นจะมีหนังสะท้อนสังคมเยอะ เป็นยุคตื่นตัวเรื่องการเมือง หนังที่ดีต้องพูดถึงคนยากคนจน แล้วสตรีที่โลกลืมเป็นหนังรันทดที่มีผู้หญิงชะตากรรมเลวร้ายมาก เป็นครูคอนแวนต์ ไปเจอเด็กโดนลวนลามก็เลยจะไปช่วย แต่โดนข่มขืนเอง เสร็จแล้วโรงเรียนรู้ก็เลยไล่ออก แล้วแฟนรู้ก็เลยถอนหมั้น แล้วก็เลยท้อง ทําอะไรไม่ได้ต้องไปขายบริการ คือฟังเรื่องแล้วมันอะไรวะมาก แต่คือแม่เราเล่าว่าตาเล่นฉากหนึ่งนะ เพราะตาเป็นเพื่อนผู้กํากับ คือนางเอกเหมือนขายบริการเสร็จแล้วจะไปเปิดก๊อกน้ำล้างตัว ตาเราก็เปิดหน้าต่างมาบอกว่า ‘น้ำมันแพงนะน้องสาว’ ตากูใจร้ายมาก แล้วปรากฎว่าตอนหลังมีคนทำแผ่นดีวีดีเรื่องนี้ขาย แต่ฉากนี้ไม่อยู่ จริง ๆ ในแผ่นหนังนอกจากคุณภาพภาพจะไม่ค่อยดีแล้ว หนังที่เหลืออยู่ก็กระท่อนกระแท่นไม่สมบูรณ์ เหมือนเหลืออยู่แค่ชั่วโมงนิด ๆ เอง คือเคยได้ยินคนเล่าว่าหนังเรื่องนี้ถูกฉายไปที่ช่องทีวีช่องหนึ่ง แล้วพอเขาจะเอาลงฉายในทีวี เขาก็ตัดฉากที่แรงเกินไปออก หรือตัดซีนบางอันออกเพื่อให้หนังมันสั้นพอจะอยู่ในสล็อตเวลาเขาได้โดยเขาอาจจะไม่ได้สนใจว่าตัวเนื้อหนังเต็ม ๆ จริง ๆ เป็นอย่างไร ตาของเราก็เหมือนหายไปด้วย ก็อยากฝากใครที่ยังมีก็อปปี้หนังเรื่องนี้ที่สมบูรณ์ รบกวนมอบตัวฉบับฟิล์มให้หอภาพยนตร์ดูแลด้วยครับ”

“เราว่าหนังไทยหลายเรื่องมันสูญหาย แล้วทำให้นักศึกษาภาพยนตร์ไปเรียนหนังจากเมืองนอกเป็นหลัก แล้วเราก็ไม่ค่อยรู้ว่าหนังชาติตัวเองมีอะไรแปลก ๆ เก๋ ๆ ไก๋ ๆ ซึ่งมันก็มีนะ อาจจะไม่ได้เยอะแต่มันก็มี มันอาจจะเป็นวิธีคิดคนละแบบ ถ้าประเทศที่เขาทำกันแบบขยันขันแข็งอย่างเกาหลีเขาก็จะทำลิสต์หนังเกาหลีดีตลอดกาลร้อยเรื่องกันแล้วก็อัปโหลดลงยูทูป ใครอยากรีเสิร์ชหรือค้นคว้าเกี่ยวกับหนังเกาหลีก็ทำได้ง่าย

หนังเควียร์แบบนอกกรอบ: ‘The Handmaiden’

อีกเรื่องน่ายินดีของหนังเรื่องนี้นอกคือมันได้เข้าชิง Queer Palm รางวัลสำหรับภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องเควียร์อีกด้วย แต่ดูเนื้อเรื่องก็อาจจะแอบสงสัยได้อีกนิดหนึ่งเหมือนกันว่าความเควียร์ของมันคืออะไรกันแน่ ซึ่งคำตอบจริง ๆ ก็อยู่ที่เนื้อเรื่องที่เรียบง่ายนี่แหละ

“ความเป็นเควียร์มันอาจจะอยู่ในปมขัดแย้งบางอย่างที่เกิดขึ้น เช่นถ้าเราชอบผู้ชายแม่ก็อาจไม่พอใจ หรือการที่เราไปรักเครื่องดูดฝุ่นมันก็ใช้ไม่ได้ในสายตาแม่เหมือนกัน” วิศรุตอธิบาย เขาพูดถึงตัวละคร ‘มาร์ช’ ที่แสดงโดยเขาเอง ซึ่งสูญเสียภรรยาไปจากมลพิษฝุ่น ก่อนจะค้นพบว่าเธอกลับมาในรูปของเครื่องดูดฝุ่น การที่คนหนึ่งไปรักกับวัตถุ ทำให้เกิดแรงปะทะแบบเดียวกับเควียร์ในสังคมจริง นั่นก็คือ “ความสัมพันธ์ที่ผิดขนบ” ซึ่งไม่ถูกยอมรับจากครอบครัว

“จริง ๆ ในหนังมันมีตัวละครประหลาด ๆ เยอะเหมือนกัน เราสนใจคนที่ไม่มีแต้มต่อ ไม่มีพื้นเพหรือครอบครัวที่พร้อมสนับสนุน แล้วเขาต้องประนีประนอมจุดยืนและอะไรหลาย ๆ อย่างมากเลย เพื่อที่จะให้สังคมยอมรับ” รัชฏ์ภูมิบอก “มันมีตัวละครที่เป็นเควียร์ที่เป็นสมทบแล้วก็ที่เป็นตัวละครหลักเหมือนกัน มันมีเนื้อเรื่องหลาย ๆ ชั้นซ้อนกันอยู่

“เวลาเราพูดถึงหนังเควียร์มันจะเป็นเรื่องของการ Coming out แอบชอบคนนั้นคนนี้ แล้วก็ต้องสู้กับตัวเอง สู้กับคนรอบข้าง แล้วก็มารักกัน แล้วเรารู้สึกว่าเขาจะมาเป็นสายลับ หรือมาเป็นอย่างอื่นในหนังตระกูลอื่นก็ได้ เช่นอย่าง The Handmaiden คนทำเขาก็พูดว่าไม่อยากทำหนังประเด็นสังคม แต่ตัวละครเลสเบียนในนั้นเขาอยู่ในเรื่องทริลเลอร์ที่มันน่าสนใจ ทำไมให้เรารู้สึกว่า ทำไมต้องขังเกย์ไว้กับการ coming out ทำไมต้องขังเลสเบี้ยนไว้กับเรื่องความรัก เราไม่จำเป็นต้องขังคนที่หลากหลายทางเพศไว้กับหนังตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เรื่องนี้ตัวละครที่เป็นเควียร์มันเลยทำอะไรประหลาด ๆ อยู่หลายอย่าง”

“เรารู้สึกตัวละครเควียร์มักจะถูกจำกัดอยู่ในพล็อตบางแบบ หนังบางแบบ เช่นเราจะเจอพวกเขาอยู่แต่ในหนังรัก หรือแบบหนัง coming-of-age ที่ตัวละครต้องคัมเอาท์ เหมือนเกย์เลสเบี้ยนถูกจำกัดบทบาทให้อยู่แต่ในหนังดราม่าความสัมพันธ์ที่มีใจกลางเป็นเรื่องอัตลักษณ์เรื่องเพศของพวกเขาเป็นหลัก นาน ๆ ทีเราจะเห็นตัวละครเควียร์อยู่ในหนังที่พล็อทไม่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศ ในขณะเดียวกันตัวละครเสตรทได้ไปอยู่ในพล็อทอะไรต่าง ๆ มากมาย หนังแอคชั่น หนังทริลเลอร์ หนังผจญภัยมากมาย เราเลยรู้สึกถ้าเราทำหนัง เราไม่อยากขังตัวละครเควียร์กับหนังดราม่าที่เป็นภาพจำ บีบให้พวกเขาต้องเจอปมปัญหาแบบเดิม ๆ เราเลยจินตนาการให้ตัวละครเควียร์ของเราไปมีปัญหาเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศตัวเอง”

“เราเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของพักชานอุค ผู้กำกับเกาหลีใต้ที่ทำ The Handmaiden แต่เราก็อ่านนานแล้วอาจจำคำเป๊ะ ๆ ไม่ได้ เขาบอกว่าเขาไม่อยากทำหนังแนวดราม่าประเด็นสังคม The Handmaiden เป็นหนังเลสเบี้ยนที่เข้ามือเขาเพราะว่าตัวละครในหนังไม่ได้มีปมปัญหาเรื่องเพศวิถีตัวเอง ปมปัญหาในหนังไม่ได้เป็นหนังดราม่า แต่เป็นแนวทริลเลอร์หักเหลี่ยมเฉือนคม ตอนเราอ่านบทสัมภาษณ์นี้ เราก็ค่อนข้างคล้อยตามในแง่ว่าเราจินตนาการจะเห็นตัวละครเควียร์ทำอะไรหลาย ๆ อย่างมากไปกว่า genre เดิม ๆ ได้ไหม”

โดยเขายกตัวอย่างจาก The Handmaiden ที่ตัวละครเควียร์หรือสิ่งมีชีวิตประหลาดสามารถอยู่ในหนังทริลเลอร์ รัก ผี หรือแนวอื่นได้โดยไม่ต้องชูประเด็นเป็นแก่นกลางเรื่อง แต่แค่ตัวละครเองเป็นเควียร์ และอยู่ในสถานการณ์เฉพาะของเรื่องเท่านั้น

และสำหรับวิศรุต เขาทิ้งท้ายว่าหนังเรื่องนี้ก็มีฉากที่ความสามารถในการแสดงจริง ๆ อยู่ด้วย เช่นฉากที่มาร์ช​ กำลังช่วยตัวเอง “จริง ๆ ภาพมันไม่อีโรติกขนาดนั้น แต่มันเหมือนต้องแสดงแล้วในหัวเราก็ต้องคิดจริง ๆ ให้รู้สึกว่าเรากำลังช่วยตัวเองท่ามกลางคนอื่นอยู่ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ภาพที่รุนแรงอะไรขนาดนั้นเลย เป็นแค่เล่าว่าคนคนนี้ช่วยตัวเอง แต่มันไม่ได้มีอะไรเลย แค่ขยับมือ แต่มันยากตรงการเปลี่ยนควาามคิดเราว่ากำลังมาช่วยตัวเองอยู่ เพราะมันมีเรื่องต้องคิดเยอะเหมือนกัน เหมือนกับความเหนื่อยล้าในการถ่ายทำด้วย แต่ก็มีความปลอดภัยอยู่ ไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรแบบนั้น”

“ผมว่าสิ่งที่นักแสดงทุกคนน่าจะต้องทำได้ดีในการทำงานคือการ “หาเบอร์” เพราะเวลาเราไปทำงานเราก็ต้องเชื่อในเรื่องนั้นนั้นเหมือนทุกครั้ง แต่เราต้องมาดูว่าสิ่งที่ออกมามันน้อยไปหรือเปล่าหรือมากไปหรือยังสำหรับเรื่องนี้”