GC THE ART OF BEING AN ARTIST  copy.jpg

Alphonse Mucha ศิลปินเช็กคนสำคัญที่ช็อกวงการศิลปะฝรั่งเศสด้วยอาร์ตนูโว

Post on 23 July

What is it, Art Nouveau?... Art can never be new.

อาร์ตนูโวหรือศิลปะใหม่คือรูปแบบศิลปะ สถาปัตยกรรม และศิลปะประยุกต์โดยเฉพาะศิลปะการตกแต่งที่ได้รับความนิยมตั้งแต่ปี 1890-1910 เพื่อต่อต้านศิลปะเชิงวิชาการอย่าง Fine Art โดยหยิบเอาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและการตกแต่งผสมรวมเข้าด้วยกัน จนได้เป็นศิลปะที่มีการเคลื่อนไหวโค้งมน

Alphonse Maria Mucha หรือเรียกสั้นๆ ว่า Alphonse Mucha เจ้าของคำพูดสุดเท่ที่ว่าก็ถือเป็นจิตรกรสำคัญในยุคนี้ เขาเป็นจิตรกรชาวเช็ก นักวาดภาพประกอบ นักออกแบบกราฟิก ช่างฝีมือ และช่างภาพมือสมัครเล่นเจ้าของภาพหญิงสาวแสนสวยท่ามกลางพรรณไม้นานาซึ่งถ่ายทอดออกมาผ่านจานสีพาสเทลเย้ายวน 

งานของเขาสื่อสารออกมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งโปสเตอร์ ภาพประกอบหนังสือ จิวเวลรี่ งานตกแต่งภายใน แม้กระทั่งปฏิทินที่คนทั่วไปใช้ เรียกว่าศิลปะของเขาเข้ามาเปลี่ยนความหมายที่ศิลปะต้องสูงส่งเพราะเขาทำให้ศิลปะเข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน

ที่ว่าสำคัญต่อขบวนการศิลปะใหม่ก็เพราะผลงานของเขานั้นช็อกวงการศิลปะปารีสในช่วงนั้นสุดๆ ชนิดที่ช่วงแรกๆ อาร์ตนูโวในฝรั่งเศสถูกเรียกว่า ‘Le Style Mucha’ หรือศิลปะสไตล์ Mucha เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยบอกว่างานของเขาเองคืองานที่เรียกว่าอาร์ตนูโวแม้แต่น้อย ซ้ำเมื่อชื่อเสียงมากขึ้น เขาก็พลิกตัวเองไปทำงานแนวชาตินิยมจ๋าเพื่อบันทึกความสำคัญของชาติเกิดตัวเองเพราะเขาเชื่อว่างานศิลปะนั้นมีอยู่เพื่อสื่อสารข้อความทางจิตวิญญาณ

ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 162 ปีของศิลปินที่มีอุดมการณ์ศิลปะอันแรงกล้าคนนี้ GroundControl ขอพาทุกคนไปตีท้ายครัว Alphonse Mucha ถึงชีวิตเบื้องหลังผลงานศิลปะเลื่องชื่อของเขา

เด็กชายผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์แต่ถูกสวรรค์กลั่นแกล้ง

Mucha เกิดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 1860 ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรียซึ่งตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเช็ก เขามีพรสวรรค์ด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็ก นอกจากการวาดภาพ เขายังเป็นนักร้องประสานเสียงในระดับโทนเสียงอัลโตและเป็นนักไวโอลินอีกด้วย 

แต่แม้จะมีความสามารถที่หลากหลายขนาดนั้น เขาก็เรียนต่อไม่ได้เพราะพ่อแม่ของเขามีลูกตั้ง 6 คน ส่วนเขาก็คือลูกคนโตผู้เสียสละด้านการเรียน หลังเรียนจบชั้นประถม Mucha จึงต้องระหกระเหินไปมาจนได้เรียนต่อมัธยมด้วยความสามารถด้านการร้องเพลงของเขา ช่วงนี้เองที่มีผลต่อความเชื่อด้านศาสนาและชาตินิยมซึ่งจะส่งผลต่องานของเขาในภายหลัง

<p>ภาพที่ว่ากันว่าเขาวาดขึ้นครั้งแรกตอนอายุ 8 ปี</p>

ภาพที่ว่ากันว่าเขาวาดขึ้นครั้งแรกตอนอายุ 8 ปี

<p>ชีวิตการเป็นนักร้องประสานเสียง</p>

ชีวิตการเป็นนักร้องประสานเสียง

แต่เพราะผลการเรียนที่ไม่ดี เขาจึงถูกไล่ออกและกลับไปยังบ้านเกิด ระหว่างทางกลับบ้าน เขาได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังแบบบาโรกโดยศิลปินท้องถิ่น Jan Umlauf จนเขาจุดประกายความคิดที่จะเป็นศิลปินและได้สมัครเข้าเรียนที่ Academy of Fine Arts ในกรุงปราก แต่ก็ถูกปฏิเสธ 

การถูกปฏิเสธครั้งนั้นไม่ได้ทำลายความฝันของ Mucha ลง พออายุได้ 19 ปี เขาย้ายไปยังกรุงเวียนนาเพื่อเป็นจิตรกรฝึกหัดวาดภาพทิวทัศน์ให้กับบริษัทที่รับผลิตฉากให้โรงละคร ในช่วงนี้เองที่ Mucha ได้รู้จักกับภาพวาดของ Hans Makart สไตล์ของศิลปินชั้นครูคนนี้แหละที่เปลี่ยนแปลงการวาดภาพของมูชาไป

มีวันนี้เพราะพี่ให้

เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้โรงละคร คู่ค้าของบริษัทรับจ้างที่เขาสังกัดอยู่จึงซวยไปด้วย Mucha ตกงานและต้องระหกระเหินอีกครั้งไปยัง Mikulov เมืองเล็กๆ ทางใต้ของ Moravia และเริ่มหันมาวาดภาพบุคคล

จุดเปลี่ยนสำคัญคือเขาได้รับมอบหมายให้วาดภาพตกแต่งปราสาท Emmahof จาก Count Karl Khuen-Belasi ทั้งยังได้รับงานต่อเนื่องให้วาดภาพที่ปราสาท Gandeg ในเมือง Tyrol ของน้องชาย Count Karl Khuen-Belasi ภาพวาดเหล่านี้ประกอบไปด้วยเรื่องราวจากนิทานตำนาน เรือนร่างของหญิงสาว และพืชพรรณอันเขียวชอุ่ม 

<p>ปราสาท Emmahof</p>

ปราสาท Emmahof

แม้จะเริ่มมีงานการเลี้ยงชีพ แต่ว่ากันว่าเขายากจนมากจนมีกางเกงใส่เพียงตัวเดียว ชนิดที่กลุ่มสาวสังคมยังต้องซื้อกางเกงตัวใหม่ให้เขาใส่ แต่ก็เดชะบุญอีกนั่นแหละ เพราะความชื่นชอบผลงานของ Mucha Count Khen-Belasi จึงสนับสนุนเงินทุนสำหรับฝึกอบรมการวาดภาพให้เขาที่ Akademie der Bildenden Künste ของมิวนิค ซึ่งเป็นวิทยาลัยนานาชาติที่สำคัญเป็นอันดับสองรองจากสถาบันการศึกษาในปารีสและดุสเซลดอร์ฟเลยทีเดียว

<p>กลุ่มเพื่อนศิลปิน</p>

กลุ่มเพื่อนศิลปิน

ที่นี่เองที่เขาได้พบกับเพื่อนศิลปินมากมาย ทั้งเขาเองยังได้เป็นประธานของ Škréta spolek ชุมชนของนักศึกษาศิลปะยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกที่อาศัยอยู่ในมิวนิกด้วย
ในระหว่างนี้ Mucha ก็เริ่มรับงานวาดภาพให้นิตยสารท้องถิ่น แต่กับนิตยสารที่ค่อนข้างมีผลกับเขาอย่างมากก็คือ Krokodil และวารสารอื่นๆ ที่ตีพิมพ์โดย Filip Kubr ซึ่งแต่งงานกับ Anna น้องสาวของเขา

ที่ว่าสำคัญเพราะนอกจากเขาจะวาดภาพประกอบแล้ว Mucha ยังได้พัฒนาและออกแบบตัวอักษรซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปด้วย

แจ้งเกิดสไตล์ Mucha ด้วยการพิมพ์แบบใหม่ที่ปารีส

เพราะสงครามบาวาเรียในเยอรมัน Mucha ย้ายไปปารีสในปี 1887 และศึกษาต่อที่ Académie Julian และ Académie Colarossi อยู่ 2 ปี ก่อนที่เขาจะต้องออกจากการเรียนกระทันหันเพราะผู้มีประคุณกับเขาหยุดให้การสนับสนุน เขาจึงต้องกระเสือกกระสนหารายได้จากการวาดภาพให้สื่อสิ่งพิมพ์หลายแห่ง

ช่วงนั้นเองที่ Mucha บังเอิญได้ออกแบบโปสเตอร์ละครเวทีที่นำแสดงโดย ‘Sarah Bernhardt’ ผู้มีชื่อเสียงที่สุดในปารีส ที่ว่าบังเอิญก็เพราะมันรีบมากจริงๆ แต่ Mucha อาสาโรงพิมพ์ว่าจะทำทันภายในสองสัปดาห์ กระทั่งเมื่อโปสเตอร์โฆษณาละครเรื่อง Gismonda ปรากฏบนถนนในเมือง ภาพของ Mucha ได้สร้างรูปแบบศิลปะใหม่ขึ้นให้กับชาวปารีสเพราะลวดลายที่เย้ายวน สีสันที่ละเอียดอ่อน แต่โดยรวมแล้วแข็งแกร่งซึ่งต่างจากงานโปสเตอร์สมัยนั้นที่มักจะมีสีสันสดใสนั้นช็อกวงการศิลปะปารีสตอนนั้นมาก

<p>Gismonda, 1894</p>

Gismonda, 1894

ผลงานหนึ่งที่เลื่องชื่อคือ The Season หรือภาพหญิงสาว 4 คนที่แทน 4 ฤดูกาล เป็นผลงานที่เขาทำเป็นแผงกั้นให้กับ Champenois โรงพิมพ์เลื่องชื่อ มันขายดีมากจน Champenois ขอให้เขาสร้างภาพชุดเหล่านี้ขึ้นอีกในธีมคล้ายๆ กันในปี 1897 และ 1900 นอกจากนั้น ยังมีปฏิทินหญิงสาวที่มีราศรีทั้ง 12 อยู่ล้อมรอบศีรษะ และผลงานการออกแบบจิวเวลรี่รวมถึงห้างร้านและที่พักอาศัยอีกจำนวนมาก

<p>The Four Seasons, 1896</p>

The Four Seasons, 1896

<p>Zodiac, 1896</p>

Zodiac, 1896

จะว่าไปหนึ่งในสิ่งสำคัญที่มีผลต่อความดังเปรี้ยงของเขาและงานอาร์ตนูโวอื่นๆ ก็คือเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทำให้ผลงานศิลปะของเขาสามารถผลิตได้จำนวนมากจนทำให้การผลิตแบบแมสและงานศิลปะเริ่มพร่าเลือน

เรียกว่าปารีสคือเวทีแจ้งเกิดให้เขาก็ว่าได้ เพราะนอกจากงานโปสเตอร์ที่ Bernhardt ปลื้มมากๆ จนเซ็นสัญญากับ Mucha ยาว 6 ปี เขายังเปิดสอนวาดภาพในสตูดิโอซึ่งโด่งดังสุดๆ จน Académie Colarossi จ้างไปสอน 

นอกจากนั้น เขายังได้จัดนิทรรศการเดี่ยวจำนวนมากในหลายประเทศ รวมถึงได้สร้างสรรค์ภาพเขียน โปสเตอร์ โฆษณา ภาพประกอบหนังสือ และมีโอกาสได้ออกแบบเครื่องประดับ พรม วอลล์เปเปอร์ให้กับหลายแบรนด์ ทั้ง JOB, Ruinart Champagne, Nestlé, Idéal Chocolate, Beers of the Meuse, แชมเปญ Moët-Chandon

<p>JOB cigarette papers, 1898</p>

JOB cigarette papers, 1898

<p>Moët &amp; Chandon Crémant Impérial, 1899</p>

Moët & Chandon Crémant Impérial, 1899

อีกผลงานเด็ดดวง คือการที่เขาได้รับมอบหมายจากรัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีให้วาดภาพตกแต่ง Bosnia & Herzegovina Pavilion ในนิทรรศการ Paris Universal Exposition ปี 1900 ซึ่งถือเป็นงานแสดงศิลปะอาร์ตนูโวที่ยิ่งใหญ่แห่งแรก

แนวคิดแรกของการวาดครั้งนี้คือการวาดภาพที่แสดงถึงความทุกข์ทรมานของชาวสลาฟที่ถูกยึดครองพื้นที่โดยมหาอำนาจจากต่างประเทศ แต่รัฐบาลออสเตรียซึ่งเป็นผู้สนับสนุนให้เปลี่ยนเป็นการวาดภาพการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของชาวคริสต์นิกายคาทอลิก ออร์โธดอกซ์และชาวมุสลิม การถูกปฏิเสธไอเดียตรงนี้เองที่มีผลต่อการสร้างงาน The Slav Epic ของเขาในอนาคต

ผู้หญิงยุคใหม่ อิสระหรือเครื่องประดับของชายเป็นใหญ่?

ถ้าสังเกตภาพรวมงานของเขา เราจะเห็นว่างานส่วนใหญ่ในช่วงนี้มักจะประกอบด้วยผู้หญิงและธรรมชาติอันแสนเย้ายวนซึ่งจริงๆ แล้วนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากงานอาร์ตนูโวทั่วไป แต่ที่มาเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอิทธิพลจากศิลปะภาพพิมพ์แบบญี่ปุ่นที่ได้รับมาในช่วงการล่าอาณานิคม เรียกว่าในตอนนั้น ชายตะวันตกต่างหลงใหลในความงามอย่างตะวันออก แต่ไม่ใช่การหลงใหลแบบรักใคร่แต่เป็นความหลงใหลแบบราคะมากกว่า นอกจากนั้น ในช่วงนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลจากหญิงสาวในภาพของศิลปะกรีกโรมันโบราณที่มีหุ่นงดงามไร้กาลเวลา

นอกจากนั้น ในยุคสมัยของอาร์ตนูโวยังเป็นยุคที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกำลังก้าวหน้าจึงเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ออกจากบ้านมาทำงานมากขึ้น ผู้หญิงในศิลปะของอาร์ตนูโวจึงเป็นผู้หญิงแบบ 'femme nouvelle' หรือ 'new woman' ที่สะท้อนความเป็นผู้หญิงยุคใหม่ในอุดมคติของสมัยนั้นที่ไม่ใช่แม่บ้านเลี้ยงลูกและไม่ต้องเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่สามารถก้าวข้ามสู่ความเป็นสาธารณะและอิสระทางเพศได้มากขึ้น ทั้งยังมีอำนาจทางสังคมและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของผู้ชายได้ ต่างจากยุคกลางของศตวรรษที่ 19 ที่ผู้หญิงที่ดีจะต้องเป็นแม่บ้านเท่านั้น

<p>The Arts - Dance, 1898</p>

The Arts - Dance, 1898

<p>The Arts - painting, 1898</p>

The Arts - painting, 1898

แต่มันก็ไม่ได้มีด้านดีอย่างเดียว เรียกว่าผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความบริสุทธิ์และความยั่วยวนในเวลาเดียวกัน เพราะขณะที่ความสมัยใหม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ออกจากบ้านมากขึ้น ความสมัยใหม่ก็ทำให้ผู้หญิงกลายเป็นวัตถุทางเพศของผู้ชายได้ง่ายขึ้นเพราะพวกเธอได้ออกจากพื้นที่ในบ้านไปสู่สายตาของชายในพื้นที่สาธารณะ 

หญิงสาวของ Mucha จึงไม่ได้มีความเป็นอิสระมากขึ้นแต่กลายเป็นเพียงเครื่องประดับสาธารณะในสายตาของผู้ชายได้ง่ายขึ้น และผู้หญิงในโปสเตอร์โฆษณาของ Mucha ซึ่งมักจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของผู้ชาย ไม่ว่าจะบุหรี่เอย แอลกอฮอล์เอย จึงคือเครื่องแสดงให้เห็นถึงความเป็นชายว่านี่แหละ คือความเป็นชายที่แท้จริง!

ชีวิตนี้ขออุทิศให้ชนชาติสลาฟ

หลังอยู่เมืองที่รุ่มรวยด้วยศิลปะมานาน Mucha ไปทัวร์ที่สหรัฐอเมริกาก่อนปักหลักอยู่ที่นั่นนานหลายปี เพื่อหาเงินทุนไปสร้างโปรเจกต์อลังการดาวล้านดวงที่เขาฝันใฝ่ 'The Slav Epic' เพื่อถ่ายทอดความยิ่งใหญ่และคุณประโยชน์ของชาติสลาฟของเขาที่มีต่อยุโรปให้ชาวโลกได้รับรู้! และแน่นอน งานโฆษณาดั้งเดิมของเขาก็ค่อยๆ ลดลงพร้อมๆ กับความนิยมอาร์ตนูโวที่ค่อยๆ เสื่อมคลาย

<p>Slavia, 1908</p>

Slavia, 1908

แหล่งเงินทุนสำคัญของเขาคือ ‘Charles Richard Crane’ นักธุรกิจชาวสลาฟผู้มั่งคั่งที่จ้างให้เขาวาดภาพเหมือนลูกสาวตัวเองในสไตล์ Mucha ซึ่งเขาเองก็ได้วาดภาพหญิงคนนั้นเป็น Slavia ตัวละครหญิงที่อยู่ในตำนานเพื่อให้เธอเป็นตัวแทยของชนชานมากกว่าจะสื่อถึงหญิงสาวลูกผู้มีพระคุณ ซึ่งต่อมาภาพของ Slavia ก็ยังปรากฏในธนบัตร 100 โครูนและสัมพันธ์กับธนาคารของเช็กด้วย

<p>ห้องโถงนายกเทศมนตรีในสภาเทศบาลกรุงปราก</p>

ห้องโถงนายกเทศมนตรีในสภาเทศบาลกรุงปราก

เมื่อมามีเงินมากพอ ตั้งแต่ปี 1911-1928 เขาก็ย้ายกลับไปยังปรากและสร้างโปรเจกต์ยักษ์ที่อยากทำทันที โครงการแรกคือการตกแต่งห้องโถงนายกเทศมนตรีในสภาเทศบาลกรุงปรากเพื่อพรรณนาถึงความสำคัญของชนชาติสลาฟต่อประวัติศาสตร์ยุโรป 

เขาวาดภาพที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจ ความภาคภูมิใจของชาติ และความรักชาติ เขายังจารึกประโยคที่ว่า "ถึงแม้คุณจะอับอายและถูกทรมาน คุณจะมีชีวิตอีกครั้ง ประเทศของฉัน!" ต่อมาในปี 1918 เชกโกสโลวาเกียก็ได้รับเอกราชตามความปรารถนาของเขา

จากนั้น Mucha ก็ทำงานอย่างหนักในปราสาท Zbiroh ของเขา ทั้งวาดภาพขนาดใหญ่กว่า 20 ภาพ ซึ่งครึ่งหนึ่งคือภาพของสลาฟอย่างเช็ก และอีกครึ่งหนึ่งอุทิศให้ชนชาติสลาฟอื่นๆ นอกจากนั้น เขายังศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์อย่างจริงจังชนิดที่ไปทัวร์คาบสมุทรบอลข่านบ่อยครั้ง ทั้งยังปรึกษากับนักประวัติศาสตร์เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาถ่ายทอดนั้นถูกต้อง ทั้งหมดนี้สร้างขึ้นตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่จักรวรรดิออสเตรียกำลังทำสงครามกับฝรั่งเศส

<p>The Slav Epic cycle No.2: The Celebration of Svantovít, 1912</p>

The Slav Epic cycle No.2: The Celebration of Svantovít, 1912

<p>The Slav Epic cycle No.18: The Oath of Omladina under the Slavic Linden Tree, 1926</p>

The Slav Epic cycle No.18: The Oath of Omladina under the Slavic Linden Tree, 1926

หลายคนอาจงงว่างานเหล่านี้แตกต่างจากงานเชิงพาณิชย์ของเขาในปารีสและนิวยอร์กสุดๆ ได้ยังไง ก็เพราะจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนที่ยึดมั่นในศาสนาและชาตินิยมมาตั้งแต่เด็ก เป็นผลจากการเข้าเรียนที่ได้รับทุนจากคณะนักร้องประสานเสียงนั่นเอง

ฉันจะสามารถทำสิ่งที่ดีจริงๆ ไม่ใช่แค่สำหรับนักวิจารณ์ศิลปะแต่สำหรับจิตวิญญาณชาวสลาฟของเราด้วย

ตำนานที่ยังมีลมหายใจ

ช่วงทศวรรษที่ 1930 ฮิตเลอร์และนาซีเยอรมันเริ่มคุกคามเชกโกสโลวาเกีย Mucha ผู้รักชาติยิ่งชีพจึงตกเป็นเป้าสำคัญ เขาถูกจับสอบปากคำเป็นเวลาหลายวันก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมา

แต่เพราะสุขภาพที่ย่ำแย่ในวัยเจ็ดสิบปลาย เขาติดเชื้อจนปอดบวมและเสียชีวิตในวันที่ 14 กรกฎาคม 1939 ด้วยวัย 79 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุขึ้น แม้สังคมจะวุ่นวาย แต่คนจำนวนมากก็ยังมาเข้าร่วมการฝังศพของเขาในอนุสาวรีย์ Slavín แห่งสุสาน Vyšehrad ซึ่งสงวนไว้สำหรับบุคคลที่มีชื่อเสียงของเช็ก

ปัจจุบัน ผลงานของเขายังมีอิทธิผลต่อมังงะญี่ปุ่นและงานกราฟิกจำนวนมากของศิลปินสมัยใหม่ จนชื่อของเขาถูกจารึกว่าเป็นศิลปินอาร์ตนูโวคนสำคัญ แต่สำหรับเขาเอง Mucha ภูมิใจกับการเป็นจิตรกรประวัติศาสตร์ที่สร้างสรรค์ศิลปะเพื่อสังคมมากกว่าสิ่งอื่นใด

งานของฉันไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อทำลายล้าง แต่มีจุดประสงค์เพื่อการสร้างบางสิ่งเพราะเราต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังว่ามนุษยชาติจะรวมตัวกัน และยิ่งเราเข้าใจกันมากขึ้น เรื่องนี้ก็จะง่ายขึ้น

อ้างอิง

artsandculture.google
digscholarship
alfonsmucha
muchafoundation
vectornator
artsy.net
theartstory