Pride and Prejudice (2005) ผลงานการกำกับของโจ ไรต์ ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องรักคลาสสิกจากนวนิยายของ เจน ออสเตน หากยังสร้างบรรยากาศทางสายตาที่หยั่งรากลึกจากศิลปะของยุคเรเจนซี่ (Regency Era) และกระแสศิลปะอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ออสเตนมีชีวิตอยู่และเขียนนวนิยายเรื่องนี้ออกมาในปี ค.ศ. 1813
16 กันยายนที่ผ่านมา คือวาระครบรอบ 20 ปีที่ Pride & Prejudice เวอร์ชันผู้กำกับโจ ไรต์ เข้าฉายในโรงหนังทั่วไป เราจึงอยากชวนทุกคนย้อนกลับไปสำรวจสุนทรียะทางภาพของหนังที่งดงามราวกับภาพวาด และก็ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพวาดในยุคนั้นมาจริง ๆ

อิทธิพลจากนีโอคลาสสิก ศิลปะภาพเหมือนและสถานะทางสังคม
Pride and Prejudice เวอร์ชันปี 2005 ที่กำกับโดยโจ ไรต์ ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์นีโอคลาสสิกอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนบริบททางสังคมในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของสังคมอังกฤษ จากยุคที่เน้นระเบียบและความเป็นทางการไปสู่การให้ความสำคัญกับความรู้สึกและอารมณ์ ในด้านศิลปะ ช่วงเวลานี้สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากศิลปะนีโอคลาสสิกที่เน้นความสมมาตรและความเป็นระเบียบไปสู่ศิลปะแบบโรแมนติกที่เน้นการสะท้อนอารมณ์ ทั้งหมดปรากฏชัดผ่านความสง่างาม ความประณีต การควบคุมตนเองของชนชั้นสูง กิริยามารยาทที่จัดไว้อย่างชัดเจน และการหยิบเอาศิลปะและดนตรีคลาสสิกเข้ามาใช้ประกอบเรื่อง

อิทธิพลของนีโอคลาสสิกปรากฏเด่นชัดในสไตล์ภาพของหนัง การตกแต่งภายในคฤหาสน์สะท้อนหลักการคลาสสิกของความสมมาตรและสัดส่วน อันเป็นเอกลักษณ์ของปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 เช่น ฉากภายในคฤหาสน์เพมเบอร์ลีย์ โดยเฉพาะห้อง Sculpture Gallery ที่จัดวางรูปปั้นหินอ่อนและการตกแต่งแบบคลาสสิกอย่างสมมาตร ทำให้เกิดความงดงามเรียบร้อยและมีระเบียบ ขณะเดียวกัน

ฉากงานเต้นรำที่เนเธอร์ฟิลด์มีการจัดกลุ่มตัวละครและการเคลื่อนไหวอย่างสมดุล กล้องเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องระหว่างตัวละครและห้องต่าง ๆ สร้างความรู้สึกถึงทั้งความเรียบร้อยภายนอก และความอ่อนไหวภายในของตัวละคร หลายฉากยังใช้หน้าต่างเป็นกรอบภาพ ทำให้เกิดพื้นที่ภาพที่เป็นระเบียบแบบนีโอคลาสสิก กักขังตัวละครไว้ในกรอบ แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความปรารถนาภายในของพวกเขาที่โหยหาธรรมชาติและอิสรภาพนอกกรอบของสังคม


นอกจากนี้ ภาพสวนและฉากกลางแจ้งถูกออกแบบในสไตล์ภูมิทัศน์นีโอคลาสสิก มีการจัดสวนและลานให้เป็นระเบียบ ซึ่งสะท้อนธรรมชาติในฐานะส่วนขยายของความงามแบบคลาสสิก ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมการเล่าเรื่องให้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและความรู้สึกของตัวละครได้อย่างชัดเจน
ในยุคเรเจนซี่ ภาพเหมือน (Portraiture) เป็นแนวทางศิลปะที่ได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะในชนชั้นสูง ศิลปินอย่าง เซอร์โจชัว เรย์โนลด์ส (Sir Joshua Reynolds) และ โธมัส เกนส์โบโรห์ (Thomas Gainsborough) สร้างมาตรฐานของภาพเหมือนที่ไม่เพียงถ่ายทอดรูปลักษณ์ แต่ยังสะท้อนการศึกษา รสนิยม และสถานะทางสังคม Pride and Prejudice ฉบับปี 2005 นำแรงบันดาลใจจากศิลปะภาพบุคคลเหล่านี้มาปรับใช้ในการจัดแสง การวางตัวละคร และเครื่องแต่งกาย เพื่อสร้างบุคลิกและความสง่างามที่เหมาะกับโลกของออสเตน
ผู้กำกับโจ ไรต์ยอมรับว่าผลงานของเรย์โนลด์สและเกนส์โบโรห์เป็นแหล่งอ้างอิงสำคัญที่สะท้อนอยู่ในการออกแบบฉากร่วมกับผู้กำกับภาพ โรมัน โอซิน ตัวอย่างเช่น ฉากที่เอลิซาเบธยืนท่ามกลางทุ่งกว้าง สื่อถึงความเป็นอิสระและการไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบสังคม ชวนให้นึกถึงภาพวาด Portrait of Mrs. Graham (1777) ของเกนส์โบโรห์ ที่วางบุคคลอย่างสง่างามท่ามกลางภูมิทัศน์ธรรมชาติ ทำให้ฉากดูเหมือนมีชีวิตและสะท้อนทั้งความงดงามและอิสรภาพของตัวละครไปพร้อมกัน

Portrait of Mrs. Graham (1777)

Pride & Prejudice (2005)
อิทธิพลของจิตรกรรมภูมิทัศน์และแสงใน Pride and Prejudice (2005)
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญของ Pride and Prejudice ฉบับปี 2005 มาจากจิตรกรรมภูมิทัศน์อังกฤษ (English Landscape Painting) ที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ผลงานของ จอห์น คอนสตาเบิล (John Constable) เปิดมุมมองใหม่ต่อธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงฉากหลังที่งดงามหรือเรียบง่าย แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปล่งประกายความรู้สึกและสะท้อนอารมณ์ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และหนังก็นำแนวคิดนี้มาใช้ได้อย่างเด่นชัด โดยภูมิทัศน์ไม่ใช่แค่ฉากประกอบ แต่กลายเป็นตัวแทนความรู้สึกของตัวละครเอง เช่น ทุ่งหมอกยามเช้าที่เอลิซาเบธ เบนเน็ต เดินผ่าน เบื้องหลังท้องฟ้าที่สว่างไสวเหนือการสารภาพรัก หรือสายหมอกที่ลอยคลอเคลียทุ่งนา สิ่งเหล่านี้ช่วยสะท้อนความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของตัวละครและสร้างบรรยากาศที่ลึกซึ้งและงดงาม

Pride & Prejudice (2005)

Cloud Study (1821)
คอนสตาเบิลปฏิวัติภาพภูมิทัศน์อังกฤษด้วยการวาดท้องฟ้าที่เคลื่อนไหว เมฆที่เปลี่ยนแปร และชนบทที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงฉากหลังนิ่ง ๆ แต่เป็นการเล่าเรื่องโดยธรรมชาติเอง หนังใช้แนวคิดนี้อย่างชัดเจน ทั้งทุ่งนา บ้านเรือนชนบท และป่าไม้ที่จัดวางในเฟรมแต่ละฉาก ล้วนสะท้อนความผูกพันของตัวละครกับชนบท ซึ่งเป็นหัวใจของเรื่องราวและแสดงถึงความเรียบง่ายที่งดงามของชีวิตชนชั้นสูงอังกฤษ

Weymouth Bay (1816) โดย จอห์น คอนสตาเบิล

Pride & Prejudice (2005)
นอกจากคอนสตาเบิลแล้ว ผู้กำกับภาพ โรมัน โอซิน และผู้กำกับ โจ ไรต์ ยังดึงแรงบันดาลใจจากศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อย่าง เจ. เอ็ม. ดับเบิลยู. เทอร์เนอร์ (J.M.W. Turner) และ โจเซฟ ไรต์ แห่งดาร์บี (Joseph Wright of Derby) เทอร์เนอร์เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในการจับแสงและบรรยากาศชั่วขณะ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าเรืองรอง แสงรุ่งอรุณ หรือความหม่นมัวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความสามารถของเขาในการสร้างโทนสีและหมอกหนาลอยคลอเคลีย สะท้อนอยู่ในฉากพระอาทิตย์ขึ้นหรือทุ่งหมอกยามเช้าของหนัง ขณะที่ โจเซฟ ไรต์ แห่งดาร์บี ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้แสง–เงา (chiaroscuro) และการสร้างบรรยากาศเข้มข้นทางจิตใจ หนังช้เทคนิคนี้ในการถ่ายทอดความลึกของอารมณ์ตัวละคร ผ่านแสงเทียนและแสงจากหน้าต่าง ทำให้ฉากภายในบ้านดูเหมือนภาพเขียนมีชีวิต

An Experiment on a Bird in an Air Pump (1768) โดย โจเซฟ ไรต์ แห่งดาร์บี

Pride & Prejudice (2005)
ฉากที่เด่นชัดที่สุดคือฉากที่เอลิซาเบธเดินผ่านทุ่งหมอกยามรุ่งอรุณ ก่อนที่จะได้พบกับมิสเตอร์ดาร์ซีที่เดินฝ่าสายหมอกมาหาเธอ แสงอ่อน ๆ ของวันใหม่และสายหมอกหนาลอยคลอรอบตัว ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวังและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ภาพดังกล่าวชวนให้นึกถึงภาพวาด Norham Castle, Sunrise (1845) ของเทอร์เนอร์ ที่ใช้โทนฟ้าทองและหมอกหนาเพื่อสื่อถึงการเริ่มต้นใหม่ของความสัมพันธ์

Norham Castle, Sunrise (1845) โดย เจ. เอ็ม. ดับเบิลยู. เทอร์เนอร์

Pride & Prejudice (2005)
ทั้งหมดนี้ทำให้ Pride and Prejudice ปี 2005 กลายเป็นหนังที่ตีความงานจิตรกรรมอังกฤษให้มีชีวิต การเคลื่อนไหวของกล้อง การจัดองค์ประกอบในเฟรม และโทนสี ถูกสร้างให้เหมือน “ภาพวาดมีชีวิต” ทำให้เรื่องราวรักในหนังไม่เพียงคงความคลาสสิก แต่ยังสะท้อนโลกทัศน์ ความงาม และอารมณ์ของศิลปะอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 ได้อย่างงดงาม ร่วมสมัย และมีพลังทางอารมณ์ควบคู่ไปพร้อมกัน