ในช่วงที่ผ่านมากระแสของความกอธิก (Gothic) และความงามอันหม่นลึกได้กลับมาคึกคักในหมู่ภาพยนตร์อีกครั้งหลังจากที่โรเบิร์ต เอกเกอร์ส (Robert Eggers) ได้นำต้นตำหรับความสยองขวัญแห่งงานศิลปะอย่าง ‘Nosferatu’ กลับมาสร้างและตีความใหม่อีกครั้ง เหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าสุนทรียะแห่งการสำรวจด้านมืดของมนุษย์ผ่านงานศิลปะยังคงไร้กาลเวลาไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม
หากย้อนกลับไปดู Nosferatu ในปี 1922 ฉบับดั้งเดิมของ เอฟ. ดับเบิลยู. เมอร์เนา (F. W. Murnau) อีกครั้ง ก็จะพบว่า Nosferatu ตามฉบับของเอกเกอร์สนั้นค่อนข้างแตกต่างจากของเมอร์เนา ทั้งในแง่ของการตีความและการถ่ายทอดเรื่องราวบางอย่างไปสู่ผู้ชม
แต่จริง ๆ แล้วหากมองลึกลงไปก็จะพบว่า Nosferatu ตามฉบับของเอกเกอร์สยังคงมีรากเหง้าเดียวกันกับฉบับของเมอร์เนานั่นก็คือ ‘ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมัน’ หรือ ‘German Expressionism’ แนวคิดที่แผ่ขยายอิทธิพลครอบคลุมศิลปะแทบทุกแขนง ตั้งแต่จิตรกรรม วรรณกรรม สถาปัตยกรรม หรือภาพยนตร์ ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 1920s - 30s มาจนถึงปัจจุบัน
German Expressionism ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเป็นแนวคิดที่นำเสนออารมณ์และความรู้สึก ในฐานะประสบการณ์ที่จริงแท้ แทนที่จะนำเสนอภาพที่สมจริง โดยได้รับอิทธิพลจากสภาวะทางสังคม การเมือง และความไม่พอใจต่อศิลปะแบบสมจริง (Realism) รวมถึงอิทธิพลจากแนวคิดของขบวนการ Post-Impressionism และ Symbolism
อย่างไรก็ตามแม้ German Expressionism จะมีเกิดจากความเบื่อหน่ายของศิลปินที่มีต่อศิลปะแบบเดิม ๆ ในยุคสมัยนั้น แต่จริง ๆ แล้วลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมันนั้น กลับได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดจิตวิทยาที่กำลังเกิดขึ้นใหม่อย่างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) หรือแม้แต่แนวคิดของนักปรัชญาชาวเยอรมันอย่าง ฟรีดริช นีทเชอ (Friedrich Nietzsche)
ด้วยเหตุนี้เอง GroundControl จึงอยากพาทุกคนย้อนกลับไปสำรวจลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมันว่าจริง ๆ แล้วจุดเริ่มต้นของมันคืออะไร ทำไมลัทธิศิลปะนี้ถึงสามารถก้าวมาเป็นศิลปะแนวหน้าที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบันได้ และทำไมพรรคนาซีถึงมองว่าศิลปะแนวนี้เป็นศิลปะที่เสื่อมทราม
ต้นกำเนิดของลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมัน
ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ได้มีศิลปินกลุ่มหนึ่งในเมืองเดรสเดน ประเทศเยอรมนี ที่เชื่อว่าศิลปะควรสะท้อนและก่อให้เกิดอารมณ์และสภาวะจิตใจมากกว่าการเสพย์แต่ความสวยความงามตามรูปแบบศิลปะแบบเดิม ๆ ของยุคนั้น ศิลปินกลุ่มนั้นจึงเริ่มพบปะกันเพื่อคิดหาแนวคิดใหม่ ๆ และได้ก่อตั้งกลุ่มที่ชื่อว่า ‘Die Brücke’ ในปี 1905 ที่นำโดย Erich Heckel, Ernst Ludwig Kirchner, Karl Schmidt-Rottluff และ Fritz Bleyl โดยเชื่อว่าศิลปะแนวทางใหม่ของพวกเขาสามารถเชื่อมโยงอดีตและอนาคตได้

โปสเตอร์สำหรับนิทรรศการของกลุ่มศิลปินปี 1910 โดย Ernst Ludwig Kirchner
ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ได้มีศิลปินอีกกลุ่มหนึ่งในเมืองมิวนิกที่เริ่มมีความเบื่อหน่ายในศิลปะแบบดั้งเดิมเช่นเดียวกัน พวกเขาจึงเริ่มจัดนิทรรศการในชื่อ ‘Der Blaue Reiter’ ในปี 1911 โดยมีศิลปินอย่าง Wassily Kandinsky และ Franz Marc ในการเป็นผู้บุกเบิกศิลปะสมัยใหม่ และได้ต่อยอดไปเป็นกลุ่มที่มีศิลปินอย่าง Paul Klee, August Macke, Gabriele Münter และ Marianne von Werefkin ในการร่วมสำรวจจิตวิญญาณของศิลปะเพื่อก้าวข้ามความธรรมดาด้วยการแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของศิลปะเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามแม้ศิลปินทั้งสองกลุ่มจะแยกย้ายกันออกไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 เริ่มต้นขึ้น แต่ศิลปะแนวทางใหม่ที่พวกเขาทิ้งไว้กลับสร้างอิทธิพลอย่างมากในวงการศิลปะในสมัยนั้น โดยเฉพาะในเยอรมันที่ศิลปะแนวนี้ได้กลายมาเป็นศิลปะในกระแสหลัก

The Great Anxiety (1918) โดย Walter Gramatté
German Expressionism เลือกนำเสนอผลงานศิลปะในรูปแบบของการแสดงออกและกระตุ้นอารมณ์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผลงานภาพวาด ภาพพิมพ์ หรือประติมากรรมของศิลปะในแขนงนี้จะมีลักษณะที่ตรงไปตรงมาและมีรูปแบบเรียบง่ายขึ้น มีมุมมองที่เรียบแบนลงและกำจัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออก แทนที่จะแสดงภาพบุคคลหรือสถานที่ที่มีอยู่จริงเหมือนศิลปะรูปแบบเดิม และมักนิยมใช้สีที่รุนแรงและไม่สมจริง เช่น แดง เหลือง น้ำเงิน เพื่อสะท้อนอารมณ์ที่รุนแรง ซึ่งมักถูกใช้ตามอารมณ์ของศิลปิน ไม่ใช่เพื่อจำลองความเป็นจริง
สงครามโลกครั้งที่ 1 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมัน
แม้ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 German Expressionism จะโดดเด่นและกลายเป็นศิลปะแนวหน้าในเยอรมัน แต่ด้วยการเข้าสู่สภาวะสงคราม ทำให้ศิลปินหลายคนถูกเกณฑ์หรือสมัครเข้ารับราชการทหารเพื่อร่วมรบในสงคราม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กระแสศิลปะ German Expressionism ซบเซาลง และด้วยการที่เยอรมันถูกโดดเดี่ยวจากประเทศอื่น ๆ จึงทำให้ศิลปะแนวนี้ถูกจำกัดให้อยู่แค่ในเยอรมนีเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสงครามในครั้งนี้ไม่ได้เกิดผลกระทบร้ายแรงและสร้างความเสียหายกับการเมืองและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่สงครามยังส่งผลกระทบต่อผู้รอดชีวิตในสงครามเช่นเดียวกัน โดยหลายคนได้รับบาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจ หรือบางคนต้องสูญเสียครอบครัวไปในสงครามแบบไม่ทันตั้งตัว
เหตุนี้เอง German Expressionism จึงถูกนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่ง ที่ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความเป็นอุดมคติเหมือนในช่วงแรกเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือสะท้อน ความโหดร้าย ความทุกข์ทรมาน และสภาพจิตใจที่พังทลาย ของผู้คนในสภาวะสงครามอีกด้วย

Der Krieg (1929) โดย Otto Dix
ดั่งเช่นผลงานของ Otto Dix ที่เลือกถ่ายทอดประสบการณ์ของเขาในฐานะทหาร ผ่านผลงานพิมพ์ชุด Der Krieg โดยมีการนำเสนอภาพที่น่ากลัวและรุนแรง ซึ่งสร้างขึ้นจากความทรงจำของเขาเกี่ยวกับสงคราม เพื่อความโหดร้ายของสงคราม ความทุกข์ของทหาร และสภาพร่างกายที่พิการจากสงคราม

Self-Portrait as a Soldier (1915) โดย Ernst Ludwig Kirchner
หรือจะเป็นผลงาน Self-Portrait as a Soldier ของ Ernst Ludwig Kirchner ที่วาดภาพเหมือนในฐานะทหารของตนเองขึ้นมาหลังจากปลดประจำการจากราชการทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สะท้อนถึงสุขภาพจิตและร่างกายที่ไม่มั่นคงเขาเอง รวมถึงยังเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความไม่มั่นคงวุ่นวายของเยอรมนีในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อีกด้วย
ภาพยนตร์แนวลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมัน
อย่างไรก็ตามแม้การเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 จะสร้างความสูญเสียให้กับเยอรมันเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงสภาวะสงครามในทำให้ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมันเติบโตขึ้นและมีการพัฒนาจนสามารถแผ่อิทธิพลไปยังศิลปะแขนงอื่น ๆ ได้ หนึ่งในนั้นคือศิลปะอย่างภาพยนตร์
ย้อนกลับไปในปี 1916 ภาพยนตร์ต่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาในเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของเยอรมัน รัฐบาลเยอรมันจึงตัดสินใจห้ามฉายภาพยนตร์ต่างประเทศทั้งหมด เพื่อให้สตูดิโอในประเทศสามารถผูกขาดตลาดได้อย่างสมบูรณ์และผลิตภาพยนตร์ได้มากขึ้นทุกปีจนประสบความสำเร็จมากขึ้น และด้วยความที่ผู้ชมชาวเยอรมันเริ่มให้ความสำคัญกับภาพยนตร์แนวโรแมนติกและแอ็กชั่นน้อยลงตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ความโหดร้าย และการทรยศหักหลังจึงกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาหลักที่ผู้คนเริ่มสนใจมากขึ้น ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ร่วมกับภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้จึงได้สร้างเวทีให้ผู้กำกับหน้าใหม่ในเยอรมันได้ทดลองสร้างภาพยนตร์ที่หลากหลายและสร้างสรรค์มากขึ้น ทำให้แนวเอ็กซ์เพรสชันนิสม์ของเยอรมันกลายเป็นหนึ่งในกระแสหลักที่สำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

The Cabinet of Dr. Caligari (1920) ของ Robert Wiene
The Cabinet of Dr. Caligari (1920) ของ Robert Wiene ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องสำคัญในยุคนั้นที่เปิดประตูให้ German Expressionism กลายเป็นภาพยนตร์กระแสหลักในเยอรมัน เพราะสามารถนำเสนอประเด็นอำนาจที่โหดร้ายและไร้เหตุผล และสะท้อนความต้องการในจิตใต้สำนึกของสังคมเยอรมันที่มีต่อผู้เผด็จการในยุคนั้น ผ่านสไตล์ภาพที่มืดมนและบิดเบี้ยว รวมถึงการตัดกันของแสงและเงาในการถ่ายทอดสภาพความหวาดกลัวมืดหม่น เพื่อบิดเบือนความเป็นจริง โดยเจตนาเพื่อหลอกล่อผู้ชมให้รู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ แทนที่จะพยายามถ่ายทอดเรื่องราวตามความสมจริง

Nosferatu (1922) ของ F.W. Murnau
เช่นเดียวกันกับเรื่อง Nosferatu (1922) ของ F.W. Murnau ที่ถูกมองว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของภาพยนตร์แนวลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมัน ภาพของแสงและเงา ฉากที่บิดเบี้ยว และภาพของบรรยากาศความสยองขวัญ ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นต้นแบบของหนังสยองขวัญ แวมไพร์ และแนวโกธิคที่ยังมีอิทธิพลต่อสื่อในยุคปัจจุบัน

Metropolis (1927) ของ Fritz Lang
หรือ Metropolis (1927) ของ Fritz Lang ที่ถูกมองว่าเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการออกแบบฉากเพื่อสร้างโลกที่ควบคุมด้วยอารมณ์ความรู้สึกในภาพยนตร์ และยังสามารถสร้างอิทธิพลอย่างล้นหลามต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ในยุคหลัง ตั้งแต่โบสถ์ใหญ่สไตล์โกธิกไปจนถึงทิวทัศน์เมืองในอนาคต อีกทั้งยังสามารถสะท้อนภาพของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมถึงวัฒนธรรมของสาธารณรัฐไวมาร์ในเยอรมนีที่มีต่อความทันสมัยของอเมริกา ลัทธิฟาสซิสต์ และลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ณ ตอนนั้น
ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมัน ศิลปะแห่งความ “เสื่อมทราม” ในสายตาพรรคนาซี
หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมันได้เผชิญกับสภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่แย่ลงเนื่องจากผลกระทบจากสงคราม ความไม่สงบทางการเมืองและสังคม และการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่ตามมา ส่งผลให้เกิดการต่อต้านชาวยิว การข่มเหงคนรักร่วมเพศ อคติทางเพศ และลัทธิชาตินิยม ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้พรรคนาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เรืองอำนาจขึ้นในปี 1933

โปสเตอร์นิทรรศการ Entartete Kunst (1937) ของพรรคนาซี
ในยุคที่นาซีเรืองอำนาจ งานศิลปะและภาพยนตร์แนวสำแดงพลังอารมณ์ได้กลายมาเป็นปฏิปักษ์สำคัญของพรรค โดยในช่วงเวลานั้นพรรคนาซีได้รื้อถอนงานศิลปะมากกว่า 20,000 ชิ้นจากพิพิธภัณฑ์ ผลงานแนวเอ็กซ์เพรสชันนิสม์ในเยอรมันหลายชิ้นถูกยึดและทำลายทิ้ง โดยในปี 1937 พรรคนาซีได้จัดนิทรรศการ ‘Entartete Kunst’ ที่แปลว่า ‘ศิลปะเสื่อมทราม’ เพื่อทำให้เห็นว่าผลงานสมัยใหม่และความเป็นนามธรรมนั้น เป็นผลงานที่เสื่อมทรามและอันตรายต่อระบบการปกครอง ซึ่งทำให้เห็นว่าศิลปินในยุคนั้นถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในศัตรูของรัฐ

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซี ขณะชมนิทรรศการ Entartete Kunst (1937)
ด้วยความที่ศิลปินหลาย ๆ คนถูกจัดว่าให้เป็นศัตรูของรัฐ การแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์และการสร้างศิลปะจึงถูกจำกัดลง อีกทั้งศิลปินหลาย ๆ คนยังสูญเสียตำแหน่งและหน้าที่การงาน ไปจนถึงการต้องลี้ภัยไปยังประเทศอื่น เช่นเดียวกันกับศิลปินชาวยิวหลาย ๆ คน ที่ถูกพวกนาซีสังหารในค่ายกักกัน เหตุนี้เองจึงทำให้ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมันเริ่มซบเซาลง
ถึงแม้ผู้กำกับคนสำคัญหลาย ๆ คนอย่าง F.W. Murnau, Fritz Lang หรือ Billy Wilder จะตัดสินใจย้ายไปทำงานที่ฮอลลีวูดและมีการนำเอาเทคนิคของ German Expressionism ไปใช้กับภาพยนตร์อเมริกัน แต่ด้วยความนิยมของแนว Surrealism และ Realism ที่กลายมาเป็นที่นิยมมากขึ้นในยุโรปและอเมริกา รวมถึงการมาของภาพยนตร์เสียง ทำให้ภาพยนตร์เงียบเริ่มเลือนหายไป ขณะที่ German Expressionism อาศัย การออกแบบฉากและภาพเงาเป็นหลัก เมื่อมีเสียงเข้ามาภาพยนตร์ก็เริ่มเน้นการแสดงบทสนทนาและความสมจริงมากขึ้น ทำให้ Expressionism ค่อย ๆ ถูกลดความสำคัญลง

Nosferatu (2024) ของ Robert Eggers
อย่างไรก็ตามแม้ German Expressionism จะซบเซาลงอย่างมากหลังจากสงงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์เงียบของเยอรมันนั้นก้าวหน้ากว่าฮอลลีวูดอย่างมากในช่วงเวลาเดียวกัน และยังคงส่งอิทธิพลมายังวงการศิลปะในปัจจุบัน โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวกับบรรยากาศมืดหม่น (Dark Atmosphere) ฉากบิดเบี้ยว การใช้แสงและเงาที่รุนแรง (Chiaroscuro) และธีมทางจิตวิทยา
อ้างอิง
Expressionism G. Movements In Film. Movements In Film. Published 2025. Accessed March 12, 2025. https://www.movementsinfilm.com/german-expressionism
Gotthardt A. The German Expressionists’ Shockingly Raw Work Exploded Bourgeois Values and Reinvented Art. Artsy. Published August 31, 2018. Accessed March 12, 2025. https://www.artsy.net/article/artsy-editorial-german-expressionists-shockingly-raw-work-exploded-bourgeois-values-reinvented-art
Harries S. Movements In Film. Movements In Film. Published May 20, 2019. Accessed March 12, 2025. https://www.movementsinfilm.com/blog/german-expressionist-films-1919-1931
What is German Expressionism? 8 Things to Know. National Gallery of Art. Published 2023. Accessed March 12, 2025. https://www.nga.gov/stories/what-is-german-expressionism.html
Wolfe S. Expressionism Art Movement and Famous Expressionism Artists. Artland Magazine. Published November 28, 2018. Accessed March 12, 2025. https://magazine.artland.com/art-movement-expressionism/