History of The Office ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของซีรีส์ออฟฟิศที่ตลก ‘ร้าย’ แบบไม่มีใครเหมือน

Post on 9 September 2025

ไม่ว่าจะเป็นมีมของพนักงานหน้าตาเด๋อด๋าที่จับมือกับเจ้านาย มีมที่พนักงานหันมาสบตากล้องเหมือนขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่มีมคลาสสิกอย่าง “That’s what she said!!!” ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมุกวงในที่กลายเป็นไวรัลในวงกว้าง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากซีรีส์ The Office ที่ออกอากาศครั้งแรกในปี 2005 และผ่านมาเกือบสองทศวรรษแล้ว แต่ยังคงยืนหยัดเป็นหนึ่งในสื่อวัฒนธรรมที่สะท้อนยุคสมัยได้ชัดเจน ทั้งช่วงเวลาที่โทรศัพท์มือถือโนเกียยังครองโลก และภาพสังคมยุค 2000s ได้ครบถ้วนที่สุด

The Office เวอร์ชันที่กล่าวถึงด้านบน เป็นซีรีส์ซิทคอมแบบม็อกคิวเมนทารีของอเมริกาที่สร้างขึ้นจากซีรีส์อังกฤษ The Office ของ BBC ในช่วงปี 2001–2003 ซึ่ง ริกกี้ เจอร์ไวส์ และ สตีเฟน เมอร์แชนต์ เป็นผู้สร้าง และเจอร์ไวส์ยังรับบทนำอีกด้วย ซีรีส์เวอร์ชันอเมริกาถูกดัดแปลงเพื่อออกอากาศทางช่อง NBC โดย เกรก แดเนียลส์ เล่าถึงชีวิตการทำงานประจำวันของพนักงานบริษัทกระดาษสมมติ Dunder Mifflin สาขาสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2005 – 16 พฤษภาคม 2013 รวมทั้งหมด 9 ซีซัน

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมใคร ๆ ถึงอยากดูซีรีส์ที่เล่าเรื่องชีวิตธรรมดาของพนักงานบริษัทที่น่าเบื่อ แต่ความธรรมดาสามัญนี่เองกลับกลายเป็นหัวใจความสำเร็จของ The Office ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่แจ้งเกิดนักแสดงอย่าง จอห์น คราซินสกี ในบทจิม และ สตีฟ แคร์เรล ที่ได้รับแรงส่งจากทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ The 40-Year-Old Virgin ที่ฉายช่วงเวลาใกล้เคียงกันเท่านั้น แต่ยังดึงดูดผู้กำกับชื่อดังมากมายมาช่วยกำกับแต่ละตอน ไม่ว่าจะเป็น เจ.เจ. เอบรัมส์ (Lost, Star Trek), จอส วีดอน (The Avengers, Buffy the Vampire Slayer), มาร์ค เว็บบ์ (The Amazing Spider-Man, 500 Days of Summer), และ จอน แฟฟโรว์ (Iron Man) นอกจากนี้ ซีรีส์ยังกลายเป็นหมุดหมายทางวัฒนธรรมที่เบ่งบานบนชุมชนออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

มรดกของซีรีส์ยุค 2000s เรื่องนี้ยังถูกต่อยอดเป็น The Paper ซีรีส์สปินออฟของ The Office ที่เชื่อมจักรวาลด้วยเรื่องราวของทีมงานถ่ายทำสารคดีเดิม ซึ่งเคยติดตามชีวิตพนักงานของ Dunder Mifflin เมื่อสองทศวรรษก่อน คราวนี้พวกเขาหันมาจับตาชีวิตของหนังสือพิมพ์ Toledo Truth-Teller หนังสือพิมพ์เก่าแก่ประจำแถบมิดเวสต์ที่กำลังตกต่ำ และพยายามฟื้นฟูตัวเองด้วยทีมผู้สื่อข่าวอาสาที่แปลกไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นคุณพี่บัญชี คุณน้าเซลแมน หรือเพื่อนพนักงานฝ่ายขนส่ง ที่ต้องมารับบทนักข่าวจำเป็น ขณะนี้ซีรีส์กำลังสตรีมบน HBO MAX

ในฐานะแฟนคลับที่เปิด The Office เป็นเพื่อนแก้เหงาในวัน WFH เหมือนเรา ระหว่างที่กำลังละเลียดดื่มด่ำกับ The Paper แต่ละตอน เราก็แอบคิดถึงซีรีส์เพื่อนเก่าอย่าง The Office ไม่ได้ จนความคิดถึงนั้นกลายเป็นบทความนี้ที่อยากชวนทุกคนย้อนกลับไปสำรวจจักรวาลคนทำงานเบื่อหัวหน้าด้วยกัน (อุ๊บส์)

ถ้าพร้อมแล้วก็ขอเชิญร่วมดื่มด่ำไปกับเรากันเลย

That’s what she said!!!

จุดกำเนิด The Office จากประสบการณ์สุดขมขื่นในสำนักงาน

เบื้องหลังซีรีส์อังกฤษ The Office ไม่ได้เริ่มจากห้องประชุมใหญ่หรือทีมงานโปรดักชันที่ทุ่มงบมหาศาล หากแต่เกิดขึ้นจากชีวิตจริงที่ขมขื่นในสำนักงานของสองเพื่อนคู่หู ริกกี้ เกอร์ไวส์ และ สตีเฟ่น เมอร์แชนท์ ทั้งคู่ต่างเคยทำงานออฟฟิศมาก่อน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่าอายในออฟฟิศ ความเฟล หรือการพยายามผูกสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานแล้วแป้ก จนกลายมาเป็นวัตถุดิบสำคัญของซิตคอมระดับตำนานเรื่องนี้

ไม่กี่คนจะรู้ว่าแรงบันดาลใจของ The Office เวอร์ชันอังกฤษ จริง ๆ แล้วเริ่มจาก “ความล้มเหลว” ของ ริกกี้ เกอร์ไวส์ เอง เพราะช่วงวัยรุ่นจนยี่สิบต้น ๆ ริกกี้เคยจริงจังกับการเป็นนักร้องป๊อป พยายามเดินตามรอย จอร์จ ไมเคิล แต่ไปไม่ถึงฝัน สุดท้ายต้องกลับมาใช้ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศทั่วไป ทั้งทำงานในออฟฟิศมหาวิทยาลัย ไปจนถึงดีเจวิทยุที่ XFM แต่ประสบการณ์เหล่านี้กลับกลายเป็นขุมทรัพย์แรงบันดาลใจ เมื่อเขาเริ่มสังเกตว่า “ความอึดอัดในที่ทำงาน” มันตลกกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นมุกที่ไม่มีใครขำ หรือการหน้าแตกต่อหน้าหัวหน้า เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้แหละที่เขาเก็บมาปรุง จนกลายเป็นแก่นของ The Office ซีรีส์ที่ทั้งฮาและเจ็บจี๊ดไปพร้อมกัน

ไม่ใช่แค่ริกกี้ที่เคยเจอโลกออฟฟิศสุดอึดอัด เพื่อนซี้อย่าง สตีเฟ่น เมอร์แชนต์ ก็ผ่านมาหมด ตั้งแต่งานฝ่ายร้องเรียนของบริษัทขายของทางไปรษณีย์ ไปจนถึงองค์กรการกุศล ชีวิตการทำงานเหล่านี้ทำให้เขาได้เห็นทั้งโลกของคนใช้แรงงาน (blue-collar) และพนักงานออฟฟิศ (white-collar) อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่เมอร์แชนต์สังเกตคือ คนแต่ละกลุ่มมีวิธีรับมือกับความเครียดแตกต่างกัน และนั่นเองที่ทำให้เขามองเห็นว่า ดราม่าในที่ทำงาน แท้จริงแล้วคือวัตถุดิบชั้นดีที่ต่อมากลายเป็นเสน่ห์หลักของ The Office

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1998 เมื่อเมอร์แชนต์เข้าหลักสูตรฝึกอบรมที่ BBC ซึ่งมอบหมายให้เขาทำสารคดีสั้น ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นเลือกทำเรื่องร้านตัดผมท้องถิ่นหรือปั๊มน้ำมัน เมอร์แชนต์กลับคิดว่า “ทำไมไม่เล่าเรื่องชีวิตในสำนักงานที่ทั้งเขาและริกกี้เจอมานับครั้งไม่ถ้วนล่ะ?” พวกเขาจึงเริ่มนั่งแชร์ประสบการณ์ และค้นพบว่ามี “คนประเภทหนึ่ง” ที่ทุกสำนักงานต้องมี คนที่ละเหี่ยใจที่จะต้องมาทำงานในทุก ๆ วัน แต่ก็ไม่ลาออกสักที หรือเจ้านายที่พยายามทำตัวตลกเพื่อใกล้ชิดลูกน้อง แต่กลับทำให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือน้อยลง

“ในปี 1998 ผมเข้าร่วมหลักสูตรฝึกอบรมที่ BBC และได้แรงบันดาลใจมากมายจากมัน” เมอร์แชนต์เล่า “แม้จะเป็น BBC แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโลกหรูหรา มันก็ยังเป็นเรื่องของคนที่ทะเลาะกันเรื่องเก้าอี้และเครื่องเย็บกระดาษอยู่ดี"

ริกกี้ เจอร์ไวส์ และ สตีเฟ่น เมอร์แชนท์

ริกกี้ เจอร์ไวส์ และ สตีเฟ่น เมอร์แชนท์

จากบทสนทนานี้เอง ได้กลายเป็นรากฐานของตัวละคร เดวิด เบรนต์ ผู้จัดการสำนักงานที่อยากให้ลูกน้องทุกคนรักเขาอย่างหมดใจ แต่กลับเลือกใช้วิธีผิด ๆ เช่น มุกที่ทำให้คนอื่นอับอาย หรือคำพูดเชิงเกี้ยวพาราสีที่ไม่เหมาะสม เขาคือภาพสะท้อนของผู้ชายในออฟฟิศหลายคนที่ทั้งคู่เคยเจอมาตลอดชีวิต และถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน ระหว่างความปรารถนาที่อยากได้รับการยอมรับ กับความไร้เดียงสาและความ “ไม่ฉลาด” ทางสังคม

ทั้งคู่ทำเดโมสั้นชื่อ Seedy Boss โดยจำลองเหตุการณ์จริงที่ริกกี้เคยเจอ นั่นคือฉากเจ้านายพยายามโกหกเล็ก ๆ เพื่อเอาใจคนสมัครงาน พวกเขาส่งเดโมให้ BBC และได้รับไฟเขียวทันที ผลงานนี้ต่อยอดจนกลายเป็น The Office ที่เรารู้จักกัน

สิ่งที่ทำให้ซีรีส์โดดเด่นไม่ใช่แค่ตัวละคร แต่คือ “รูปแบบการเล่าเรื่อง” The Office ถ่ายทำในสไตล์สารคดีจำลอง (mockumentary) โดยให้กล้องทำหน้าที่เป็นสายตาที่สอดส่องตลอดเวลา บรรยากาศสำนักงานถูกย้ายไปถ่ายจริงในออฟฟิศเก่าที่เกือบร้าง แทบไม่มีการจัดไฟ และนักแสดงต้องอยู่กองถ่ายตลอดวันเพื่อสร้างบรรยากาศสมจริง เทคนิคนี้ทำให้ทุกบทสนทนาดูเหมือนเกิดขึ้นเอง ภาพฟุตเทจถูกทำสีซีดเหมือนฟิล์มเก่าที่เพิ่งค้นพบ เพิ่มความรู้สึกว่าผู้ชมกำลังดูชีวิตสุดน่าเบื่อในออฟฟิศจริง ๆ

ฉากหลังของเรื่องถูกกำหนดให้อยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า สเลาห์ (Slough) ที่ผู้สร้างเลือกด้วยเหตุผลว่ามัน “ไม่โดดเด่นอะไรเลย” ตามที่เมอร์แชนต์อธิบายว่า “อยู่ใกล้ลอนดอน แต่ก็ยังไม่ถึงลอนดอนจริง ๆ” ซึ่งสะท้อนความรู้สึกติดอยู่ในพื้นที่ตรงกลาง กลับตัวไม่ได้ เดินต่อไปก็ไม่ถึง ซึ่งตัวละครและชาวออฟฟิศในชีวิตจริงหลายคนต้องเผชิญ

เมื่อ The Office ออกอากาศครั้งแรกทาง BBC Two วันที่ 9 กรกฎาคม 2001 เรตติ้งจัดว่าต่ำเอามาก ๆ แต่เสียงปากต่อปากช่วยให้มันค่อย ๆ ดังขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในซิทคอมอังกฤษที่ประสบความสำเร็จที่สุด ขายลิขสิทธิ์ไปกว่า 80 ประเทศ และถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในซีรีส์โทรทัศน์ที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 ทั้งที่มีเพียง 2 ซีซัน 12 ตอน และตอนพิเศษคริสต์มาสอีก 2 ตอนเท่านั้น ด้วยความแหลมคมในการเสียดสีผสมกับความตลกสมจริง ทำให้มันถูกยกให้เป็น “คลาสสิกตลอดกาล”

ทีมนักแสดงในตำนาน

จากเกาะอังกฤษ The Office ข้ามน้ำข้ามทะเลไปอยู่ในมือของผู้จัดอย่าง เกร็ก แดเนียลส์ และ เบน ซิลเวอร์แมน ซึ่งหลังได้ไฟเขียวให้เดินหน้า พวกเขาก็ต้องเจอกับงานที่ยากที่สุด นั่นคือการหานักแสดงที่จะสามารถสู้กับต้นฉบับอังกฤษได้ ด้วยเหตุนี้ กระบวนการคัดเลือกนักแสดงของพวกเขาจึงไม่เหมือนซีรีส์ทั่วไป นักแสดงถูกเรียกมาแคสต์ในฉากที่จะใช้ถ่ายทำจริง และพวกเขาต้องด้นบทแบบสด ๆ กับฉากที่เป็นโต๊ะทำงานหรือเครื่องถ่ายเอกสาร เพื่อให้การแสดงเป็นธรรมชาติที่สุด และสามารถจับเคมีระหว่างนักแสดงได้จริง ๆ

ตัวละครหลักถูกออกแบบไว้อย่างชัดเจน เริ่มจาก ไมเคิล สก็อตต์ (สตีฟ แคร์เรล) ผู้จัดการออฟฟิศขี้โอ่ มั่นใจเกินเหตุ แต่มีความกระตือรือร้นแบบเด็ก ๆ ซึ่งทีมงานต้องการนักแสดงที่หน้าตาธรรมดา แต่มีพลังสดใส แลถ่ายทอดรายละเอียดเล็ก ๆ ได้ขำขันอย่างเป็นธรรมชาติ ถัดมาคือตัวละคร ดไวท์ ชรูท (เรนน์ วิลสัน) ผู้ช่วยผู้จัดการผู้บูชาสไมเคิล สก็อตต์ อย่างสุดหัวใจ ตัวละครนี้ต้องการนักแสดงที่ภาพลักษณ์เนิร์ดเต็มขั้น แต่ก็พูดเรื่องเพี้ยน ๆ ได้อย่างหน้าตายจริงจัง ขณะที่ จิม ฮัลเพิร์ต (จอห์น คราซินสกี) เป็นพนักงานขายหนุ่มฉลาด มีเสน่ห์แบบพี่ชายข้างบ้าน ใช้เพียงสายตาหรือท่าทางเล็ก ๆ ก็สื่ออารมณ์ได้ทันที และปิดท้ายด้วย แพม บีสลีย์ (เจนน่า ฟิชเชอร์) พนักงานต้อนรับสาวใจดี อารมณ์ขันอ่อนโยน น่ารักแบบเรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดใจผู้ชม

การออดิชันเริ่มต้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 เรนน์ วิลสัน มาทดสอบบทไมเคิลแต่ไม่ผ่าน ทว่าพอได้ลองอ่านบทดไวท์ก็เอาบทแบบอยู่หมัด ด้าน เจนน่า ฟิชเชอร์ ก็ได้รับคำรับบรีฟจากทีมงานให้ “เล่นให้ธรรมดาที่สุด อย่าพยายามทำให้ตลก” เธอจึงตีความตัวละครให้เป็นสาวธรรมดา ๆ ไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วมีไหวพริบและแอบ 'จัดจ์' เพื่อนร่วมงาน ซึ่งฟิชเชอร์ก็ทำได้ดีถึงขนาดที่ผู้กำกับอย่าง เกร็ก แดเนียลส์ ถึงกับถามว่า “คุณเป็นพนักงานต้อนรับจริง ๆ ใช่ไหม?”

จอห์น คราซินสกี แม้จะมีประสบการณ์น้อยที่สุด แต่เมื่อถํูกจับมาเข้าคู่อ่านบทร่วมกับ เจนน่า ฟิชเชอร์ เคมีก็ระเบิดทันที พวกเขาเล่นฉากด้นสดใกล้เครื่องถ่ายเอกสารที่ทำให้ทีมงานรู้เลยว่า เรื่องราวโรแมนติกระหว่างจิมและแพมจะเป็นศูนย์ของเรื่อง ส่วนบท ไรอัน พนักงานชั่วคราว ทีมงานเลือก บี. เจ. โนวัค จากไหวพริบความฉลาดที่แสดงออกผ่านการเขียนบทและเล่นสแตนด์อัพของเขา นอกจากนี้เขายังเคยทำงานกับคราซินสกีตั้งแต่มัธยม ทั้งคู่เคยเล่นละครตลกในโรงเรียนด้วยกัน และบังเอิญได้มาพบกันอีกครั้งในกองนี้

การหานักแสดงสำหรับ ไมเคิล สก็อตต์ เป็นงานยากที่สุด มีนักแสดงหลายคนตบเท้ามาเข้าชิงบท ไม่ว่าจะเป็น บ็อบ โอเดนเคิร์ก, เดวิด โคชเนอร์, หลุยส์ ซี.เค., พอล เจียมาติ, ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน แต่สุดท้าย สตีฟ คาเรลล์ ที่เพิ่งขโมยซีนแจ้งเกิดจาก Bruce Almighty ก็คว้าบทนี้ไป เพราะทีมงานมองว่าบุคลิกของเขาเข้ากับไมเคิลที่สุด

ทีมงานตั้งใจคัดเลือกนักแสดงที่คนดูไม่คุ้นหน้า เพื่อรักษาความสมจริงแบบสารคดี และทำให้เกิด ensemble cast ที่เหมือนชีวิตจริงในออฟฟิศอเมริกัน กระบวนการคัดเลือกจึงเต็มไปด้วยความพิถีพิถัน ตั้งแต่การทดลองอ่านบท การจับคู่ตัวละคร ไปจนถึงการมองหานักแสดงที่อาจดูธรรมดา แต่สามารถถ่ายทอดพลังการแสดงที่เข้าถึงได้ กระบวนการเหล่านี้ทำให้ The Office เวอร์ชันอเมริกันก้าวข้ามจากการเป็นเพียงงานดัดแปลง ด้วยแรงบันดาลใจจากต้นฉบับอังกฤษ ไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน

โลกที่ “ธรรมดาจนพิเศษ” ของ Dunder Mifflin

ในปี 2005 ทีมนักแสดง The Office มารวมตัวกันในสำนักงานเล็ก ๆ ที่คัลเวอร์ซิตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่ออ่านบทตอนนำร่อง หลังการอ่านจบ เหล่าผู้บริหารของสตูดิโอและช่องต่างพากันถามหาฉากถ่ายทำ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจ

“คุณกำลังนั่งอยู่ในฉากแล้ว”

ความสมจริงที่ผสานเข้ากับสถานที่ธรรมดา ๆ นี่เอง กลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของ The Office ซึ่งออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2005 และแม้เวลาจะผ่านมากว่า 15 ปี ซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังครองใจแฟน ๆ อย่างเหนียวแน่นไม่เสื่อมคลาย

The Office ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของพนักงานบริษัทกระดาษ Dunder Mifflin ในเมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย โดยขุดลึกถึงทั้งความสุข ความทุกข์ และความประหลาดเล็ก ๆ ในที่ทำงานธรรมดา ๆ เพื่อให้โลกสมจริงที่สุด ผู้ออกแบบฉาก สตีฟ รอสตีน จึงได้รับมอบหมายให้สร้างสภาพแวดล้อมที่เรียบง่ายจนไม่สะดุดตา แต่กลับทำให้ผู้ชมเชื่อสนิทใจว่า “นี่คือออฟฟิศจริง” เขาเลือกซื้อภาพศิลปะที่ดูน่าเบื่อ ๆ มาติดผนัง หาโต๊ะทำงานเก่ากับตู้เก็บเอกสารมาจากธนาคาร แต่เมื่อมันดูใหม่เกินไป ก็ให้ช่างไม้ขัดขอบออกจนดูโทรมและเบียดวางได้แน่นขึ้น ผลลัพธ์คือสำนักงาน Dunder Mifflin ที่สมจริงถึงขั้นที่แขกที่มาเยี่ยมกองถ่ายบางคนเผลอถามหาห้องน้ำ ทั้งที่มันไม่เคยใช้งานได้จริงเลย

หลังจบซีซันแรก เกร็ก แดเนียลส์ ผู้สร้างและโชว์รันเนอร์ ตัดสินใจย้ายกองถ่ายไปยัง Chandler Valley Center Studios ในซานแฟร์นันโด แวลลีย์ เพื่อหลีกเลี่ยงบรรยากาศจำเจของสตูดิโอซิตคอมทั่วไป แมตต์ ฟลินน์ ผู้ออกแบบศิลป์และการผลิต เล่าว่า แดเนียลส์ตั้งใจให้ The Office แตกต่างจากซิตคอมแบบดั้งเดิม ขณะที่เคน ควาพิส ผู้กำกับตอนนำร่องเสริมว่า สถานที่ถ่ายทำใหม่เดิมทีเป็นเพียงย่านโรงงานโล่ง ๆ ซึ่งเคยใช้ถ่ายหนังโป๊เสียมากกว่า ความไร้เสน่ห์เช่นนี้กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้นักแสดงไม่รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโลก “จำลอง” แบบฮอลลีวูด

สำนักงาน Dunder Mifflin ถูกออกแบบให้เป็นแปลนเปิด เพื่อให้กล้องสามารถจับภาพนักแสดงได้จากทุกมุม ผลคือทุกคนต้อง “อยู่ในบทบาท” ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีบทพูดหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างจิม และ แพม ยังถูกสะท้อนผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างการจัดวางโต๊ะ ที่บังคับให้จิมต้องหมุนตัวหันไปมองแพมเสมอ ขณะที่ห้องประชุมก็จงใจออกแบบให้เล็กและอึดอัดโดยไม่สามารถเคลื่อนย้ายผนังได้ ทำให้ทั้งนักแสดงและทีมงานต้องเบียดเสียดอยู่ร่วมกันในพื้นที่คับแคบ ผลลัพธ์คือบรรยากาศที่ย้ำชัดว่านี่คือ “สถานที่ทำงานจริง” ไม่ใช่ฉากโมดูลาร์สวยงามแบบละครโทรทัศน์ทั่วไป

ความสมจริงยังถูกขยายไปถึงรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้ The Office ผูกโยงเข้ากับเพนซิลเวเนียอย่างแนบเนียน ฟิล เชีย ผู้ดูแลอุปกรณ์ประกอบ ต้องบินไปสแครนตันเพื่อเก็บข้อมูลจากหอการค้าท้องถิ่น ก่อนจะบินกลับมาแล้วสร้างของประกอบฉากจากข้อมูลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสมุดโน้ตจากร้านค้าในเมือง สติ๊กเกอร์จากสถานีวิทยุ Froggy 101 ป้ายไฟนีออนของบริษัทเบียร์ท้องถิ่น หรือแม้แต่มันฝรั่งทอด Herr’s ที่ผลิตในรัฐเดียวกัน รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มน้ำหนักความสมจริงให้โลกของ Dunder Mifflin แต่ยังช่วยให้นักแสดงรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้นราวกับทำงานอยู่ในออฟฟิศแห่งนั้นจริง ๆ

รายละเอียดเล็ก ๆ เช่นนี้เองคือหัวใจของ The Office ถึงขั้นที่ทีมเขียนบทกำหนดให้ฉากขอแต่งงานของจิมและแพมต้องเกิดขึ้นที่ปั๊มน้ำมันกึ่งกลางระหว่างนิวยอร์กซิตี้กับสแครนตัน เพื่อสะท้อนความเป็น “ชีวิตจริง” ให้ได้มากที่สุด ไมเคิล กัลเลนเบิร์ก ผู้ออกแบบการผลิตในตอนนั้น จึงบินไปถึงคอนเนตทิคัตเพื่อเก็บภาพสถานที่จริง ก่อนจะกลับมาสร้างฉากจำลองขึ้นใหม่ที่ลานจอดรถในลอสแอนเจลิส ตั้งแต่หัวจ่ายน้ำมันไปจนถึงพื้นถนน ทุกอย่างถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อรักษาความสมจริงที่เป็นหัวใจของซีรีส์

เรื่องเล่าการสร้างตอนนำร่อง The Office (อเมริกัน)

ในปี 2004 ทีมงานเริ่มถ่ายทำตอนนำร่องของ The Office เวอร์ชันอเมริกัน โดยเลือกวิธีที่หลายคนภายหลังมองว่าเป็น “ความผิดพลาด” นั่นคือการนำบทนำร่องของเวอร์ชันอังกฤษมาสร้างใหม่แทบจะถอดคำต่อคำ และได้ผู้กำกับ เคน ควาพิส (Ken Kwapis) มาคุมงาน

โปรดิวเซอร์ เบน ซิลเวอร์แมน เล่าว่า เป้าหมายแรกของพวกเขาคือการเลียนแบบต้นฉบับอังกฤษให้ได้มากที่สุด ขณะที่จอห์น คราซินสกี ยอมรับว่านักแสดงและทีมงานไม่ได้ตื่นเต้นนักกับการทำตามแบบเดิม แต่ก็เข้าใจว่านี่เป็นการทดสอบ เพื่อเปรียบเทียบกับต้นฉบับอังกฤษว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ในขณะเดียวกัน พอล ฟีก ก็กล่าวว่าเขาเคยได้ยินมาว่า ข้อตกลงกับ ริกกี้ เกอร์ไวส์ คือจะต้องถ่ายนำร่องตามสคริปต์อังกฤษทุกคำ ซึ่งเจ้าตัวมองว่าเสี่ยงไม่น้อย ส่วน ริกกี้ เกอร์ไวส์ เองก็เคยกล่าวว่า “มันแปลกที่พวกเขาทำซ้ำตอนนำร่องของเราเลย ไม่เห็นจำเป็นตรงไหน” แต่สุดท้ายเขาก็ยอมรับว่าซีรีส์พัฒนาขึ้นมาก เมื่อทีมอเมริกันเริ่มเดินตามแนวทางและสไตล์ของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เกร็ก แดเนียลส์ หัวหน้าทีมสร้างบอกว่าการทำให้นำร่องเหมือนเวอร์ชันอังกฤษนั้นจำเป็น เพื่อทดสอบความอดทนของ NBC ว่าพร้อมจะรับรายการแนวใหม่แบบนี้ไหม ในยุคนั้นที่ช่องมีซิทคอมดังอย่าง Will & Grace ที่ต่างแนวไปเลย

ตอนนำร่องยังเป็นช่วงที่นักแสดงได้เรียนรู้ตัวละครและทำความคุ้นเคยกับรูปแบบ mockumentary (สารคดีจำลอง) ครีด แบรตตัน เล่าว่า เกร็ก แดเนียลส์ บอกกับทุกคนตั้งแต่วันแรกว่า “เราจะไม่ใส่เสียงหัวเราะ จะปล่อยให้มีช่วงเงียบ ๆ ที่น่าอึดอัด ผมไม่รู้ว่าคนจะชอบหรือเปล่า แต่เราจะลองทำ” ส่วน เมโลรา ฮาร์ดิน ผู้รับบท แจน ก็เล่าว่าครั้งหนึ่งมือถือของเธอดังขึ้นก่อนเข้าฉาก แต่ผู้กำกับเคนกลับบอกให้เปิดไว้ เพราะอยากได้โมเมนต์โทรศัพท์จริง ๆ ระหว่างถ่ายทำ

รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน แครี เบนเน็ตต์ ดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าเล่าว่า ตอนแรกเธอตกใจที่นักแสดงสามคนใส่เสื้อเชิ้ตขาวเหมือนกัน ซึ่งปกติเป็นสิ่งที่คนทำคอสตูมจะหลีกเลี่ยง แต่ผู้กำกับเคนกลับบอกว่า “เพราะมันรบกวนใจคุณ นั่นแหละคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว” แสดงถึงความตั้งใจให้ทุกอย่าง “สมจริง” แบบที่ไม่สวยงามเหมือนฉากหนังทั่วไป

บรรยากาศกองถ่ายเต็มไปด้วยการทดลอง นักแสดงทุกคนต้องอยู่ที่กองตลอดทั้งวัน แม้ไม่มีฉากของตัวเอง ทุกคนมีโต๊ะประจำและตกแต่งเองเพื่อสร้างความเป็นธรรมชาติ เจนน่า ฟิชเชอร์ ที่เล่นเป็นแพม เล่าว่า โมเมนต์ที่เธอกำลังใช้ลิควิดลบข้อความในกระดาษ ซึ่งไปโผล่อยู่ในเครดิตตอนเปิดนั้น เกิดขึ้นจากการที่เธอทำอะไรก๊อก ๆ แก๊ก ๆ บนโต๊ะระหว่างถ่ายภาพรวมของสำนักงาน ไม่ใช่ฉากที่โฟกัสเธอจริง ๆ ด้วยซ้ำ

ในด้านเนื้อเรื่อง ตอนนำร่องแนะนำตัวละครหลัก ๆ เช่น ไรอันที่เป็นตัวแทนผู้ชม ถูกไมเคิล สก็อต พาเดินแนะนำสำนักงาน รวมถึงปูเรื่องรักไม่สมหวังของจิมที่แอบชอบแพม ซึ่งหมั้นกับ รอย พนักงานคลังสินค้า และยังเผยให้เห็นความขัดแย้งระหว่างจิมกับดไวต์ รวมถึงปัญหาการเงินของบริษัทที่อาจทำให้ต้องปลดพนักงาน

ฉากที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ ไมเคิลแกล้งไล่แพมออกต่อหน้าไรอัน จนเธอร้องไห้ไม่หยุด ซึ่งเป็นฉากที่ถอดแบบจากเวอร์ชันอังกฤษ แต่กลับออกมาเคร่งขรึมและไม่ขำเท่าต้นฉบับ หลายคนรวมถึงนักวิจารณ์มองว่านี่คือจุดอ่อนสำคัญ เพราะทำให้ตัวละครไมเคิลดูโหดร้ายเกินไป ต่างจากเวอร์ชันอังกฤษที่ยังมีความ “น่าขัน” อยู่บ้าง

The Office เวอร์ชันอเมริกัน: การเริ่มต้นที่เสี่ยงและการต่อสู้เพื่ออยู่รอด

เพียงห้าวันหลังจากตอนนำร่องออกอากาศ The Office ก็ปล่อยตอน Diversity Day ตามมา แต่เรตติ้งกลับร่วงเกือบครึ่ง เหลือผู้ชมเพียง 6 ล้านคน ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขยังลดลงต่อเนื่องจนเหลือแค่ 4.8 ล้านในตอนสุดท้ายของซีซันแรก บรรดานักแสดงหลายคนเริ่มไม่แน่ใจว่าซีรีส์จะไปต่อได้ และบางคนถึงขั้นมองหางานใหม่แล้ว แต่โชคดีที่ เควิน เรลลี หัวหน้า NBC ในตอนนั้นยังเชื่อมั่นและยืนหยัดสนับสนุนเต็มที่ ความเชื่อใจครั้งนั้นเองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เปิดทางให้ The Office ได้พิสูจน์ตัวเองและก้าวขึ้นมาเป็นซิทคอมระดับตำนาน

แม้ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่จะโหวต “ไม่เอา” แต่กลับเป็นกลุ่มผู้ช่วยและผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบ The Office และช่วยดันให้ซีรีส์มีโอกาสไปต่อ พอเข้าสู่ซีซันสอง ตัวละครส่วนใหญ่แทบไม่ต้องปรับอะไรมาก แต่คนที่ถูกโฟกัสหนักที่สุดคือ ไมเคิล สก็อต เพราะในซีซันแรกเขาดูร้ายกาจและน่าหมั่นไส้เกินไป ทีมเขียนบทจึงวางเป้าหมายใหม่ให้ไมเคิล “มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ไม่ใช่แค่หัวหน้าสุดกวน แต่เป็นคนที่ผู้ชมทั้งหมั่นไส้ ทั้งเอาใจช่วย และเผลอผูกพันไปกับเขาในเวลาเดียวกัน

คนที่ออกตัวแรงที่สุดว่าต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ของไมเคิลใหม่ ก็คือผู้กำกับ เกร็ก แดเนียลส์ เขาและทีมเขียนจึงเริ่มปรับจากหัวหน้าที่ร้ายกาจ น่าหมั่นไส้ ให้กลายเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า จนผู้ชมมองเห็นความเปราะบางของเขา แตกต่างจาก เดวิด เบรนต์ ในเวอร์ชันอังกฤษที่อยากได้ชื่อเสียงเป็นหลัก แต่สำหรับไมเคิล เขาไม่ได้อยากดังอะไรเลย สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงอย่างเดียวคืออยากให้ทุกคนรักเขาเท่านั้น

แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทรงผมและรูปลักษณ์ของไมเคิลถูกปรับเพื่อให้ดูนุ่มนวลขึ้นในสายตาผู้ชม จากสไตล์ slicked-back แบบนักขายรถมือสอง กลายเป็นทรงที่มีวอลลุ่มและดูเป็นมิตรมากขึ้น ความเปราะบางของไมเคิลเริ่มเด่นชัดในตอน Office Olympics เมื่อไมเคิลเกิดตื่นตระหนกเรื่องซื้อคอนโด โมเมนต์เหล่านี้ทำให้ผู้ชมเห็นความเป็นมนุษย์ของไมเคิล ไม่ใช่แค่เจ้านายสุดเฮี้ยบ

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการที่แคร์เรลเติมรายละเอียดเล็ก ๆ ลงไปในตัวละครไมเคิล เช่น เมื่อเขาร้องไห้ตอนรับถ้วยรางวัลที่ทำจากฝาปิดโยเกิร์ต ซึ่งทำให้ไมเคิลกลายเป็นตัวละครที่ผู้ชมเห็นใจและเข้าใจ ในซีซันสอง ไมเคิลได้เปลี่ยนภาพลักษณ์จากศัตรูของลูกน้องในซีซันหนึ่ง มาเป็นเจ้านายที่อยากให้ทุกคนเป็นครอบครัว และนี่คือแก่นแท้ของซีรีส์ที่ผู้สร้างยืนยันว่า แท้จริงแล้ว The Office ไม่ใช่แค่คอมเมดี้ในออฟฟิศ แต่เป็นเรื่องรักที่ปลอมตัวเป็นคอมเมดี้

ก่อนออกอากาศตอนแรกของซีซันสอง ทีมงานตื่นเต้นกันสุด ๆ เพราะ สตีฟ แคร์เรล ไปคว้ารางวัลนำแสดงชายยอดเยี่ยมในสาขาซีรีส์มาได้ และกลายเป็นสัญญาณรับประกันว่าซีรีส์จะได้ไปต่อแบบยาว ๆ หลังจากที่นักแสดงหลายคนเริ่มถอดใจ และคิดว่าอาจต้องกลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม

สุดท้ายแล้ว The Office ก็กลายเป็นรายการเขียนบทที่มีเรตติ้งสูงสุดของ NBC โดยตอนที่เรตติ้งสูงสุดคือ “Stress Relief” มีผู้ชม 22.9 ล้านคน ออกอากาศหลัง Super Bowl XLIII แม้ซีซันหลังเรตติ้งลดลง แต่ยังเป็นหนึ่งในรายการ NBC ที่มีเรตติ้งสูงสุด และในปี 2020 ซีรีส์ยังเป็นรายการที่สตรีมมากที่สุดในสหรัฐฯ มีผู้ชมรวม 57 พันล้านนาที

วันสุดท้ายในออฟฟิศ

ตลอดการฉายเก้าซีซันของ The Office เซ็ตโกดังของ Dunder Mifflin เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งสนุกและซึ้ง ตั้งแต่ฉากการจัดงานนั่งยาง ‘เผา’ ไมเคิล สก็อต อย่างโหดเหี้ยม ไปจนถึงงานปาร์ตี้คาสิโนที่จิมรวบรวมความกล้าเพื่อสารภาพรักกับแพม แต่เมื่อใกล้ถึงตอนจบของซีซันที่เจ็ดในฤดูใบไม้ผลิปี 2011 สถานที่ถ่ายทำแห่งนี้กลับกลายเป็นสถานที่งานอำลาจริง ๆ ของสตีฟ คาเรลล์

ตลอดวัน นักแสดงทุกคนต้องต่อสู้กับน้ำตาจริง ๆ ตลอดการถ่ายทำฉากสุดท้ายของไมเคิล สก็อต คาเรลล์กล่าวคำอำลาโดยมีเค้กรูปแก้ว “World’s Best Boss” เสื้อฮอกกี้ Dunder Mifflin และพิซซ่าสี่ถาดจากร้านโปรด อยู่ข้าง ๆ และถึงกับมีการเตรียมกล่องทิชชู่วางไว้ใกล้ไมโครโฟน เพราะรู้ว่าจะมีน้ำตาเกิดขึ้นแน่นอน

นักแสดงหลักอย่าง จอห์น คราซินสกี, เจนนา ฟิชเชอร์, เอด เฮล์มส์, มินดี้ คาลิง และ เรนน์ วิลสัน มายืนรวมกันขณะที่คาเรลล์กล่าวทักทายแต่ละฝ่ายทีละคน ก่อนจะจบด้วยการเรียกทุกคนมาร่วมกันตะโกนสโลแกนที่เป็นเอกลักษณ์ของไมเคิล สก็อต “That’s what she said!”

วันสุดท้ายของ สตีฟ คาร์เรล ในกองถ่าย The Office

วันสุดท้ายของ สตีฟ คาร์เรล ในกองถ่าย The Office

คาเรลล์กล่าวอย่างซึ้งใจว่า “ผมไม่ได้เตรียมพูดอะไรเพิ่มเติม นี่มันมากเกินไป เจ็ดปีนี้เป็นช่วงเวลาที่วิเศษสำหรับผม ภรรยาของผมบอกว่า ‘ตัวตนของคุณผูกติดกับซีรีส์เรื่องนี้’ และ ‘พวกเขาคือเพื่อนของคุณ’” โดยที่ตอนที่คาร์เรลพูดคำว่า “เพื่อน” ออกมา เขาก็สะอื้นอย่างหนัก และต้องวิ่งออกไปหาภรรยาของเขา ขณะที่ทุกคนตะโกนว่า “เรารักคุณ สตีฟ”

เมื่อทีมงานมารวมตัวกันครั้งแรกเพื่อถ่ายทำตอนนำร่อง คาเรลล์ถือเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุด ขณะที่นักแสดงคนอื่นยังไม่ดังและบางคนก็ทำงานประจำเพื่อหาเลี้ยงชีพ ซีรีส์ที่เริ่มต้นในปี 2005 ดูเหมือนจะเจอชะตากรรมเหมือนซิทคอมอื่น ๆ ที่ออกไม่กี่ตอนก็ไม่ไปต่อ แต่สิ่งที่ช่วยชีวิตรายการไว้คือ สตีฟ คาเรลล์ เขาช่วยเปลี่ยนไมเคิล สก็อต จากหัวหน้าที่เห็นแก่ตัวให้กลายเป็นคนทะเล้น น่ารัก มีหัวใจ และโหยหาความรัก ทำให้ผู้ชมทั้งหัวเราะ ทั้งเอาใจช่วยไปพร้อมกัน

หลังจากคาเรลล์โบกมือลาจอไป ซีรีส์ยังเดินต่ออีกสองซีซัน แต่ทุกคนรู้ดีว่า The Office ที่ไม่มีไมเคิล สก็อต เป็นเรื่องเสี่ยง แม้ว่าในซีซันสุดท้ายจะมีตัวละครหลักเพิ่มจำนวนสูงสุดถึง 19 คน แต่ก็ไม่มีใครมาแทนตัวละครที่หายไปอย่างไมเคิล สก็อตต์ ได้ สิ่งนี้กลับย้ำชัดว่าไมเคิล สก็อต เป็นตัวละครสำคัญที่รายการไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีเขา

เมื่อเวลาผ่านไป (โดยที่แฟน ๆ เริ่มให้อภัยความวายป่วงสุดแป้กที่เกิดขึ้นในสองซีซันสุดท้าย) The Office เวอร์ชันอเมริกันก็ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในซิทคอมที่ดีที่สุดตลอดกาล อยู่เคียงข้าง I Love Lucy, Seinfeld, Cheers และ The Simpsons แต่แตกต่างตรงที่ The Office เป็นซิทคอมที่ถ่ายทจากมุมมองของ “กล้องเดียว” ถ่ายทอดเรื่องราวเหมือนสารคดีจริง บาร์ทั่วประเทศเต็มไปด้วยแฟน ๆ ในการแข่งขันตอบคำถาม The Office ทุกสัปดาห์ ช่อง Comedy Central และ Nick at Nite ออกอากาศซ้ำเกือบทุกคืน และ Comcast จ่ายเงิน 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อสิทธิ์สตรีมมิ่งจาก Netflix ในปี 2021

นักเขียนและผู้กำกับหลายคนบอกว่าความสำเร็จของ The Office มาจากการนำเสนอคอมเมดี้แบบเรียบง่ายและมุกแป้กในบางครั้ง เน้นพฤติกรรมมนุษย์แทนมุกตลก ทำให้ผู้ชมเชื่อมโยงกับตัวละครได้ ไม่ว่าจะเป็นจิมที่ชอบหันมามองกล้องแบบละเหี่ยใจ หรือไมเคิลและดไวต์ที่สร้างนำเสนอความตลกด้วยพฤติกรรมเกินจริง แต่ยังสะท้อนชีวิตจริง

ในขณะเดียวกัน รายการยังสะท้อนความรู้สึกของคนทำงานทั่วไป ไม่ใช่ชีวิตหรูหราเหมือนซีรีส์อื่น ๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้ The Office แตกต่างและทรงพลัง

ครีด แบรตตัน กล่าวว่า “ไม่แน่ใจว่าเป็นซีซันไหน แต่วันหนึ่งเรานั่งอยู่บนเซ็ต สตีฟมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า ‘เราจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีแบบนี้อีกแล้ว’ เขาไม่ใช่คนพูดอะไรซึ้ง ๆ แบบนี้ แต่ครั้งนั้นเขาพูด และมันจริง เราจะไม่มีรายการทีวีแบบนี้อีกแล้ว มันเป็นไปไม่ได้”