“ผีคือความเป็นจริง” คุยกับกรกฤต อรุณานนท์ชัย ว่าด้วยความทรงจำ แก่นความคิด และจินตนาการของงาน Ghost

Post on 7 November 2025

เมื่อเจ็ดปีก่อน เทศกาลศิลปะ Ghost:2561 เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และทำให้หลายคนได้ทำความรู้จักผลงานของศิลปินระดับโลกมากมาย ที่ทำงานด้วยสื่อศิลปะที่อิงกับเวลา (Time-based Media) อย่างภาพเคลื่อนไหวและการแสดงสด แต่มันคือการฟูมฟักแนวคิด แนะนำวิธีการทำงาน หรือการแทรกแซงเข้าไปในปฏิบัติการทางสังคมอะไรอีกบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น

ท่ามกลางแสงเงาสีขาวดำ และจิตวิญญาณแห่งภูติผีในงาน Ghost:2568 (งานครั้งสุดท้ายของซีรีส์เทศกาล Ghost ในปีนี้) GROUNDCONTROL อยากย้อนหาแก่นความคิด ความทรงจำ และจินตนาการต่อถึงมรดกของเทศกาลที่คอศิลปะสายวิพากษ์ไม่อยากพลาดงานนี้ กับกรกฤต อรุณานนท์ชัย หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งงาน

“ดูความนิยมในการจัดงานศิลปะร่วมสมัย มันก็เชื่อมโยงกับระบบการศึกษาแบบตะวันตกมาก ๆ ซึ่งเราก็ชื่นชม แต่ทฤษฎีที่มีฐานอยู่บนโลกตะวันตก การศึกษาแบบตะวันตก หรือภูมิปัญญาแบบตะวันตก มันกลายเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งศิลปะ ที่ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ถึงจะเข้าใจศิลปะได้”

“เราอยากนำเรื่องวิญญาณนิยม (Animism) หรือเรื่องพิธีกรรมมาใช้คิดในปฏิบัติการทางศิลปะ เราพิจารณาว่าจะจัดแสดงอย่างไร จากแง่มุมเรื่องจิตวิญญาณหรือวิญญาณนิยม —ไม่ใช่แค่การสร้างศิลปะเกี่ยวกับจิตวิญญาณนะ— แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ สร้างบทสนทนา นำแนวความคิดเรื่องพิธีกรรมมาพูดถึงงานศิลปะ เราคิดว่านี่คือการคืนความเป็นจิตวิญญาณให้กับเรื่องต่าง ๆ ของชีวิตปัจจุบัน”

“เรามีคำว่า Ghost (ภูติผี), Host (ที่สิงสู่), และ Possession (การสิงสู่) เป็นวิธีปฏิบัติ (Praxis) ซึ่งเมื่อก่อนคำเหล่านี้อาจยังมีสถานะในเชิงอุปมาอุปมัยอยู่ ว่ามันเปรียบเทียบเหมือนกับอะไรบ้าง แต่ Ghost:2568 คราวนี้มันกลายมาเป็นความเป็นจริงทั้งหมดแล้ว มันมีการหวนคืนสู่พิธีกรรม สู่วิญญาณนิยมรูปแบบต่าง ๆ จริง ๆ เป็นงาน Ghost ที่ทำงานกับ “ความเชื่อ” จริง ๆ ที่อยู่ในชุมชน ไม่ได้เป็นศาสนาหลัก ไม่ได้ถูกนำมา “ปลุกเสก” เมือง”

“สิ่งที่เรียกกันว่า “ผี” มันเป็นวาทกรรมโต้กลับ (Counter-narrative) เป็นโครงเรื่องที่ถูกซ่อนหรือถูกลบเสมอ แทบไม่มีที่ไหนในโลกที่โครงเรื่องของรัฐหรือโครงเรื่องแบบทางการจะเป็น “เรื่องผี” เลย”

“เราอยากทำความเข้าใจมันอย่างนี้ มันมีสิ่งที่อยู่นอกระบบศิลปะร่วมสมัย หรือมีความก้ำกึ่ง ซึ่งเราอยากนำมาเจอกัน กับระบบของศิลปะที่เราทำความเข้าใจด้วยวิธีของผี เช่นนักดนตรีที่อาจะไม่ได้อยู่ในระบบศิลปะ หรือความรู้ที่อยู่ในวิถีชีวิตจริง ๆ”

กรกฤตไม่ได้บรรยายออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่คำอธิบายของเขาชวนให้เราจินตนาการได้ชัดเจน ว่าประสบการณ์เชิงศิลปะและ/หรือเชิงจิตวิญญาณที่อยู่ในงานนี้จะเป็นอย่างไร แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ Ghost:2568 คู่ควรต่อการไปสัมผัสด้วยตัวเอง ในเวลาที่ยังเหลืออยู่นี้

GROUNDCONTROL: แนวคิดแรกเลยที่นำมาสู่การจัดงาน Ghost คืออะไร

กรกฤต: ในช่วงปี 2016-2017 ก่อนหน้าจะมีงาน Ghost:2561 ครั้งแรก (ในปี 2018) เมืองไทยมีซีนหนังอิสระที่แข็งแรงมาก และมีศิลปินที่น่าสนใจหลายคนซึ่งทำงานคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างหนังกับงานวิดีโอเชิงจัดวาง (Installation) แต่ในแง่ของพื้นที่หรือบริบท เรายังรู้สึกว่ามันอธิบายให้คนฟังลำบากว่างานจัดวางวิดีโอมันคืออะไร

ในขณะเดียวกันในงานส่วนตัวของผมก็สนใจในเรื่องวิญญาณนิยม (Animism) หรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อย่าง Post-Human, Other-than-Human, หรือ Non-Human มาตลอด ว่ามันทำหน้าที่เชิงวิจารณ์สังคม แสดงความปรารถนา หรือเป็นการคาดการณ์ (Speculative) ได้อย่างไร ในช่วงนั้นเอง แนวคิดเรื่อง Post-Internet เรื่องเทคโนโลยี หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น ในฐานะอนาคตอันใกล้ จนกลายมาเป็นความจริงขนาดนี้ ซึ่งในบริบทเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนวความคิดเหล่านี้สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่อยู่ในอดีต กับเรื่องเล่า หรือสิ่งที่อยู่ในอนาคตได้

พอย้อนกลับมาดูความนิยมในการจัดงานศิลปะร่วมสมัย มันก็เชื่อมโยงกับระบบการศึกษาแบบตะวันตกมาก ๆ ซึ่งเราก็ชื่นชม แต่ทฤษฎีที่มีฐานอยู่บนโลกตะวันตก การศึกษาแบบตะวันตก หรือภูมิปัญญาแบบตะวันตก มันกลายเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งศิลปะ ที่ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ถึงจะเข้าใจศิลปะได้

เวลาคนไทยไปดูงานศิลปะในเทศกาลต่าง ๆ สมัยนั้น ก็จะถามว่านี่ “คืออะไร ไม่เข้าใจ” แล้วก็ไปอ่านคำอธิบายที่ผนัง (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ) แล้วก็เอาเนื้อหาตรงนั้นกลับบ้าน ซึ่งเราคิดว่าศิลปะมันพยายามจะตอบโจทย์การสื่อสารอื่นที่ไม่ควรถูกจำกัดด้วยรูปแบบ ภาษา หรือองค์ความรู้แบบนั้น

เรามองว่าศิลปินทุกคนเป็นนักเล่าเรื่องที่เล่าถึงโลกหนึ่ง หรือรูปแบบหนึ่ง ท่ามกลางโลกที่มีหลากหลาย และโลกศิลปะหรือประวัติศาสตร์ศิลปะก็คือการทับซ้อนกันของโลกเหล่านี้ มาอยู่ในพื้นที่ไร้ศูนย์กลางและมีความเป็นอัตวิสัย
ดังนั้น Ghost หรือ “ผี” และการสิงสู่ จึงเป็นวิธีการของเรา ในการนำเสนอศิลปะร่วมสมัยโดยดึงเอาวิธีการสร้างความสัมพันธ์แบบวิญญาณนิยมมาใช้

GROUNDCONTROL: โลกศิลปะทำความเข้าใจสื่อที่ยึดโยงกับเวลา (Time-based Media) กันมาอย่างไร

กรกฤต: โดยทั่วไปเวลาคนนิยามสื่อที่เชื่อมโยงกับเวลา (Time-based Media) อย่างเสียง หนัง หรือไฟล์ดิจิทัลอะไรก็ตาม ตามลักษณะของสื่อที่มันมีเลขเวลาวิ่งไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ Ghost พยายามนำเสนอในฐานะเทศกาลวิดีโอและการแสดง คือการพยายามนิยามศิลปะที่เราเรียกว่าผีว่ามันไม่มีร่างกายและไม่มีเวลาด้วยตัวมันเอง สิ่งที่มีเวลาจริง ๆ คือร่างกายมนุษย์ มนุษย์เป็นให้รู้เวลานั้น มันสำคัญมากสำหรับเราที่งานจะต้องเข้าชมฟรี เพราะสิ่งที่เราขอคือเวลาของคนที่จะมานั่งดูงานเท่านั้น มันคือพิธีกรรม คือการรวมตัว ผลงานวิดีโอหรือการแสดงเองก็คือสื่อกลางที่ทำให้คนได้มาให้เวลาด้วยกัน

เราอยากทำให้เวลามาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ทำให้มันเป็นคน เวลาคุณเจอโฮสต์ (Host, “โปรแกรมการเรียนรู้ทางเลือกระยะเวลา 4 เดือน ที่กลับไปนิยามบทบาทและประสบการณ์ของผู้ดูแลงานศิลปะใน Ghost”) เขาก็คือสื่อกลางของเวลา เวลาคุณนั่งอยู่ในห้องมืด ๆ ดูภาพเคลื่อนไหว มันก็คือเวลา

GROUNDCONTROL: งาน Ghost ผ่านมาสามครั้งแล้วมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

กรกฤต: งาน Ghost ทั้งสามครั้งเกี่ยวข้องกับเรื่องศิลปะที่มีเวลาเป็นส่วนประกอบตลอด แต่คิวเรเตอร์ทั้งสามคน (กรกฤต อรุณานนท์ชัย, คริสติน่า ลี, อามาล คาลาฟ) ก็ให้คำตอบไม่เหมือนกัน และกรอบความคิดในแต่ละครั้งก็เกิดขึ้นจากการที่คิวเรเตอร์ตอบสนองกับ “เวลา” ทั้งของโลก ของเมืองไทย ของกรุงเทพฯ และของสังคมศิลปะในช่วงเวลานั้นๆ

ในปีแรกที่เราทำ (Ghost:2561) มันเกี่ยวกับวรรณกรรมวิทยาศาสตร์ (Sci-fi) เรามองโลกอนาคต มันมีลักษณะโลกที่เลวร้าย (Dystopia) สูงมาก เรามอง “ผี” แทนที่จะเป็นคนตาย ไปเป็นการมอง “ระบบ” ต่าง ๆ ที่เหมือนจะไม่มีวันตาย เช่นทุนนิยม หรือความเป็นชาติ ครั้งต่อมา (Ghost:2565) คริสติน่า ลี (Christina Li) สนใจเรื่องพื้นที่ เขามองเรื่องชุมชน หรือเรื่องราวที่กำลังโดนลบหายไป

ครั้งที่สามนี้ (Ghost 2568: Wish We Were Here) โดยอามาล คาลาฟ (Amal Khalaf) เราว่ามันมีการมองกลับไป (Looking Back) อาจด้วยบริบทโลกเองที่ฝ่ายขวาได้รับความนิยมขึ้นมาด้วย มันเลยเป็นช่วงเวลาเหมือนหลังการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เหมือนกับ “อะไรบางอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้ว แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว” มันมีความอาลัยบางอย่าง ก็เลย 'Wish We Were Here' (หากเราได้อยู่ด้วยกัน) อามาลเขามองเหตุการณ์ที่กาซา มองการเมืองโลก แล้วคัดสรรผลงานที่เชื่อมโยงกับความเป็นจริงเหล่านั้น พร้อมกลับไปมองความฝันที่หายไปด้วย แต่ไม่ใช่แค่ความเศร้านะ หลาย ๆ งานก็เป็นการนำเสนอรูปแบบใหม่ของการใช้ชีวิตบางอย่าง เช่นเบนจิ รา (Bhenji Ra) ศิลปินชาวออสเตรเลีย-ฟิลิปปินส์ ที่กลับไปหาชุมชนของเขา และฝึกรับความรู้ดั้งเดิม หรือคนอย่างโรซาเลีย น้ำใส เอ่งฉ้วน (Rosalia Namsai Engchuan) หรือ ธาริณี เกรแฮม (Tarini Graham) กับที่บ้านเทเวศร์ ก็ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประเพณีในทางวิญญาณนิยมจริง ๆ ที่ไม่ได้ถูกแปรสภาพมาเป็นวัตถุอยู่ในโลกศิลปะร่วมสมัย

เรามีคำว่า Ghost (ภูติผี), Host (ที่สิงสู่), และ Possession (การสิงสู่) เป็นวิธีปฏิบัติ (Praxis) เมื่อก่อนคำเหล่านี้อาจยังมีสถานะในเชิงอุปมาอุปมัยอยู่ ว่ามันเปรียบเทียบเหมือนกับอะไรบ้าง แต่ Ghost:2568 คราวนี้มันกลายมาเป็นความเป็นจริงทั้งหมดแล้ว มันมีการหวนคืนสู่พิธีกรรม สู่วิญญาณนิยมรูปแบบต่าง ๆ จริง ๆ เป็นงาน Ghost ที่ทำงานกับ “ความเชื่อ” จริง ๆ ที่อยู่ในชุมชน ไม่ได้เป็นศาสนาหลัก ไม่ได้ถูกนำมา “ปลุกเสก” เมือง

คำว่า ‘Medium’ หรือ “สื่อ” ที่ใช้อธิบายงานศิลปะว่าสร้างมาอย่างไร แบบที่มักเห็นในคำอธิบายที่ติดบนผนัง (เช่นเป็นภาพวาด ประติมากรรม ฯลฯ) ก็สามารถหมายถึงความเป็นร่างทรงทางจิตวิญญาณด้วยเหมือนกัน เราจะทำความเข้าใจระบบศิลปะร่วมสมัยแบบนี้ ผ่านวิธีปฏิบัติแบบ Ghost ได้อย่างไร และเราจะทำความเข้าใจโลกทางจิตวิญญาณได้อย่างไรด้วย

เราอยากทำความเข้าใจมันอย่างนี้ มันมีสิ่งที่อยู่นอกระบบศิลปะร่วมสมัย หรือมีความก้ำกึ่ง ซึ่งเราอยากนำมาเจอกัน กับระบบของศิลปะที่เราทำความเข้าใจด้วยวิธีของผี เช่นนักดนตรีที่อาจะไม่ได้อยู่ในระบบศิลปะ หรือความรู้ที่อยู่ในวิถีชีวิตจริง ๆ เช่นงานของธาริณี เกรแฮม

หรืออย่างในผลงานของ เมคห์ ลิมบู (Mekh Limbu) ที่ The Jim Thompson Art Center ก็ทำงานกับพิธีกรรมของชนเผ่าพื้นเมืองของเขา ภายในสังคมที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ มีพิธีการโยงสายสิญจน์ เพื่อปกป้องชุมชน สู้กับทุนนิยมหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต่าง ๆ เขาเล่าเรื่องพิธีกรรมควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงในที่ที่เขาอยู่ ซึ่งก็ดูใกล้เคียงกับการเป็น “ความเป็นจริง” ในปัจจุบันมากกว่าเป็น “การคาดการณ์”

ในประเทศอย่างอินโดนีเซีย วัฒนธรรมที่นั่นอาจไม่ได้มีการรวมศูนย์เท่ากับเรา ถึงแม้จะมีศาสนาอิสลามที่คนจำนวนมากนับถือ แต่ก็มีชนเผ่า มีเกาะต่าง ๆ มีวัฒนธรรมมากมาย วัฒนธรรมร่วมสมัยที่เกิดขึ้นจึงมีความหลากหลายกระจายตัวมากกว่า

ในบริบทประเทศไทย วัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างถูกนำไปอ้างอิงกับศาสนาพุทธหมดเลย สัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์ต่าง ๆ หรืออย่างพญานาค ก็ถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ ซึ่งทำให้การสร้างวัฒนธรรมร่วมสมัยถูกจำกัดไปด้วย เพราะทุกอย่างโดนจัดระเบียบไว้หมดแล้ว

ถ้าเรามองชีวิตว่ามีชีวิตทางโลกกับชีวิตทางจิตวิญญาณ… เรารู้สึกว่ามันกำลังสลับกันอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ สิ่งที่ดูน่าจะมีมิติทางจิตวิญญาณมันกลับรู้สึกเป็นเรื่องทางโลก เพราะมันถูกนำไปรวมเข้ากับวัฒนธรรม เข้ากับระบบ ถูกลดทอนความเข้มข้น ความเป็นจิตวิญญาณก็หายไป เราอยากทำให้ศิลปะทำให้สิ่งที่ดูเป็นทางโลกนี้กลับไปสร้างความรู้สึกทางจิตวิญญาณได้ ให้ศิลปะเป็นพื้นที่นำชีวิตธรรมดา ๆ กลับมาทำให้รู้สึกถึงจิตวิญญาณ

เราไม่ค่อยมีอำนาจควบคุมเรื่องจิตวิญญาณระดับทางการนักหรอก แต่เราอยากนำเรื่องวิญญาณนิยมหรือพิธีกรรมมาใช้คิดในปฏิบัติการทางศิลปะ เราพิจารณาว่าจะจัดแสดงอย่างไร จากแง่มุมเรื่องจิตวิญญาณหรือวิญญาณนิยม ไม่ใช่แค่การสร้างศิลปะเกี่ยวกับจิตวิญญาณนะ แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ สร้างบทสนทนา นำแนวความคิดเรื่องพิธีกรรมมาพูดถึงงานศิลปะ เราคิดว่านี่คือการคืนความเป็นจิตวิญญาณให้กับเรื่องต่าง ๆ ของชีวิตปัจจุบัน

ตัวอย่างเช่นงานของแดน ลี (Dan Lie) ที่ทำใน BANGKOK CITYCITY GALLERY เขาก็มีการปฏิบัติทางจิตวิญญาณบางอย่างของเขา ที่ส่งผลต่อการสร้างงานศิลปะ เวลาเขาสร้างประติมากรรมหรืองานจัดวางดอกไม้ใหญ่ ๆ เขาก็คิดถึงตัวตน (Entity) ของสิ่งเหล่านั้น เหมือนเขากำลังสร้าง ‘เทพ’ (God) อะไรบางอย่างอยู่ แต่เทพของเขาอิงกับธรรมชาติ อิงกับการย่อยสลาย มันเป็นสสารอินทรีย์ที่มีเวลาของมัน เขาคิดเรื่องรูปแบบการติดตั้งงาน การจัดไฟ ฯลฯ เพื่อให้คนรู้สึกว่าสิ่งนี้คือเทพ

เราพัฒนาต่อจากงานของเขา ว่าจะทำการแสดงดนตรีอย่างไร ให้มันมีความเป็นพิธีกรรมอยู่ ทั้งคนดูและนักแสดง เราต่างกำลังแสดงให้ “ผี” ดู คืองานจัดวางนั้นที่ประกอบสร้างพื้นที่ขึ้นมา พวกเขาคือตัวละครหลัก คือพลังงานในนั้น พวกเรามารวมตัวกันเพื่อให้สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ดู

GROUNDCONTROL: มีวิธีรวบรวมผีที่หลากหลายเข้ามาอยู่ด้วยกันอย่างไร

กรกฤต: มันมีจุดร่วมระหว่างวัฒนธรรมมากมายอยู่แล้ว ว่าคนเราเรียกหาผีตอนไหน ต้องการพลังของผีตอนไหน… มันคือการมองหามุมมองที่หลากหลายขึ้น หรือการสร้างโครงเรื่องที่ต่อต้านการรวมศูนย์ส่วนกลาง… สิ่งที่เรียกกันว่า “ผี” มันเป็นวาทกรรมโต้กลับ (Counter-narrative) เป็นโครงเรื่องที่ถูกซ่อนหรือถูกลบเสมอ แทบไม่มีที่ไหนในโลกที่โครงเรื่องของรัฐหรือโครงเรื่องแบบทางการจะเป็น “เรื่องผี” เลย…

สถานะของ “เรื่องผี” มันเป็นสิ่งคู่ขนาน สิ่งต่อต้าน สิ่งซ่อนเร้น ถูกลบเลือนอยู่แล้ว นี่คือจุดร่วมของ Ghost ในระดับสากล

จริง ๆ ถ้าไปงานอย่าง Documenta (เทศกาลศิลปะในเยอรมนี) เมื่อปี 2022 ก็มีเรื่องผี เรื่องเวลา และเรื่องวิญญาณนิยมอยู่ ท้ายที่สุดแล้วถ้าไปแตะ “ชุมชน” อะไรบางอย่างในโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เรียกกันว่าซีกโลกใต้ (Global South) ก็จะต้องพูดเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลา

GROUNDCONTROL: กรุงเทพฯ สำคัญอย่างไรสำหรับผี หรือผีสำคัญอย่างไรสำหรับกรุงเทพฯ

กรกฤต: เคยมีคนพูดไว้ว่าเราต่างก็มีฟองสบู่แห่งความเป็นจริง (Reality Bubble) ของตัวเองอยู่ และศิลปะคือการไปพยายามขยายหรือยืดฟองสบู่นั้น ทั้งของคนหรือสังคม โดยอาจไม่ได้ทำให้มันระเบิด เรารู้สึกว่าการทำงาน Ghost ให้มาสิงอยู่ในที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ มันก็คือการยืดฟองสบู่ความเป็นจริงนี้ ทั้งเชิงพื้นที่ ความคิด วิธีการทำงาน หรือคนดู

กรุงเทพฯ เองก็มีรูปร่างของมันอยู่แล้ว แต่พอเรายืดขีดจำกัดอะไรบางอย่าง มันก็ทำให้เรามองเห็นรูปร่างของกรุงเทพฯ ได้มากขึ้น ทำให้เห็นทั้งศักยภาพและข้อจำกัดของกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีวัดกับห้างเยอะ และเราสนใจในการแปลงพื้นที่และจัดวาระใหม่ให้กับพื้นที่ ว่าศิลปะจะจัดวางพื้นที่เหล่านั้นอย่างไร จะยึดครองพื้นที่ที่ถูกปล่อยทิ้งหรือถูกใช้ประโยชน์อื่น ๆ อย่างไร เพื่อสร้างพื้นที่ที่สาม (Third Place ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน) สำหรับการรวมตัวกันอย่างไร

GROUNDCONTROL: Ghost ดูจะเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่และระยะยาวมาก แต่กลับจัดงานแค่สามครั้ง คิดว่าเพียงพอไหม และจะเป็นอย่างไรต่อไป

กรกฤต: ตอนแรกที่กำหนดให้เป็นสามครั้งแค่รู้สึกว่ามันเลขสวยดี เป็นไตรภาค เป็นเลขที่เกี่ยวข้องกับหลาย ๆ ความเชื่ออยู่แล้วด้วย (หัวเราะ)

แต่หลัง Ghost จบลง เราว่าทุกคนก็จะไปทำงานกันต่อไป เราก็ยังเป็นศิลปินต่อ BANGKOK CITYCITY GALLERY ก็ยังจัดแสดงงานศิลปะต่อ คนที่เคยเป็นโฮสต์ก็ไปทำอะไรของเขาต่อไป

ผีมันสิง แล้วก็ออกไป แต่ร่างกายที่ถูกผีสิงมันก็เปลี่ยนไปแล้ว งาน Ghost ทั้งสามครั้งไม่ได้เป็นแค่เทศกาล แต่มันให้วิธีคิดด้วย ทุกคนก็ยังยืด “ฟองสบู่แห่งความจริง” นั้นต่อ โดยให้แนวคิดวิธีการทำงานเหล่านั้นเข้าไปสิงอยู่แล้ว

GROUNDCONTROL: ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประทับใจเหตุการณ์อะไรที่สุดใน Ghost ไหม

กรกฤต: ไม่รู้ พูดเหมือนจบงานแล้วเลย งานยังมีอีกตั้งหลายสัปดาห์ (หัวเราะ)

Ghost 2568: Wish We Were Here – “Ghost 2568: หากเราได้อยู่ด้วยกัน”
อีดิชันสุดท้ายของ Ghost ซีรีส์ผลงานวิดีโอและศิลปะการแสดง คิวเรตโดย อามาล คาลาฟ ร่วมกับ คริสติน่า ลี, กรกฤต อรุณานนท์ชัย และ พงศกรณ์ ญาณะณิสสร
เปิดให้เข้าชมแล้ววันนี้ – 16 พฤศจิกายน 2568 ที่ 14 จุดทั่วกรุงเทพฯ
ดูรายละเอียดงานเพิ่มเติมได้ที่เพจ Ghost2568