สาลินี หาญวารีวงศ์ศิลป์ กับนิทรรศการครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ว่าด้วย ‘วิธี’ ของ ‘วิทยา’

Post on 20 June 2025

เมื่อพูดถึง “ภาพประกอบ” เรามักนึกถึงภาพที่มีหน้าที่เสริมความหมายให้กับสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นภาพหน้าปกหนังสือที่ชวนให้เปิดอ่าน หรือภาพในโฆษณาที่กระตุ้นอารมณ์จนเราอยากซื้อของสักชิ้น ภาพประกอบจึงมักอยู่ในฐานะผู้ช่วยเล่าเรื่อง อยู่เบื้องหลังสิ่งที่ ‘ใหญ่’ กว่า
แต่นิทรรศการที่เรามาชมในวันนี้กลับพาเราไปพบกับอีกมุมหนึ่งของงานภาพประกอบ ผลงานของศิลปินผู้เป็นตำนานแห่งยุคทองของแมกกาซีนไทย ถูกนำมาจัดแสดงอย่างเป็นอิสระ แยกขาดจากบริบทเดิมที่เคย ‘ประกอบ’ ด้วยกันมา
ในพื้นที่ใหม่นี้ ภาพประกอบจึงไม่ใช่แค่ภาพที่สนับสนุนเนื้อหาอื่นอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นงานที่ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง เล่าเรื่องในแบบของมันเอง และชวนให้เรากลับมาตั้งคำถามใหม่ว่า...แท้จริงแล้ว ‘การประกอบ’ หมายถึงอะไรกันแน่

ในนิทรรศการ ‘วิธีวิทยา’ ที่ สาลินี หาญวารีวงศ์ศิลป์ จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงวิทยา หาญวารีวงศ์ ศิลปิน นักวาดภาพประกอบ อาจารย์ (ของใครหลายคน) คู่ชีวิต คู่คิด และเพื่อนร่วมงานของเธอ เธอเลือกที่จะไม่เป็นภัณฑารักษ์เพียงคนเดียว แต่เปิดพื้นที่ให้กับคนใกล้ชิดทั้งของเธอและของเขาอีกกว่า 50 คน มาร่วมกันคัดเลือกผลงานของวิทยา พร้อมเขียนคำอธิบายสั้น ๆ ประกอบแต่ละชิ้น
วิธีการนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นิทรรศการมีมิติที่หลากหลายและเป็นส่วนรวม หากยังสะท้อน ‘วิธี’ ของ ‘วิทยา’ อย่างลึกซึ้ง ทั้งวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งกลายเป็นหัวใจของการจัดแสดงครั้งนี้เอง

“ในความสัมพันธ์ เขาเป็นคนที่เป็นสติ เป็นหลักที่มั่นคงในความคิดและการใช้ชีวิต เหมือนเป็นตะปูที่ตอกแน่น ไม่เบี่ยงเบนไปไหน แล้วมันทำให้เรากลับมาคิดด้วยว่า บางเรื่องมันก็เรียบง่ายมาก ๆ มีแก่นจริง ๆ อยู่แค่นิดเดียว หรือคนก็อาจรู้สึกว่าเราต่อต้านสังคม เพราะโลกมันหมุนไปแล้ว มันมีเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าหวือหวาเต็มไปหมด แต่เราไม่ไปกับมัน คนก็อาจจะมองได้เหมือนกันว่าคนคนนี้ไม่เข้าสังคม หรืออาจถึงขั้นต่อต้านสังคมเลยหรือเปล่า” เธอเล่ากับเรา

สาลินี หาญวารีวงศ์ศิลป์ เป็นนักเขียนคอลัมน์ชื่อดังซึ่งเคยเขียนให้นิตยาสารอย่าง IMAGE และพลอยแกมเพชร ผู้เขียนหนังสืออย่าง Urban Diary, โมเดิร์นนิสม์, กลวง กระเจิง กรุง, พรวนดินด้วยใจ และพ่อแม่พันธ์ุใหม่ รวมทั้งยังทำงานเขียนโฆษณาและแบรนดิงอีกด้วย

“เราจะทะเลาะกันเยอะมากเวลาทำงานโฆษณา เพราะมันจะต้องพูดไปในทางเดียวกันชัด ๆ แต่ศิลปินเขาไม่ได้ทำงานแบบนั้น เขาแค่มองว่าคุณพูดเรื่องอะไร แล้วเดี๋ยวเขาจะถ่ายทอดออกมาในแบบของเขาเอง มันก็เลยเกิดวิธีการขึ้นมา เช่นเรื่องที่พี่เขียนมันไม่ได้เกี่ยวกับต้นไอวี่เลย แต่แกวาดมาเป็นสีน้ำแบบต้นไอวี่กำลังจะตาย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย มันเลยสนุก เพราะภาพประกอบมันก็มีชีวิตของตัวเอง มีเรื่องเล่าของตัวเอง”

นี่เป็นบทสนทนาที่เป็นมากกว่าการรำลึก แต่คือการย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยแห่งสิ่งพิมพ์ การทดลอง และการค้นหาความหมายของภาพประกอบในระหว่างความสัมพันธ์ของศิลปิน ซึ่งเต็มไปด้วยทั้งแง่คิดดี ๆ ในการทำงาน และอาจรวมไปถึงเรื่องความสัมพันธ์อีกด้วยก็ได้?

คนรอบตัวคุณวิทยาต่างก็มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาแตกต่างกัน คุณเห็นจุดร่วมอะไรไหมในความทรงจำเหล่านั้น

เท่าที่เห็นส่วนใหญ่เขาจะเห็นว่าอาจารย์เป็นคนเงียบ ๆ แต่ว่าลุ่มลึก ทำงานละเอียด มีความคราฟต์ เป็นคนเรียบง่าย (simple) แต่ว่างานมันออกมาสมบูรณ์ (rich) อย่างนักศึกษาที่เรียนกับเขาก็จะบอกว่าอาจารย์เป็นคนที่พูดคุยสนุกมาก มีความทุ่มเทให้กับลูกศิษย์ ทุกคนจะเข้ามาคุยยาว ๆ ด้วยได้หมด นักศึกษาก็จะพูดกันว่าได้มาค้นพบบางอย่างของตัวเองจากการเรียนการสอนแบบนี้

รู้สึกว่าเขาใช้วิธีแบบที่สอนและตอนทำงานมาใช้ในเวลาส่วนตัวบ้างไหม

ในความสัมพันธ์เขาเป็นคนที่เป็นสติ เป็นหลักที่มั่นคงในความคิดและการใช้ชีวิต เหมือนเป็นตะปูที่ตอกแน่น ไม่เบี่ยงเบนไปไหน แล้วมันทำให้เรากลับมาคิดด้วยว่าบางเรื่องมันก็เรียบง่ายมาก ๆ มีแก่นจริง ๆ อยู่แค่นิดเดียว หรือคนก็อาจรู้สึกว่าเราต่อต้านสังคม เพราะโลกมันหมุนไปแล้ว มันมีเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าหวือหวาเต็มไปหมด แต่เราไม่ไปกับมัน คนก็อาจจะมองได้เหมือนกันว่าคนคนนี้ไม่เข้าสังคม หรืออาจถึงขั้นต่อต้านสังคมเลยหรือเปล่า

มีครั้งหนึ่งสมัยกำลังทำความรู้จักกัน เราไปกินข้าวกับเพื่อนฝูงกลุ่มเดียวกัน ก็คุยกันสนุกสนานเรื่องต่าง ๆ นานา แต่พอแกจะกลับแกก็ลุกกลับเลย แล้วทุกคนก็รู้ว่าแกเป็นคนแบบนี้ หรืออย่างตอนที่ทำอาร์ตเวิร์ค สมัยนั้นมันต้องตัดเรียงเป็นตัว ๆ เพื่อนำไปพิมพ์ แล้วถ้าเลื่อนอะไรมันก็เลื่อนไปด้วยหมด แล้วมันมีจุด full stop ท้ายประโยคอันหนึ่งที่มันห่างไป ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เคาะในคอมพิวเตอร์ก็จบแล้ว แต่สมัยนั้นมันไม่ได้ แกก็บอกว่าไม่เอา ต้องเอาใหม่ทั้งหมด เขาก็เลยเรียกแกกันว่า “วิทยาจุด” ย้ายจุดทีเดียวต้องย้ายใหม่หมด

สมัยนั้นบรรยากาศการทำงานแมกกาซีนเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นพี่กับพี่วิทยาทำงานให้แมกกาซีน เราเริ่มต้นที่พลอยแกมเพชร ซึ่งสมัยนั้นก็จะมีแมกกาซีนหลายหัว แต่ละหัวก็มีคาแรกเตอร์ มีสไตล์ วิธีการทำงานของเขาเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเห็นกันชัดเจนเลย ส่วนตัวพี่เริ่มจากการทำงานโฆษณา แล้วรู้สึกเบื่อ ๆ เป็นคนชอบเขียนโน่นนี่อยู่แล้ว ก็เลยเขียนอะไรขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วพี่ชาลีบรรณาธิการพลอยแกมเพชรอ่านเขาก็สนใจ แต่ก็ถามว่าแล้วใครจะทำรูปประกอบ ก็เลยมาเป็นพี่วิทยานี่แหละที่ทำให้ และก็ทำด้วยกันมาตลอด

เราจะทะเลาะกันเยอะมากเวลาทำงานโฆษณา เพราะมันจะต้องพูดไปในทางเดียวกันชัด ๆ แต่ศิลปินเขาไม่ได้ทำงานแบบนั้น เขาแค่มองว่าคุณพูดเรื่องอะไร แล้วเดี๋ยวเขาจะถ่ายทอดออกมาในแบบของเขาเอง มันก็เลยเกิดวิธีการขึ้นมา เช่นเรื่องที่พี่เขียนมันไม่ได้เกี่ยวกับต้นไอวี่เลย แต่แกวาดมาเป็นสีน้ำแบบต้นไอวี่กำลังจะตาย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย มันเลยสนุก เพราะภาพประกอบมันก็มีชีวิตของตัวเอง มีเรื่องเล่าของตัวเอง

สมัยนั้นบรรณาธิการเขาก็จะตรวจงานเขียนของเราไป พอเสร็จแล้วแกก็วาดภาพประกอบบนกระดาษแบบในนิทรรศการนี้ เขาก็จะเอาไปจัดหน้าตามวิธีของเขา

ประเด็นคือตอนนั้นเราสามารถทดลองกับตรงนู้นตรงนี้ได้นะ มันไปได้ไกลกว่านี้ เราไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่กับภาพเดิม หรือวิธีการทำงานแบบเดิม การทำงานแบบแมกกาซีนมันมีความถี่สูง ต้องทำทุกสองสัปดาห์ แล้วเราก็อาจจะตั้งโจทย์ว่าเราจะไม่ทำเฉย ๆ นะ ต้องมีวิธีคิด มีกระบวนการ มีการทดลอง ห้องทำงานแกในบ้านแกก็จะมีกระดาษทิ้งเต็มห้องเลยเพื่อที่จะเอาแค่รูปเดียว ซึ่งสมัยนี้อาจจะกลายไปเป็นการทำในคอมพิวเตอร์หมดแล้ว ซึ่งอาจช่วยให้เสร็จเร็วแต่กระบวนการมันก็ต่างกันออกไป อาจทำให้วิธีการทดลองแบบนั้นมันหายไปได้ – มันต้องมีการลองผิดลองถูกกันไปก่อน

คนที่ทำงานกับเขาเห็นด้วยกับวิธีการทำงานแบบนี้ของเขาหรอ

เขาก็เป็นคนทำอาร์ตเวิร์คแหละ ไม่ได้มีอำนาจอะไรขนาดนั้น แต่สำหรับพี่มันดีนะ การที่แกมีแก่นที่มันชัดเจน แล้วก็เปิดให้มีการทดลองได้ มันทำให้เรามั่นคงด้วยว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แล้วก็ออกนอกกรอบได้ด้วย โดยที่รู้ว่าเราจะทดลองไปเพื่ออะไร รู้ว่าการทดลองแบบไหนที่ใช้ได้หรือไม่ได้ หรือว่ามันมีความเป็นไปได้แบบไหน

ส่วนใหญ่คนที่ทำงานด้วยกันอย่างที่พลอยแกมเพชรเขาก็ไม่ค่อยยุ่งอะไรอยู่แล้ว ก็ปล่อยเลย หรือตอนมาทำกับสำนักพิมพ์อ่านเขายิ่งชอบเลย เพราะเขามีแนวคิดเดียวกันว่าเขาอยากได้ภาพประกอบที่มีคอนเซ็ปต์ของตัวเอง ก็เลยเล่นกันสนุกเลย — ช่วงที่ทำกับสำนักพิมพ์อ่านก็มีพี่ประชา สุวีรานนท์ เป็นเหมือนผู้ดูภาพรวมเรื่องกราฟิกดีไซน์อยู่ เขาก็เหมือนเป็นเมนเทอร์ของพี่วิทยาอยู่แล้ว ก็เลยมีการถกเถียงพูดคุยกันสนุกเลย แล้วก็ผลักดันหลาย ๆ อย่างด้วยกัน

อย่างเช่นหน้าปกหนังสือรวมเรื่องสั้น ‘ในกระจก’ ที่เบเนดิกท์ แอนเดอร์สันเขียนบทนำ แล้วภาพที่แกทำเป็นงานภาพพิมพ์โลหะ (etching) แบบ dry point รูปผ้าขาวม้าประสานกัน เป็นธงชาติไทยกับอเมริกา ซึ่งเป็นงานเชิงความคิดที่มีความสมัยใหม่มาก ๆ เอาเข้าจริงพวกแมกกาซีนหรือสำนักพิมพ์ที่ทำงานด้วยยุคนั้นเขาก็ให้อิสระกับนักเขียนและศิลปินมาก ๆ ด้วย ก็เลยทำให้เราทดลองได้ สนุกคิด สนุกทำงาน

งานภาพประกอบที่รวมมาในนิทรรศการนี้มันออกมาเป็นแบบนี้ได้เพราะว่าเขาใช้เครื่องมือแบบที่มันจับต้องได้กับมือ วาดด้วยมือ มันถึงทำให้ผลงานแตกตัวออกไปได้มาก

เวลาทำงานร่วมกันสองคนแล้วมีความเห็นไม่ตรงกัน มีวิธีจัดการกันอย่างไร

พี่เองก็เป็นผู้เรียนรู้ด้วย ว่าวิธีการที่เราทำงานมันคือการโฆษณา เรามองมันเป็นการสื่อสาร ภาพกับรูปต้องทำงานด้วยกัน แต่การเขียนหนังสือมันไม่ใช่การสื่อสารด้วยจุดประสงค์แบบนั้น มันคือฉันอยากพูดเรื่องอะไร ตอนที่เถียงกันเราเหมือนไปมองว่าคนเขียนสูงใหญ่กว่าคนวาด แล้วไปมองว่าทำไมไม่วาดอย่างนี้ ๆ แต่มันอาจจะทำงานด้วยวิธีนี้ไม่ได้ เพราะทุกคนก็มีเนื้อหาของตัวเองในประเด็นเดียวกัน แล้วมันอาจจะแตกตัวเนื้อหาออกมาได้มากขึ้น โดยเฉพาะพวกศิลปินซึ่งมีเครื่องมือในการแตกตัวความคิดออกมาได้มากกว่า เช่นการทำภาพปะติด การทำภาพพิมพ์ ฯลฯ ซึ่งเขาใช้สิ่งเหล่านั้นมาตอบสนองความคิดได้มากกว่า เราก็เลยเริ่มมองว่าภาพประกอบมีความคิด มีเรื่องเล่า มีประเด็นของตัวเอง

รู้สึกอย่างไรบ้างพอมาดูงานทั้งหมดของเขาเพื่อจัดนิทรรศการอย่างนี้

เศร้าสิ (หัวเราะ) รู้สึกเสียดายว่าแกน่าจะได้ทำต่อ — จริง ๆ ก่อนแกจะเสียก็เตรียมทำงานอีกชุดหนึ่งแล้วนะ เตรียมอุปกรณ์เตรียมพื้นที่

ตอนแรกมันเริ่มจากงานศพแก เราเอารูปที่แกวาดนี่แหละ ให้เป็นของที่ระลึกกับคนที่มา ซึ่งก็มีระบบที่เก็บของแกอยู่แล้วค่อนข้างดีมีระเบียบ เราก็เลยเลือกมาก่อน 200 รูป ตอนนั้น — แต่จริง ๆ พี่วิทยาเขาเป็นคนที่ใครมาบ้านเขาก็ให้รูปไปเลย เพราะแกถือว่างานของแกมันเสร็จแล้ว ซึ่งถ้าแกยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่ได้ทำนิทรรศการหรอก ด้วยเหตุผลนี้ คืองานภาพประกอบจบไปแล้ว ใครอยากเอาภาพก็เอาไปได้เลย

เราก็เลยไม่ได้อยากจัดแสดงงานของเขาแบบศิลปินใหญ่ ให้คนมาดูผลงาน แต่อยากนำเสนอวิธีคิดวิธีการทำงานของเขาให้คนมาสัมผัสแนวคิดการทำงานของเขามากกว่า การจัดแสดงมันเลยมีความเป็นส่วนตัวหน่อย ไปเชิญคิวเรเตอร์ที่เป็นเพื่อนฝูงซึ่งเคยทำงานกับเราด้วยมาเลือกรูปของเขาดู บางคนก็เลือกมาหลายรูป ซ้ำกันบ้าง แล้วเราก็เอาสิ่งที่เขาเขียนถึงผลงานเหล่านี้มาจัดแสดงด้วย ก็จะมีทั้งเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนที่ช่างศิลปของเขา หรือเพื่อนสมัยเรียนที่ด้านจิตรกรรม (มหาวิทยาลัยศิลปากร) แล้วก็มีลูกศิษย์ของเขา และคนที่เคยทำงานร่วมกันมา เช่นบรรณาธิการ หรือเพื่อน ๆ ที่ชื่นชมผลงานของเขาด้วย

สิ่งที่แต่ละคนเขียนมาก็มีทั้งที่บรรยายความคิดของเขาเองไปเลย ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากภาพของพี่วิทยา บางคนก็เขียนบทกวีขึ้นมา บางคนก็มีที่ออกทางวิชาการนิดหน่อยด้วย วิเคราะห์ผลงานของเขา แล้วก็มีที่เขียนเชิงส่วนตัวไปเลย เช่นลูกศิษย์ที่มีประสบการณ์กับเขาในเรื่องวิธีการสอน มีบางคนบรรยายได้ดีมากเลย ว่าภาพพวกนี้มันเหมือนกับอยู่นิ่ง ๆ ของตัวเอง ไม่ได้เรียกร้องให้คนมาดูอะไร

คิดว่าคนที่ไม่รู้จักอาจารย์เลยจะได้อะไรจากงานนี้

พี่ก็คิดแบบเดียวกับแกเหมือนกัน ว่าเวลาทำงานเสร็จแล้วมันก็จบแล้ว นิทรรศการที่เราอยากจัดมันก็เกิดขึ้นแล้ว แสดงให้ดู “วิธีวิทยา” อย่างนี้แล้ว แล้วเดี๋ยวก็มีเวิร์คช็อป และมีงานเสวนาอะไรอีก แต่ส่วนตัวงานมันก็เหมือนการเขียนหนังสือ คือเขียนออกมาแล้ว เผยแพร่แล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของคนดูแล้วว่าเขาจะได้อะไร เราถ่ายทอดออกไปหมดแล้ว