“โห่แม่ ไม่เอา ฟังแต่กามิอ่ะ มันแก่” คือประโยคสุดไวรัลของ ‘โฟร์มด’ ตัวเอกจากซีรีย์เรื่อง ‘GELBOYS สถานะกั๊กใจ’ ที่เพิ่งเริ่มออนแอร์ทางช่อง ONE31 และแพลตฟอร์มของ IQIYI ที่ทำเอาคนดูต้องกลับมานั่งไล่เรียงอายุกันใหม่ว่า เอ๋? นี่เราแก่แล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ ซึ่งแม้ว่าหลาย ๆ คนจะยังรู้สึกว่าตัวเองไม่แก่ขนาดนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนรุ่นเราหลายคนก็ได้กลายเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่ของคนเจนใหม่ไปแล้ว
แต่นอกเหนือจากเรื่องไวรัลแก่ไม่แก่ ซีรีส์เรื่องนี้ยังโดดเด่นเรื่องการนำองค์ประกอบความเป็นวัยรุ่น Gen Z เชื่อมลงไปถึง Gen Alha มานำเสนอ ตั้งแต่แฟชั่นเล็บเจล การถ่ายทำซีรีส์ทั้งเรื่องด้วยโทรศัพท์มือถือล้วน ๆ การปล่อยเพลงจากวง BUS ขวัญใจวัยรุ่น Alpha ไปจนถึงการทำเพลงเลิกกั๊กแล้วรักก่อนแบบ Sped Up ตามเทรนด์การฟังเพลงเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ เมื่อรวมเข้ากับการเล่าเรื่องรักแบบไม่จำกัดเพศได้โคตรจะไอ้นั่น ก็ทำเอาคนดูทั้งฮ็อบทั้งเหยินกันถ้วนหน้า และเสิร์ชหาร้านดัดฟันใกล้ฉันกันจนหมอฟันไม่ได้พักผ่อน
ด้วยเหตุนี้ ก่อนหน้าที่ซีรีส์เรื่องนี้จะออนแอร์ ทีมกองบรรณาธิการ GroundControl เลยแปะมือกันว่าต้องไปคุยกับทีมผู้สร้างและค้นเอาทุกเบื้องหลังของวัยรุ่นเล็บเจลแห่งสยามเหล่านี้มาให้ได้ และเมื่อเราทำการติดต่อไป ทางทีมเขียนบท GELBOYS สถานะกั๊กใจ ที่ประกอบไปด้วย บอส กูโน, แตง ภัทรนาถ , จูเนียร์ ณรณ และ เอส ปริญวัฒน์ ก็ตกปากรับคำทันที พร้อมนัดหมายมาเจอกันที่สยาม ณ โลเคชันจริงของการถ่ายทำ
งานนี้พอเราเห็นว่าเหล่าทีม GELBOYS เขาตั้งใจเสิร์ฟกันแบบไม่ยั้ง GroundControl เลยขอรับ ขอตี และขอชวนคุยแบบไม่พัก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของพล็อต กระบวนการทำงานจริง ไปจนถึงแนวคิดเบื้องหลังทั้งหมด ถ้าใครดูเรื่องนี้หรือกำลังเล็งอยู่แล้วอยากรู้ว่าพวกเขาเตรียมการหรือตั้งใจสร้างความเป็นวัยรุ่น Gen ใหม่อย่างไรให้มันส์ ก็ต้องตามมาเลอ!
จุดเริ่มต้นของพล็อตวัยรุ่นเล็บเจล ‘GELBOYS’ และการเปิดตัวซีรีส์เรื่องแรกแห่งค่าย LOOKE
เชื่อว่าสิ่งแรกที่แว้บเข้ามาในหัวของทุกคนเมื่อได้เห็นเรื่องย่อของ ‘GELBOYS สถานะกั๊กใจ’ ย่อมหนีไม่พ้นคำถามง่าย ๆ อย่าง “ทำไมต้องเล็บเจลนะ?” ซึ่งเราเองก็ไม่ต่างจากทุกคนสักเท่าไร บทสนทนาแรกที่ตั้งใจ เลยเป็นการชวนทั้งสี่พี่อย่าง พี่บอส พี่แตง พี่จูเนียร์ และพี่เอส ให้พาเราย้อนกลับไปถึงบรรยากาศวันแรกที่ประกายไอเดียเรื่องสร้างรักที่ร้านเล็บเจลนั้นผุดขึ้นมา
GC: ทำไมต้องพบรักที่ร้าน ‘เล็บเจล’ ช่วยเล่าถึงประกายไฟแรกของแรงบันดาลใจที่ทำให้ทีมเขียนบทตัดสินใจจับคู่รักวัยรุ่นและแฟชันเล็บเจลเข้าด้วยกัน
พี่บอส: คือมันเป็นช่วงที่เรากำลังเขียนบทเรื่อง ‘วิมานหนาม’ กันอยู่ ตอนนั้นจะมีจูเนียร์กับพี่เกดเป็นทีมเขียนบท แล้วพี่เกดเขามีเพื่อนคนหนึ่ง เหมือนเขาจะนัดทำเล็บกับแฟนเขาทุกเดือน ซึ่งพี่จูเขาก็สนิทกับพี่เกด ก็เลยไปทำเล็บด้วยกันเป็นประจำทุกเดือน เวลามาประชุม พี่ก็เห็นเล็บของพวกเขา แล้วมันมีดีไซน์ที่น่ารัก ก็เลยแบบเห้ย เอ๊ะ มันคืออะไร ไปทำกันที่ไหน
ทีนี้พวกเขาก็แนะนำมาว่าไปทำกับน้องเกรทซึ่งเป็นเจ้าของร้านทำเล็บที่ฮิตมากในหมู่คนจีนและวัยรุ่นไทยที่สยาม ตอนนั้นพี่รู้สึกว่าเทรนด์นี้มันน่าสนใจ เหมือนเป็นกิจกรรมใหม่ของวัยรุ่นในสยาม และเมื่อพี่อยากทำซีรีส์ที่เกี่ยวกับวัยรุ่น ตอนแรกยังไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องอะไร แต่พอได้เจอเรื่องเล็บเจล มันเหมือนเกาะคัลเจอร์ยุคใหม่ได้ พี่รู้สึกว่าถ้าทำซีรีส์ที่พูดถึงคัลเจอร์ยุคใหม่ มันจะน่าสนใจมาก แบบย้อนกลับไป 7-8 ปีก่อน พี่เคยทำ ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะมาก และเล็บเจลก็ดูเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมยุคใหม่ได้ดี จุดเริ่มต้นก็มาจากตรงนี้ แล้วค่อยขยายไปเล่าเรื่องวัฒนธรรมอื่น ๆ ในซีรีส์
พี่จูเนียร์: ประมาณนั้นแหละก็อย่างเราก็จะคอยแบบว่าเอาลายนู้นลายนี้มาให้พี่บอสดูอะไรอย่างเงี้ย ก็จะขายว่า เอ้ย จริง ๆ มันแบบไม่ได้มีแค่ลายแบบนี้นะ แต่สามารถทำเป็นคอนเซปต์ได้เลย เป็นหมาเป็นแมว เป็นอะไรอย่างเงี้ย ปั้นนูนได้ อย่างในเรื่องก็จะมีหลายลายมาก มีหลายคอนเซ็ปต์ให้เลือก เพื่อให้มันสนุกมากขึ้น
GC: เห็นว่า ‘GELBOYS สถานะกั๊กใจ’ คือซีรีส์เรื่องแรกของค่าย LOOKE ทำไมถึงเลือกเปิดตัวค่ายด้วยซีรีส์เรื่องนี้ โทนนี้ และสไตล์นี้ มันสะท้อนแบรนด์ ตัวตน หรือทิศทางผลงานต่าง ๆ ของค่ายในอนาคตยังไง
พี่บอส: จุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นหลังจากนาดาวปิดตัวลง แล้วพี่ย้งไปทำไอดอล ตอนนั้นพี่เองก็ยังอยากทำคอนเทนต์ต่อ เพราะรู้สึกว่ายังมีเรื่องที่อยากเล่าอยู่ จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้เริ่มมาตั้งแต่หลายปีก่อนเลย ทั้งตัวพี่เองและคนรอบตัว อย่างในทีมพี่ แตง จูเนียร์ เอส พี่แอมมี่ ทุกคนเป็นเด็กหมด สมมติว่าถ้าเราจะสร้างออฟฟิศหรือทำอะไรสักอย่าง เรามักจะนึกถึงอะไรที่มันดูใหญ่มาก เพราะเราเคยเห็นพี่ ๆ รุ่นก่อนทำ แล้วพวกเขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก แต่พวกเราไม่มีอะไรเลย เรามีแค่อยากทำและรู้ว่าอยากเล่าเรื่องอะไร แต่ไม่ได้มีพื้นฐานด้านธุรกิจหรือมีความคิดว่าเราต้องทำธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ เราเป็นแค่เด็กกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าอยากทำก็ทำเลยในแบบของตัวเอง
จากตรงนั้น เราเลยตัดสินใจว่าจะทำซีรีส์ของตัวเอง และบริษัท LOOKE ก็เกิดขึ้นจากความรู้สึกนี้เหมือนกัน พอมองหน้ากัน ทุกคนก็ยังเป็นวัยรุ่นตอนปลาย อยู่ดี ๆ ก็มาทำค่ายใหญ่ ๆ ด้วยกัน มันรู้สึกเหมือนเป็นตัวตนของพวกเรา
อีกอย่างหนึ่งคือ พี่อินกับเรื่องวัยรุ่นมาก เพราะมันใกล้ตัวและยังเป็นสิ่งที่เราคิดถึงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของ LOOKE หรือคอนเทนต์ที่เราทำ มันคือสิ่งที่อินจริง ๆ มันคือ พวกเรา จริง ๆ และนั่นทำให้ทั้ง LOOKE และโปรเจ็กต์ GELBOYS เกิดขึ้นมาพร้อมกัน มันเหมือนแบบ GELBOYS ก็คือตัวแทนของหนังวัยรุ่นยุคนี้ มันก็คือ LOOKE เช่นกัน และ LOOKE เองก็เป็นตัวแทนของ GELBOYS เหมือนเป็นคนคนเดียวกัน
พี่แตง: มันเกือบจะเป็นคนเดียวกันเลย เพราะมันเกิดขึ้นพร้อมกัน และมีความเชื่อมโยงกันแบบกลมกลืน อีกอย่าง อย่างที่พี่บอสบอก พวกเราเป็นเหมือนสายตาของเด็กวัยรุ่น เลยรู้สึกสนุกที่ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน อย่างตอนคิดพล็อตซีรีส์ เราจะมีไอเดียแบบ ลองแบบนี้ดูมั้ย? หรือ ถ้าเปลี่ยนแบบนี้ล่ะ? มันเลยมีความเลอะเทอะ หรือความเอาแต่ใจในงานมากขึ้น หรือแม้กระทั่งตอนถ่าย อย่างตอนพี่บอสบอกว่าจะลองถ่ายด้วยโทรศัพท์ดูไหม? ตอนแรกก็แอบตกใจนะ คิดว่า เฮ้ย มันจะเวิร์กเหรอ? แต่สุดท้ายทุกคนลองทำดู แล้วมันก็ไปได้จริง ๆ ระหว่างทางมีการตัดสินใจแบบวัยรุ่นเยอะมาก คือลอง ๆ เรียนรู้ ๆ ไป

บอส กูโน

แตง ภัทรนาถ

จูเนียร์ ณรณ

เอส ปริญวัฒน์
ไม่ใช่แค่เล็บเจลที่ไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นเล็บเจลที่สยาม
GC: สยามคือพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับความเป็นวัยรุ่นและแฟชันมาตลอด เมื่อมองสยามในเรื่องราวของรักแห่งสยามเราก็จะเห็นสยามในแบบหนึ่ง แล้วสำหรับ GELBOYS เราจะเห็นการถ่ายทอดสยามมุมไหนออกมาบ้าง
พี่จูเนียร์: สยามเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นอยู่แล้ว แต่พอเรามาคิดโปรเจกต์เล็บเจลกันจริงจัง ก็เริ่มสนใจเรื่องนี้มากขึ้น จนอยากลงพื้นที่ไปดูให้เห็นกับตา ตอนแรกเราก็เริ่มจากการหาร้านทำเล็บ แต่พอไปถึง เราไม่ได้เห็นแค่ร้านทำเล็บอย่างเดียว เรากลับเห็นบรรยากาศของสยามที่เปลี่ยนไปจากยุคที่เราเคยเรียนพิเศษกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อก่อน สยามสำหรับพวกเราคือที่เรียนพิเศษ เป็นจุดรวมตัวของวัยรุ่น แต่ยุคนี้มันเป็นพื้นที่รวมกิจกรรมวัยรุ่นแบบเต็มรูปแบบเลย จะเต้นก็ได้ เล่นดนตรีก็ได้ เดินแฟชั่นโชว์กันแบบไม่เป็นทางการก็ยังได้ ทุกอย่างดูเปิดกว้างและมีชีวิตชีวา ซึ่งเล็บเจลก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้เหมือนกัน คือถ้าทำเล็บเจลมาเดินเล่นสยาม มันก็รู้สึกดีไปอีกแบบ
เราเลยมองว่าสยามเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการเล่าเรื่อง เพราะเล็บเจลสะท้อนตัวตนของวัยรุ่นยุคนี้ได้ และกิจกรรมในสยามก็ทำหน้าที่เดียวกัน พอมันรวมกัน มันเลยกลายเป็นก้อนเดียวกัน เป็นพื้นที่ที่สามารถเล่าตัวตนของเด็กยุคนี้ได้ เราเลยตัดสินใจว่า งั้นเรามาเล่าที่สยามกันเถอะ
พี่บอส: พอเราลงพื้นที่จริง ๆ แล้วมารีเสิร์ชไปเรื่อย ๆ เราก็เจออะไรที่น่าสนใจเต็มไปหมด อย่างคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อยู่ดี ๆ ก็มีเด็กมาเล่นดนตรีกลางถนนที่สยาม เป็นวงกลมล้อมกันเล่นสด ๆ ซึ่งตอนพี่ยังวัยรุ่น มันไม่มีแบบนี้เลย เด็กยุคนี้กล้าทำอะไรที่แตกต่างออกไป
ที่สังเกตได้อีกอย่างคือ เมื่อก่อนถ้าจะออกมาเที่ยว เราต้องแต่งตัวให้เป๊ะ แต่เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ใส่ชุดนักเรียนมาเลย แล้วมันก็เท่ไปอีกแบบ ยืนเล่นดนตรีกลางสยามในชุดนักเรียนแล้วดูมีสไตล์มาก
อีกจุดที่สำคัญคือ วัยรุ่นยุคนี้มีภาษาของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือวัฒนธรรมต่าง ๆ มันมีเสน่ห์ มีความเฉพาะตัวที่น่าสนใจมาก และมันน่าเล่าเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ ภาษาของพวกเขามีสีสัน สดใหม่ สนุก และเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น แล้วพอมันมีภาษาอะไรที่มันมีเสน่ห์ แล้วมันพิเศษเฉพาะทาง มันเลยน่าเล่า แบบจึ้งมาก หรือเม็ดเยอะ ภาษามันเลยสนุกอะไรอย่างเงี้ยฮะ

GC: แล้วถ้าตอนนี้ทุกคนได้กลับมาเป็นเด็กสยามอีกครั้งคิดว่าตัวเองจะเป็นสายไหนหรือเข้าร่วมกิจกรรมอะไรกันบ้าง
พี่แตง: แน่นอนว่าฉันต้องฟังดนตรี และต้องไปดูคอนเสิร์ตของเด็ก ๆ ด้วย
พี่บอส: เมื่อก่อนสยามไม่ได้เป็นแบบนี้นะ ตอนแกยังไม่มา มันไม่มีอะไรแบบนี้เลยใช่ไหม
พี่แตง: มันไม่ได้มีกิจกรรมเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ เมื่อก่อนเด็ก ๆ แค่มานั่งรวมกัน ใครอยากทำอะไรก็ทำ แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ยุคนี้มันต่างออกไป สยามเหมือนจัดพื้นที่ให้เลย
GC: มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชมรมใช่ไหม
พี่แตง: เหมือนชมรมในโรงเรียน หรือดนตรีในสวน ที่เคยมี เหมือนสิ่งที่เคยอยู่แค่ในโรงเรียน ตอนนี้มันถูกยกมาไว้กลางสยามแล้ว จากที่เคยรวมกันแค่เด็กในโรงเรียนเดียวกัน ตอนนี้มันรวมคนจากหลายโรงเรียนเข้าด้วยกันเลย แบบถ้าฉันอยู่ติดสยามในยุคนี้นะ ทุกเย็นวันเสาร์ฉันต้องไปฟังคอนเสิร์ตแน่นอน อาจจะไม่ได้เต้นหรือร่วมกิจกรรม แต่ต้องไปดูให้ได้
GC: ก็คือเป็นสายเสพ สายซึมซับบรรยากาศ แล้วมีใครอยากเป็นสายร่วมจอยไหม?
พี่บอส: เออ นั่นสิ
พี่จูเนียร์: สำหรับเราอะ มันเหมือนยุคมัธยมเลย สมัยนั้นการเต้นยังดูเป็นเรื่องแปลก โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย ถ้าผู้ชายเต้น คนจะมองแปลก ๆ มาก แต่เดี๋ยวนี้เด็กผู้ชายเต้นลง TikTok กันเป็นเรื่องปกติ แถมซ้อมกันจริงจัง แล้วมันก็ดูเท่มาก ถ้าเราเป็นเด็กสมัยนี้ก็คงพยายามเต้นบ้างแหละ แต่เมื่อก่อนแค่เปิดยูทูปดูแล้วลองเต้นนิดเดียวก็เขินแล้ว
พี่บอส: พี่ยังจำได้เลยว่าครั้งแรกที่มาสยาม พี่เป็นเด็กต่างจังหวัด เพิ่งเข้าปีหนึ่งที่นิเทศจุฬาฯ เพื่อนเรียกขึ้นตุ๊กตุ๊กมาที่นี่ แล้วเกร็งมาก เพราะทุกคนเป็นเด็กกรุงเทพกันหมด แบบว่ามันเกร็งจริง ๆ นะ นั่งตุ๊กตุ๊กมาแป๊บเดียว ถึงแล้ว ทุกคนพากันไปกิน Ice Monster ซึ่งยุคนั้นมันเป็น คัลเจอร์เลยนะ พี่จำได้ว่ากินครั้งแรกที่นี่เลย แต่ตอนนี้มันกลายเป็น Fire Tiger ไปแล้ว เป็นตึกสามชั้น ซึ่งกลายเป็นฉากสำคัญในหนังไปอีก รู้สึกว่าแบบ โอ้โห เราแก่แล้วอะ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด
พี่เอส: แต่เรารู้สึกว่าตอนเด็ก ๆ สยามมันเหมือนเป็นพื้นที่ของไอดอลนิดนึงนะ สมมติว่ามีคอนเสิร์ต ก็จะมีศิลปินมาเล่นตามจุดต่าง ๆ เราก็ตามไปดู พวกแฟชั่นก็เหมือนกัน จะไปช้อปปิ้งตามถนนหรือร้านที่เน็ตไอดอลอินฟลูเอนเซอร์แนะนำ คือเป็นที่ที่วัยรุ่นมารวมตัวเพื่อซึมซับวัฒนธรรมจากคนที่มีชื่อเสียง แต่ยุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่ชัดเจนคือ เมื่อก่อนเราไปดูไอดอล แต่ตอนนี้ ทุกคนเป็นไอดอล ของตัวเอง เด็ก ๆ เล่นดนตรีตรงสตรีท แล้วแทนที่จะแค่ดูคนอื่น กลายเป็นว่าพวกเขาพรีเซนต์ตัวเองให้คนอื่นดูแทน หรือเวลาเต้น ก็เต้นเพื่อให้คนอื่นมาดูตัวเอง นี่แหละคือความต่างของยุคสมัย
GC: คิดว่าเพราะอะไรสยามถึงถูกเลือกให้เป็นภาพแทนชีวิตวัยรุ่นมาทุกยุค
พี่บอส: พี่ว่ามันคือศูนย์กลางของความเจริญเลยนะ พอเป็นศูนย์กลาง ทุกอย่างก็ไหลมารวมกันที่นี่ ทั้งการค้า การกิน การท่องเที่ยว สินค้า บริการ ทุกอย่างมันเสิร์ฟให้คนที่มาอยู่ตรงนี้ได้หมดและเพราะทุกอย่างมารวมกันแบบนี้ มันไม่ได้แค่เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม แต่ยังเป็นศูนย์กลางของเทรนด์ อะไรที่เปลี่ยนเร็ว มันก็มาก่อนใครที่นี่
จริง ๆ แล้ว สยาม ไม่ใช่แค่พื้นที่ตรงนี้ แต่มันมีอิทธิพลไปไกลกว่านั้นมาก แค่พี่ว่าทุกยุคที่ผ่านมา ที่นี่มันยังคงเป็นใจกลางเมืองอยู่เสมอ ไม่ว่าอะไรมันจะเปลี่ยนไปแค่ไหน พอเดินทางสะดวก ทุกคนก็รู้สึกว่า ไม่รู้จะไปไหน ไปสยามก่อนละกัน
พี่จูเนียร์: เออ แค่ดูจากสถานีรถไฟฟ้าก็รู้แล้วว่าสยามเป็นเซ็นเตอร์ของเมือง เด็ก ๆ มากันง่าย ไม่ว่าโรงเรียนไหน ถ้าอยากเจอเพื่อนต่างโรงเรียนก็ตรงกลางที่นี่แหละ
พี่แตง: สยามคือจุดศูนย์รวมของวัยรุ่นทุกยุคจริง ๆ

กว่าจะเป็นวัยรุ่น GELBOYS กับการรีเสิร์ชแบบคลุกวงในและไถ Tiktok
GC: ก่อนจะร่างบท ทีมต้องรีเสิร์ชอะไรบ้างเกี่ยวกับวัยรุ่นยุคนี้? แล้วมีแนวทางหรือกระบวนการรีเสิร์ชยังไง
พี่บอส: เรื่องนี้รีเสิร์ชง่าย สำหรับเราเลยนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าหัวข้ออื่น ๆ อย่างบางเรื่องถ้าจะทำให้ถึงแก่นจริง ๆ ต้องไปลงพื้นที่จริงจังเลย อย่างที่บอกว่าถ้าจะทำเรื่องสวนทุเรียนก็ต้องไปถึงสวน หรือถ้าทำเรื่องแปลรัก ก็ต้องไปเรียนภาษาจีนจริง ๆ นั่งคุยเรื่องการเรียนภาษากันไปเรื่อย ๆ แต่เรื่องนี้มันง่ายมาก เพราะเราแค่ไปคุยกับเด็ก ๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ ทุกคนมีวิธีนำเสนอตัวเองที่สนุกกันอยู่แล้ว
แบบบางทีอยู่ดี ๆ เด็กคนนึงอาจจะบอกว่า พี่ หนูหึงแฟน เพราะแฟนชอบศิลปินเกาหลีมาก คือแบบ ห๊ะ?! (หัวเราะ) ทุกคนมีวิธีคิดที่สดใหม่และมีสีสันหมดเลย แค่เดินเข้าไปคุยก็ได้เรื่องแล้ว พอสัมภาษณ์เสร็จ น้อง ๆ ก็แนะนำเพื่อนต่อ อีกสามคนแล้วมันก็แตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ คนนี้ชอบดนตรี คนนี้ชอบเกม คนนี้ชอบการเรียน แล้ว การเรียนสมัยนี้ก็เปลี่ยนไปอีก คือทุกอย่างมันสนุกหมด แล้วเข้าถึงได้ง่ายมาก
พี่จูเนียร์: เด็กสมัยนี้เขาเป็นตัวของตัวเองมาก ๆ เขาอยากเล่าว่าเขาอินกับอะไร เวลาเขาเล่าตาเป็นประกายเลยนะ ยิ่งฟังยิ่งสนุก แล้วมันเก็บมาใช้ได้หมดเลย
พี่บอส: อือ เหมือนที่มันคล้ายตรงที่วัฒนธรรมนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนมีร่วมกัน สมมติถ้าเป็นเรื่องสวนทุเรียนมันไม่ได้เกี่ยวกับทุกคน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ปลูก แต่เรื่องวัยรุ่น คือทุกคนต้องผ่านช่วงนี้มาเหมือนกัน ส่วนที่ทำให้พี่ทำได้ง่ายกว่าคือ พี่แค่จัดการจูเนียร์ เพราะจูเนียร์เป็นคนรีเสิร์ชอยู่แล้ว จูเนียร์เป็นเหมือน พจนานุกรมวัยรุ่น เลยนะ สมมุติว่าอีพีหนึ่งออกมาในปีนี้ จูเนียร์ก็จะสรุปคำที่เด็กใช้มาให้เลย แบบปีนี้มีคำนี้ ๆ ๆ นะ
พี่จูเนียร์: ใช่ อย่างปีที่แล้วใช้ ‘ตัวแม่’ ปีนี้ ‘ตัวมัม’ ยังไม่มา
พี่บอส: ใช่ เราต้องดูว่ามันฮิตมาจากอะไร สมมติว่าเราดูเด็กสมัยนี้ เวลากลางคืนเขาดูอะไรวะ? อาจจะมีเด็กบอกว่า มึง กูว่าเด็กยุคนี้ดูอีส มารูอ้วยแล้ว 555
พี่แตง: คือพี่อาจจะคิดว่าเรื่องนี้ง่าย แต่จริง ๆ มันโคตรยากเลยนะ! ถ้าจะทำให้ได้ระดับแบบ พจนานุกรมของจูเนียร์ อ่ะ มันต้องเสพทุกคืนแบบจริงจัง
พี่บอส: ใช่ ต้องขนาดนั้นเลยอะ
พี่แตง: เราอาจจะไปเสิร์ชภาษาวัยรุ่น 2025 ในกูเกิลได้แหละ แต่วิธีคิดและวิธีพูดให้เป็นวัยรุ่นจริง ๆ มันยากมากถ้าไม่ได้รีเสิร์ชระดับจูเนียร์ที่ต้องตามเทรนด์ทุกวัน
พี่บอส: ใช่เลย จูเนียร์ แม่นยำมาก ไม่รู้ไปเสพอะไรมาบ้าง แต่ดูแล้วเขา เข้าใจเด็กยุคนี้จริง ๆ
GC: ถ้าอย่างงั้นขอชาเลนจ์พจนานุกรมคนนี้หน่อยดีกว่า ช่วยยกตัวอย่างศัพท์วัยรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเจอมาหน่อยได้ไหม
พี่บอส: มา ๆ เอาหน่อยจูเนียร์ ล่าสุดมีอะไรบ้าง?
พี่แตง: เชื่อว่าเธอต้องพูดอยู่แล้วแหละ
พี่จูเนียร์: มีเยอะมาก แต่แค่นึกไม่ออก! แปปนะ (หยุดคิด) คือศัพท์มันเกิดขึ้นเยอะมาก แต่พอนึกจะพูดดันนึกไม่ออก อ่ะ อันนี้ เช่น “เกิดแต่กับกู” แล้วมันก็จะพัฒนาต่อไปอีกเป็นต้องมีต่ออะไรสักอย่าง เช่น บอร์นบัทวิทมี หรืออะไรแบบนี้
พี่บอส: ใช่ ๆ มันจะมีเลเยอร์ต่อไปเรื่อย ๆ
พี่จูเนียร์: ถูก สมมติถ้าจะพูด “ไม่มีใครเก่งเท่าแม่มึง” เฉย ๆ ก็อาจจะเชยแล้ว ต้องเพิ่มอะไรเข้าไป เช่น “ไม่มีใครเก่งเท่ามึงกับแม่ของมึงแล้ว”
พี่บอส: แบบมันจะมีเลเยอร์ของมัน เด็ก ๆ เขาพูดกันไปเรื่อย ๆ มันเลยพัฒนาตลอด
พี่จูเนียร์: ใช่ ต้องคอยเช็กตลอดว่าอันไหนเชยไปแล้ว สมมติ ตอนนี้เลยนะ อย่างคำว่า “ฮ็อบ” เฉย ๆ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ละ ต้องมีต่อแบบ “คลินิกจัดฟันใกล้ฉันอยู่ที่ไหน เรียกกูไปที” ยังงี้ (หัวเราะ)
พี่บอส: เกิดจากเด็กมันใช้เยอะ เลยนำเสนอขึ้นมาเร็ว ต้องตามให้ทัน
พี่จูเนียร์: แล้วศัพท์บางคำมันก็มีศัพท์กะเทยมาผสมด้วยนะ สนุกไปอีกแบบ อย่างศัพท์วัยรุ่นนี่ ทุกคนใช้กันเยอะ แต่ศัพท์กะเทยมันจะนีชกว่า
พี่บอส: จริง บางทีคาแรกเตอร์แต่ละคนก็ใช้ศัพท์ไม่เหมือนกัน อย่างบางคนขี้เกียจพิมพ์เยอะ ก็พิมพ์แค่ "55" ไปตลอด
พี่จูเนียร์: แต่เดี๋ยวนี้ “55” เฉย ๆ คือแก่! ต้อง พิมพ์ “5252” หรืออะไรมั่ว ๆ ไปเลย เพราะถ้าขำจริง ๆ มือมันต้องเบียด
พี่แตง: ถ้าพิมพ์ถูกเป๊ะ ๆ แปลว่ามีสติ ไม่ได้ขำจริง (หัวเราะ)

GC: แล้วนอกจากเรื่องศัพท์วัยรุ่น มีอะไรอีกไหมที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่เพิ่งมาค้นพบว่าต้องอัปเดตเพิ่มเข้าไปในเรื่อง
พี่จูเนียร์: ต้องดู TikTok เยอะ ๆ แล้วแหละ แต่คือเรามนุษย์ Twitter อะ! เข้าใจปะ พวก Twitter จ๋า แต่ TikTok เนี่ยยากจริง ถ่ายไม่เป็น ตัดไม่เป็น อินเนอร์ไม่เก็ท เลยแบบพยายามมาก เอาคลิปแมวมาจั๊มๆ ไปเรื่อยๆ ใส่เพลงมั่วซั่ว
พี่แตง: แต่คือ มันมีหลายครั้งนะ ที่พวกเราเขียนไปแล้วอยู่ดี ๆ เราหยุดมองหน้ากันแล้วพูดว่านี่ไม่ใช่ของเด็กแล้วใช่ปะ? แบบต้องมีเบรกกันตลอดเลย
GC: แปลว่า TikTok เป็นแหล่งรีเสิร์ชใหญ่เลยใช่ไหม? จากตัดหนัง ตัดยูทูป มาลองตัด TikTok นี่เปลี่ยนโหมดเลยไหม
พี่บอส: มันคนละฟีลเลย เหมือนเมื่อก่อนมี YouTuber แต่เดี๋ยวนี้มี TikToker เพิ่มด้วย
พี่แตง: เมื่อก่อนจะเสิร์ชใน Google เดี๋ยวนี้ต้องเสิร์ชใน TikTok แทน
พี่จูเนียร์: ตอนแรกไม่ชินนะ แต่พอลองเสิร์ชใน TikTok คือมันเห็นภาพคนอธิบายเลย มันไม่ใช่แค่ตัวหนังสือแบบ Google

เบื้องหลังการ ‘จีบ’ สไตล์ GELBOYS เมื่อการจีบก็บอกยุคสมัย
ถ้าใครได้ดู GELBOYS แล้ว หรือชมตัวอย่างมาก่อนก็น่าจะเห็นสเต็ปการจีบสุดแพรวพราวของเหล่าคนชอบกั๊กทั้งหลายในเรื่องได้ ซึ่งบอกได้เลยว่าถ้าใครกำลังคิดจะจีบใครสักคนให้ทันเด็กสมัยนี้ อาจต้องลองตามมาเก็บวิธีการในเรื่องไปลองใช้ดู ดังนั้นอีกหนึ่งคำถามสำคัญที่เราต้องถามทีมผู้สร้าง GELBOYS ให้ได้ ก็คือเบื้องหลังกลเม็ดการจีบทั้งหมดว่าไปหามาจากไหนกัน
GC: อีกหนึ่งเรื่องที่เราอยากรู้สุด ๆ ก็คือเรื่อง ‘การจีบ’ กันของเด็กวัยรุ่นยุคนี้ว่ามีวิธีรีเสิร์ชหรือคิดบทกันอย่างไร
พี่บอส: พี่ว่าแอปแต่ละยุคสำคัญจริง ๆ สมัยก่อนจีบกันผ่าน MSN แล้วไล่มาเป็น LINE เดี๋ยวนี้คือ DM หรือส่งเพลงผ่าน Spotify หรือแม้แต่ Discord ซึ่งสำหรับพี่ตอนรีเสิร์ช พี่จะเทียบกับเท่าที่ตัวเองเข้าใจก่อน พอเข้าใจได้แล้วค่อยขยายไปรีเสิร์ช อย่างการจีบยุคพี่ที่มันยังอยู่ถึงตอนนี้ ก็คือการกดไลค์รูปแรก! แบบพอเข้าไอจีมา จะไม่ได้กดไลค์รูปล่าสุดนะ แต่เลื่อนลงไปกดไลค์รูปแรก เพื่อให้รู้ว่ากูดูทุกรูปแล้วเว้ย! แล้วพออีกคนเห็นก็จะแบบ เออ เขาดูของฉันหมดเลยนะอะไรอย่างงี้ (หัวเราะ)
พี่เอส: จริง แล้วแบบคอนเทนต์ที่เป็นสัมภาษณ์ช่วยเยอะมาก คือช่วงที่รีเสิร์ชอ่ะ พอไถ ๆ ดูสัมภาษณ์ที่สยาม จะเจอเยอะมาก แล้วเด็กเดี๋ยวนี้เขากล้าแสดงออก สมมติว่าแบบ “ฉันชอบคนนี้” แล้วก็ “ฉันจีบเขาเลย” หรือ "ฉันแอบชอบเขายังไง" อะไรแบบนี้ ไอ้พวกดีเทลพวกนี้ได้จากสัมภาษณ์เยอะมาก
พี่จูเนียร์: การจีบอีกอันที่เปลี่ยนไปคือ เมื่อก่อนการไปดูหรือเข้าหาคนที่ชอบ คือการเดินผ่านหน้าห้องใช่ป่ะ? เดี๋ยวนี้คือไปส่องสตอรี่! เออ เหมือนแบบมึงมาส่องสตอรี่กูอะ มึงชอบกูปะ? แล้วถ้าเขาลงเพลงไว้ เราก็แชร์เพลงเดียวกันลงสตอรี่เรา เพื่อให้เขาตอบกลับมา ทุกอย่างมันออนไลน์หมดเลย แบบจีบคนที่เชียงใหม่ก็ได้เหมือนจีบคนกรุงเทพฯ
พี่บอส: แล้วมันมีอะไรบียอนด์กว่านั้นอีกนะที่พี่ยังไม่เก็ท เด็กเดี๋ยวนี้ทำยังไงนะ One Song DM มันคือวิธีจีบของเด็กยุคนี้เลย ต้องให้จูเนียร์อธิบาย
พี่จูเนียร์: เออ ก็คือสมมติลงสตอรี่เป็นการตั้งคำถามว่า “One Song DM เอาไหม?” แล้วถ้าใครตอบว่า “เอา” เจ้าของสตอรี่ก็จะส่งเพลงที่เหมาะกับเขาให้ ซึ่งมันก็คือการอ้อยกันนั่นแหละ แล้วส่วนใหญ่ก็จะรอแค่คนคนเดียวมาตอบ สมมติว่าเพื่อนมาตอบว่า “เอา ๆ” ก็ไม่ส่งให้หรอก
พี่บอส: เออ มันเหมือนการหว่านเพื่อรอคนนั้นคนเดียว
พี่จูเนียร์: ดังนั้น ถ้าจะเช็กว่าเพื่อนคนไหนมีความรักอยู่หรือเปล่า สังเกตเลย ถ้าโพสต์ One Song DM แล้วบอกว่าไม่มีความรัก อันนี้หวานชัวร์! จริง ๆ ต้องกำลังแอบชอบใครอยู่แน่ ๆ
พี่แตง: จริง นอกจากสตอรี่แล้ว พวกแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในมือถือเป็นตัวแทนของความหมายทางความรักได้หมด อยากให้รอดูในเรื่องนะ มันมีอะไรอีกเยอะ

ความหมายของเล็บเจลที่เป็นมากกว่าเรื่องแฟชัน
GC: นอกเหนือจากเรื่องความสวยงามและแฟชัน ในเรื่องนี้เล็บเจลยังเป็นสัญญะหรือเป็นตัวแทนของอะไรบ้างไหม
พี่จูเนียร์: คงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ จริง ๆ สำหรับเรา เล็บเจลมันเหมาะกับการเล่าเรื่องความสัมพันธ์แบบกั๊ก ๆ มากเลยนะ เพราะเราไม่ได้ทำเล็บเจลกันทุกวัน แต่เป็นรายเดือน มันคือการที่แบบว่า สมมุติว่าเราตกลงกันว่าจะมาทำเล็บเจลด้วยกัน ก็แปลว่าเราจะเจอหน้ากันแค่เดือนละครั้งเองนะ มันเลยเหมาะกับความสัมพันธ์นี้มั้งอะไรอย่างเงี้ย
พี่แตง: ช่วงแรกมันอาจจะดูเป็นแฟชั่นสำหรับกลุ่มผู้หญิงมากกว่า แต่ช่วงหลัง ๆ หลายปีก่อน ตอนที่พี่บอสเจอพี่จูเนียร์ทำเล็บ ก็เป็นช่วงเดียวกับที่แตงมีเพื่อนผู้ชายที่เริ่มทำเล็บเจล แล้วเขาก็บอกว่า มันเหมือนเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยหยุดการกัดเล็บ แต่พอทำแล้วมันดูเป็นแฟชั่นไปเลย จากเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ มันค่อย ๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ได้จำกัดแค่เพศหญิงอีกต่อไป เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก
พี่บอส: ใช่ แล้วถ้ามองจากมุมพี่ พี่รู้สึกว่ากิจกรรมอะไรก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้หมด แต่ว่าเล็บเจลเป็นช่วงเวลาที่เรามีสมาธิร่วมกันจริง ๆ เหมือนเรามีโมเมนต์ที่อยู่ด้วยกัน สมมติว่ายุคก่อนเราอาจจะมีโมเมนต์ในการดูหนัง ก็คือนั่งข้างกัน กินข้าวด้วยกัน ทุกคนก็มีกิจกรรมร่วมกันหมด แล้วเล็บเจลก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สร้างโมเมนต์ดี ๆ ด้วยกัน พี่รู้สึกว่าระหว่างที่ทำเล็บ เราก็ได้พูดคุยกัน หรือแค่การเลือกแบบเล็บก็เป็นโมเมนต์ที่ดี เป็นข้ออ้างที่ทำให้เราได้ใช้เวลาร่วมกัน
พี่แตง: แล้วพี่รู้สึกว่า เวลาเรามองลายเล็บของใคร มันเหมือนเราพอจะเดาได้ว่าเขากำลังรู้สึกอะไร หรือคิดอะไรอยู่ แบบ เห็นเล็บแล้วนึกถึงตัวตนของเขา คล้ายกับการแต่งหน้า แต่ใช้เล็บเป็นพื้นที่แสดงตัวตนแทน
พี่เอส: ใช่ เราก็คิดคล้าย ๆ แตง คือเรื่องตัวตนเลย อย่างเราตอนแรกเราไม่เคยทำเล็บเจล แต่เราเคยเห็นแฮร์รี สไตลส์ทำแล้วรู้สึกว่าเท่มาก แต่ก็ยังไม่กล้าทำเอง จนพอเราเริ่มรีเสิร์ชมากขึ้น เห็นว่ามันมีความหมายบางอย่างอยู่เบื้องหลัง พอได้ลองทำจริง ๆ เรารู้สึกเหมือนเป็นการทบทวนตัวเอง ว่าเราชอบอะไร สนใจอะไร ก่อนจะเลือกลายเล็บออกมา มันเป็นกระบวนการค้นหาตัวเอง แล้วพอออกมาเป็นลายเล็บจริง ๆ คนอื่นเห็นก็จะเข้าใจว่า อ๋อ คนนี้เป็นแบบนี้นะ
พี่จูเนียร์: หรือจริง ๆ มันอาจจะบอกอะไรได้มากกว่าการแต่งตัวด้วยนะ เพราะเสื้อผ้าเปลี่ยนได้ทุกวัน แต่เล็บต้องอยู่กับเราทั้งเดือน ดังนั้นการเลือกลายเล็บ มันต้องคิดเยอะขึ้นว่าเราจะใส่อะไรไว้บนนี้ดี
พี่แตง: แล้วจังหวะที่ช่างทำเล็บถามว่า ‘เอาลายอะไรดีคะ?’ มันยากกว่าที่คิดเยอะเลย จริง ๆ นะ แบบตอนนี้รู้สึกอะไร เรามันสไตล์ไหนนะ ช่วงนี้อินอะไรอยู่นะ... เอ๊ะ! จะทำลายอะไรดี?
GC: แปลว่าตอนนี้ทีม GELBOYS ต้องมีเรฟการทำเล็บเยอะแน่ ๆ
พี่บอส: เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะในหนังลายเล็บต้องเยอะ แล้วต้องมีไดนามิกในตัวเอง อย่างแรกเราต้องรู้ก่อนว่าเล็บสามารถออกแบบได้กี่แบบ เช่น บางทีทาแค่เจลธรรมดา บางทีเพิ่มเทคนิคเพ้นท์ ซึ่งแต่ละแบบให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ถ้าเป็นการปั้นเล็บ มันอาจจะช่วยเล่าความรู้สึกของตัวละครมากขึ้น เช่น ปั้นเป็นหมา ปั้นเป็นงู ปั้นเป็นแมว หรือบางเทคนิคทำให้เล็บหมุนได้ ซึ่งพอเรารู้ว่าเทคนิคมีอะไรบ้าง เราก็เลือกให้เหมาะกับภาพและอารมณ์ของเรื่อง แล้วค่อย ๆ ไปต่อให้เข้ากับบท มันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนพอสมควร
GC: ถ้าอย่างนั้นขอถามทุกคนต่อเลยแล้วกันว่า ถ้าวันนี้ทุกคนมีโอกาสทำเล็บเจลแล้วเข้าไปเป็นตัวละครในเรื่อง GELBOYS (บทไหนก็ได้) ทุกคนจะทำเล็บสีอะไร ใส่ลายอะไรลงไปบ้าง และเพราะอะไร
(ทุกคนเริ่มโชว์เล็บที่เพิ่งทำมา)
พี่บอส: สำหรับพี่ พี่เป็นคนชอบทำเล็บแบบปั้นนูนมากเลย รู้สึกว่ามันเหมือนเป็นประสบการณ์จริงที่เชื่อมโยงกับชีวิต คือที่พี่ชอบปั้นนูนเพราะว่ามันทำให้คิดถึงแมวของพี่ที่เคยหายไป แล้วพอพี่ได้มาลองปั้นนูน มันเป็นลายหน้าแมว แล้วมันเหมือนมาก พี่เลยประทับใจตั้งแต่นั้นมา แล้วก็รู้ตัวเลยว่าชอบเทคนิคปั้นนูน เพราะมันทำให้บางสิ่งบางอย่างดูมีชีวิตขึ้นมา
ฟังดูติสต์เนอะ แต่พี่รู้สึกว่าการทำให้บางอย่างสมจริงขึ้นมา มันสร้างความรู้สึกบางอย่างที่จับต้องได้ พี่เลยชอบการปั้นนูนที่ทำให้รายละเอียดมันชัดขึ้น แล้วก็ดูเหมือนมีชีวิต เหมือนว่าแมวพี่ก็ยังอยู่กับพี่นะ อย่างน้อยก็อยู่บนเล็บของพี่
พี่แตง: ส่วนแตง แตงชอบแนวนามธรรมนะ แบบที่ไม่ได้มีรูปแบบชัดเจน เป็นอารมณ์ล้วน ๆ แล้วก็ต้องมีอะไรที่นูนออกมาหน่อย พอได้มอง ได้สัมผัส แล้วรู้สึกว่าสนุก เอาไปเล่นได้ เวลาคิดอะไรไม่ออกก็นั่งเล่นเล็บตัวเองไปเรื่อย ๆ
พี่จูเนียร์: ส่วนจูเนียร์ ชอบอะไรที่ดูมีสีสันหน่อย เพราะปกติเป็นคนแต่งตัวเรียบ ๆ สิ่งที่เติมสีให้เราได้ก็คือเล็บ ถ้าสมมุติเราอยู่ในซีรีส์ หรือเป็นตัวละคร เสื้อผ้าอาจจะธรรมดา แต่เล็บช่วยให้ดูมีอะไรขึ้นมา
พี่เอส: พี่ชอบแนวเรียบ ๆ แต่ต้องมีกิมมิคหน่อย อย่างสีดำที่มีแซมสีเงินนิด ๆ ดูเรียบแต่มีลูกเล่น

GELBOYS กับความรัก ‘ไม่จำกัดเพศ’ ยังไง?
GC: อีกประเด็นหนึ่งที่ Gelboys ชูโรงขึ้นมา ก็คือความตั้งใจที่จะเล่าเรื่อง ‘ความรักแบบไม่จำกัดเพศ’ เราเลยอยากรู้ว่า ทีมมีการพูดคุยหรือศึกษาประเด็นเรื่อง gender neutrality อย่างไรเพื่อให้ GELBOYS เป็นเรื่องที่ ‘ไม่จำกัดเพศ’ อย่างแท้จริง
พี่บอส: ประเด็นเรื่องความรักไม่จำกัดเพศกับความสัมพันธ์ของตัวละคร พี่รู้สึกว่าทุกยุคตั้งแต่พี่เริ่มทำฮอร์โมน วัยรุ่นแต่ละยุคจะพูดถึงเรื่องเพศต่างกันมาก เช่น บางยุคเน้นประเด็นที่เราบอกพ่อแม่ไม่ได้ บางยุคไม่ได้เกี่ยวกับสังคมหรือพ่อแม่แล้ว แต่เป็นตัวเราเองที่ยังรับไม่ได้กับตัวเอง แต่ยุคนี้ไปไกลกว่านั้น กฎหมายความเท่าเทียมเข้ามาแล้ว เด็ก ๆ เริ่มเปิดใจมากขึ้น พวกเขากล้าที่จะภูมิใจในตัวเอง เช่น ถ้าฉันเกิดมาเป็นเกย์ ฉันก็ภูมิใจในความเป็นเกย์ เพราะฉันเห็นไอดอลเกย์แต่งตัวแบบนี้ ฉันก็แต่งได้ มันมีตัวอย่างเยอะขึ้น ทำให้คนกล้าเป็นตัวเองมากขึ้น ไม่มีแพทเทิร์นตายตัวแบบ
พี่คิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นแบบนั้น มันคือการบอกว่าตัวเราเป็นอะไรก็ได้ และไม่พูดเรื่องเพศอีกต่อไป แต่พูดถึงความรักล้วน ๆ เราชอบใครก็ชอบไปเลย ไม่มีข้อจำกัด บางทีในหนัง อาจมีตัวละครที่ชอบผู้หญิงอยู่พักหนึ่ง แล้วต่อมาก็ชอบผู้ชาย หรืออาจจะไม่ได้รักใครเลยก็ได้ หนังไม่ได้มาถกเถียงว่า การที่เธอเป็นแบบนี้ เธอเป็นอะไร เพราะหนังเรื่องนี้ต้องการสื่อว่า เราข้ามจุดนั้นมาแล้ว เราไปไกลกว่านั้น เราภูมิใจในตัวเองแล้ว เรามาพูดกันว่าเรารักใครดีกว่า
พี่เอส: มันก็เหมือนกับการเล่นโซเชียลเนอะ เวลาที่เราเห็นคอมเมนต์ในทวิตเตอร์ หรือ X พูดถึงเรื่องเพศ เรื่องเกย์ หรือข้อจำกัดบางอย่างของประเทศ คนก็มักจะคอมเมนต์แบบว่า "แก่มาก" "เมื่อไหร่จะเลิกพูดเรื่องนี้" พอถึงตอนที่เขียนบท ก็เลยรู้สึกว่าเด็กยุคนี้ไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว เพศอะไรก็ได้ ทุกวันนี้เรื่องเพศมันกว้างมาก บางคนเป็น LGBTQIA+ บางคนอาจเป็น Asexual หรืออะไรอีกหลายอย่าง มันไปไกลแล้ว หนังเรื่องนี้เลยพูดถึงเด็กยุคใหม่ ที่มองว่าเรื่องเพศไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
พี่บอส: เสริมนิดนึง บางคนอาจจะยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตน แต่สุดท้ายแล้ว พี่คิดว่าหนังเรื่องนี้สะท้อนทัศนคติที่เปิดกว้าง เหมือนที่เอสพูด ทุกคนมีความรักได้ รักใครก็ได้ สำหรับเด็กที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง อาจจะมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างใหม่ เป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นไอดอลให้พวกเขา
GC: แล้วทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องนี้ผ่านตัวละครที่สร้างขึ้นมา? อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าตัวละครเหล่านี้สามารถแสดงแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจน? อยากรู้ว่าพัฒนาคาแรกเตอร์เหล่านี้ยังไง?
พี่บอส: ตอนที่เริ่มต้น พอรู้ว่าเราจะไม่พูดเรื่องเพศ แต่จะพูดเรื่องความรัก มันก็เลยเหมือนไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย ไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยว่าจะต้องวางคาแรกเตอร์เป็นเพศไหน ทุกอย่างมาจากตัวคาแรกเตอร์ล้วน ๆ เราแค่รู้สึกว่าตัวเอกของเรื่องควรเป็นแบบนี้ นิสัยแบบนี้ ไม่ได้มานั่งคิดว่าต้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง พอเริ่มวางคาแรกเตอร์ ก็กลายเป็นว่าตัวละครไหนที่เหมาะจะขับเคลื่อนความรู้สึกของหนัง ตัวละครไหนจะช่วยทำให้เรื่องเติบโตและส่งสารได้ชัดเจน พอมีตัวละครหนึ่งขึ้นมา ก็ต้องมีอีกตัวมาช่วยเสริมให้หนังแข็งแรงขึ้น
หลังจากวางคาแรกเตอร์แล้วก็เริ่มหานักแสดง นักแสดงที่เลือกมาก็จะทำให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้น อย่างเลออน ดูเป็นเด็กยุคใหม่ มีความเฟียซ ส่วนพีเจก็ดูนุ่มนิ่ม มีเสน่ห์ที่ทำให้คนดูอยากเป็นหม่ามี๊ ทุกอย่างมันเลยเป็นการพัฒนาไปตามคาแรกเตอร์ของเรื่อง
พี่แตง: ตอนเขียนบท แทบจะไม่ได้ถกเถียงกันเลยว่า คนนี้เพศนี้จะเป็นแบบนี้ แล้วมาเจอคนเพศนี้ แล้วจะนำไปสู่อะไรสิ่งที่เราเขียนในกระดาษมีแค่คาแรกเตอร์ล้วน ๆ เพราะในหัวเราตัดสินใจข้ามเรื่องเพศไปแล้ว เราดูว่าเราอยากเล่าคนแบบไหน คาแรกเตอร์แบบไหนที่เราอยากเห็น หรือไม่อยากเจอ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคน มากกว่าหมวดหมู่ของเพศ
พี่บอส: ใช่

เมื่อทุกอย่างมัน ‘วัยรุ่น’ การถ่ายทำเลยต้องวัยรุ่นหรือเปล่า?
GC: หนึ่งในไฮไลต์ของซีรีส์เรื่องนี้คือการใช้สมาร์ทโฟนในการถ่ายทำทั้งหมด เลยอยากให้พี่ ๆ ช่วยเล่าเบื้องหลังของการเลือกใช้อุปกรณ์นี้ในการถ่ายทอดเรื่องรักวัยรุ่นฉบับ Gelboys หน่อย
พี่บอส: ใช่ ๆ จริง ๆ มันเป็นการตัดสินใจช่วงท้าย ๆ เลย พอถ่ายไปสักพักก็รู้สึกว่าบทมันดูร่วมสมัย เสื้อผ้าก็จัดเต็ม แคสต์ก็คัดเลือกจากเด็กรุ่นนี้จริง ๆ แล้ววิธีการเล่าในหนังก็ไม่ได้เล่าแค่ช็อตของหนัง เราสร้าง interface ขึ้นมาในเรื่องเหมือนมีโทรศัพท์อยู่จริง ๆ คือพยายามคิดแบบจัดเต็มให้เข้าถึงวัยรุ่นมากที่สุด สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่การถ่ายทำว่าเราจะทำยังไงได้บ้าง
เริ่มจากตอนคิดช็อต รู้สึกว่าในทุกเรื่องที่ผ่านมาเราก็ทำแบบนี้หมด แล้วทำไมเราถึงยังไม่เจอสิ่งที่พิเศษสำหรับหนังเรื่องนี้เลยนะ? จนวันหนึ่งเลยลองเปลี่ยนแนวคิด แล้วก็ไปสยาม ซึ่งปกติพี่ตั้งเวลาบล็อกช็อต เค้าจะไม่ใช้กล้องตัวเล็ก ๆ แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบล็อกตลอด เพราะโทรศัพท์มีหลายเลนส์ เปลี่ยนไว แล้วสะดวกกับการถ่ายหลาย ๆ ที่ จนสุดท้ายระหว่างถ่ายก็คิดว่า เฮ้ย ถ้างั้นถ่ายแบบนี้เลยไหม มันดูวัยรุ่นมาก ๆ แล้วมันก็ดีนะ
แต่ตอนเริ่มคิดไม่ค่อยมั่นใจเลย กลัวว่าพอเป็นหนังแล้วมันจะขาดมู้ดแอนด์โทนที่ได้จากเลนส์กล้องปกติ เพราะเลนส์กล้องมันช่วยบอกอารมณ์ได้เยอะมาก พอใช้โทรศัพท์มันก็มีข้อจำกัดและอารมณ์ที่ต่างออกไป มันเป็นสิ่งใหม่จริง ๆ ก็ลังเลอยู่ว่าจะเอาจริงไหม แต่พอมองภาพรวม พี่กับพี่ตั้ง (ตะวันวาด วนวิทย์) ก็รู้สึกว่า ถ้าไม่ใช่โปรเจกต์นี้ ในชีวิตนี้เราคงไม่มีโอกาสถ่ายหนังด้วยโทรศัพท์อีกแล้ว ถ้ามันมาแค่ครั้งเดียวก็คงผ่านไปเลย ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางแบบเต็มตัวภายในสองถึงสามอาทิตย์
GC: แล้วพอเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์จริง ๆ ระหว่างทางเคยรู้สึกว่าเราไม่น่าเลยใช้วิธีนี้เลยไหม? หรือมีความท้าทายอะไรระหว่างทางหรือเปล่า
พี่แตง: โหย คิวแรก ตั้งแต่คิวแรกเลย!
พี่บอส: ใช่! จบคิวแรกไปคิวสองนี่แทบจะบอกกันว่าไม่ถ่ายต่อเลย (หัวเราะ) คือพอมันเป็นโทรศัพท์ เราก็คิดว่าต้องหาวิธีเล่าอะไรที่กล้องใหญ่ทำไม่ได้ เช่น ถ้าถ่ายด้วยกล้องใหญ่ เวลาอยากโคลสอัปเราต้องเข้าไปจ่อใกล้ ๆ แต่พอเป็นโทรศัพท์ เราสามารถยกขึ้นมาถ่ายได้เลยแบบไม่ต้องเซ็ตเยอะ
คือมันใกล้ชิดขึ้น แล้วก็เห็นวิชวลที่แตกต่างไปจากเดิม เลยคิดว่า เฮ้ย โทรศัพท์มันก็มีเสน่ห์ของมันนะ แต่ว่าคิวแรกยังไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอะไรเกี่ยวกับโทรศัพท์เลย เหมือนแค่ใช้โทรศัพท์แทนกล้องเฉย ๆ แล้วภาพมันดูไม่คุ้นเลย เพราะมันไม่เบลอข้างหลังแบบกล้องใหญ่
ปกติเราชินกับภาพที่พื้นหลังเบลอ ๆ เห็นสายตานักแสดงชัด ๆ แต่โทรศัพท์มันเบลอแบบนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะจ่อใกล้มาก ๆ ดังนั้นเวลาถ่ายภาพกว้าง มันเลยแทบไม่เบลอเลย กลายเป็นว่าทีมงานทุกฝ่ายต้องทำงานหนักขึ้นมาก เซ็ต ต้องเป๊ะ แสงต้องดี บรรยากาศต้องถึง
พี่แตง: คือพลาดไม่ได้เลย
พี่บอส: แล้วคิวแรกเราถ่ายที่สยาม ซึ่งเป็นพื้นที่เปิด เราไม่ได้ปิดกอง ทุกจุดเต็มไปด้วยคนเดินไปมา ภาพที่ได้เลยเห็นทุกอย่างหมดเหมือนระเบิดเวลา (หัวเราะ) ยากมาก
แต่สุดท้ายแล้วก็กลับมาที่ไอเดียตั้งต้น คือไม่ว่าจะยังไง โทรศัพท์มันเหมาะกับหนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้วพอถ่ายสยามออกมาก็รู้สึกว่า เออ ก็ดีนะที่พื้นหลังมันไม่เบลอ เพราะมันทำให้เห็นดีเทลที่แลกมา เช่น อยู่ดี ๆ มีเด็กเล่น TikTok ข้างหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเซ็ตไม่ได้ มันเหมือนเป็นธรรมชาติของยุคนี้จริง ๆ ก็เลยตัดสินใจไปต่อ
พี่จูเนียร์: อีกอย่างคือ จากปกติอ่ะ ทีมกล้องอ่ะมันจะเยอะมากเพราะว่ากล้องมันใหญ่ อยู่ดี ๆ มันหดอ่ะ เออ แบบว่าข้อดีคือมันซอกซอยได้ แบบว่าเต็มที่เลยอะไรอย่างเงี้ย อย่างเราจะมี DP (ผู้กำกับภาพ) สองคนใช่ไหม ก็จะมีแบบพี่ตั้งพี่โด แต่พอใช้โทรศัพท์ถ่าย พี่บอสกับพี่ตั้งก็ถือถ่ายไป ส่วนพี่โดก็หยิบโทรศัพท์อีกเครื่องไปถ่ายเสริมได้เลย สะดวกมาก ๆ
พี่บอส: ใช่ ๆ แบบมือถือมาก ๆ
พี่จูเนียร์: ใช่! มันคล่องตัวมาก พอจบกองไปแล้วกลับมาตัดต่อ ถ้าเห็นว่ามีบางช็อตที่ยังเล่าไม่สุด เราก็แอบกลับไปถ่ายเพิ่มได้ เพราะแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ไม่ต้องตั้งกองใหม่ แค่ให้พี่ตั้งเซ็ตค่าให้เป็นโหมดภาพยนตร์ก็พอ ง่ายมาก
GC: สุดท้ายนี้ มีอะไรที่อยากเล่าแต่เรายังไม่ได้ถามไหม
พี่บอส: พี่ว่าของพี่คงเป็นเรื่องนักแสดง สังเกตได้เลยว่าพี่มักจะทำงานกับนักแสดงหน้าใหม่เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงจาก ฮอร์โมน หรือแก๊ง แปลรัก อย่าง บิวกิ้น พีพี และคนอื่น ๆ พี่รู้สึกว่าเด็กเหล่านี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทุกคนอาจไม่ได้มีความสามารถรอบด้านแบบสุดโต่ง แต่พวกเขามีเอกลักษณ์และเป็นตัวของตัวเอง
อย่างนิว (ชยภัค ตันประยูร) ที่เล่นบทโฟร์มด ถึงแม้จะไม่ได้ร้องเพลงเก่งมาก เต้นก็ไม่ได้ดีที่สุด หรือแม้แต่เล่นเกมยังแพ้เพื่อน แต่เขาก็ยอมรับสิ่งนี้และยังคงพยายามพัฒนาตัวเอง ซึ่งพี่มองว่าเป็นทัศนคติที่ดี เด็กสมัยนี้ไม่ได้มองว่าสิ่งที่ตัวเองไม่เก่งเป็นข้อด้อย แต่กลับใช้มันเป็นแรงผลักดันให้พัฒนาตัวเองต่อไป
หรืออย่างเลออน (เลออน เซ็ค) ที่เป็นเด็กจริง ๆ ทุกอย่างในชีวิตเขาถูกบันทึกลงโทรศัพท์ ต่างจากพี่มากที่ไม่ได้ทำแบบนั้นเลย แต่เขากลับมีความสุขในโลกของเขาเอง พี่ชอบที่เด็กเหล่านี้มีความเป็นตัวของตัวเอง และแต่ละคนก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป
พี่จูเนียร์: จะขออนุญาตเสริมในส่วนนี้ แสดงว่าน้อง ๆ อะเติมบทเราให้บียอนมากขึ้น เหมือนพอทุกคนเหมาะกับคาแรคเตอร์อย่างเงี้ยใช่มั้ย กลายเป็นว่านิวมาเติมพาร์ทนี้ ความที่เอาชนะหรืออะไรก็ตามอย่างเงี้ย เลออนอะอยู่ดี ๆ ก็มาบอกเราว่า พี่ คํานี้ไม่พูดนะ แบบไม่เล่นนะ
พี่บอส: ใช่เลย! อย่าง พีเจ (มหิดล พิบูลสงคราม) เอง เขามักจะพูดติดตลกว่า ทำไมเจเลอร์ (กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) สูงจัง หรือ ทำไมแม่ให้ผมตัวแค่นี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ความที่เขาตัวเล็กนี่แหละที่ทำให้เขาน่ารัก และคนก็ชื่นชอบเขาในแบบที่เขาเป็น หรืออย่าง ไปท์ ที่ดูโตกว่าคนอื่น แต่มีพลังวัยรุ่นเต็มเปี่ยม มันเหมือนเขาทลายข้อจำกัดเรื่องอายุไปเลย
พี่แตง: พีเจเขาเป็นสายซัพพอร์ตใช่ไหม อาจจะดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่รอคอยและคอยสนับสนุนคนอื่น ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเขาเลย






สามารถตามไปติดตาม GELBOYS สถานะกั๊กใจ กันได้ ทางช่อง ONE31 และ IQIYI หรือตามไปสัมผัสความน่ารักของทีมงานทั้งหมดและนักแสดงของเรื่องเพิ่มเติมได้ที่ Social Media ต่าง ๆ ของค่าย LOOKE (ลู้คกี้)