อวสาน Flat Design การมาถึงของ Liquid Glass ใน iOS 26 ที่พาโลกสู่ยุค "ปิดจอ แต่ไม่จบ"

Post on 18 September 2025

เห็นว่าคนใช้ไอโฟนตอนนี้คงเริ่มอัปเดต iOS 26 กันแล้ว และเราก็แอบเห็นแล้วว่าหลายคนไม่ชอบมันซะเลย ตั้งแต่ปุ่มใส ๆ ที่ใช้ยังไงก็ไม่รู้ ไปจนถึงไอคอนต่าง ๆ (โดยเฉพาะแอปกล้องถ่ายรูป) ที่ไม่ค่อยสวยถูกใจสักเท่าไร แต่แทนที่จะหยุดอยู่แค่ความไม่พอใจ เราอยากชวนลองก้าวถอยออกมา และมองการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ในมุมที่กว้างขึ้น

สิ่งที่ Apple ทำ ไม่ได้เป็นแค่การ “เปลี่ยนหน้าตา” ของระบบ แต่คือการขยับครั้งใหญ่ในปรัชญาการออกแบบ ที่กำลังพาโลกก้าวข้ามจากยุค Flat Design ไปสู่สิ่งใหม่ ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคการออกแบบถัดไปที่เรากำลังจะได้เห็นด้วยตาของเราเอง

สิ่งสำคัญของระบบปฏิบัติการใหม่นี้คือ “Liquid Glass” ที่หน้าตาดูเหมือนแค่ปุ่มใส ๆ บนหน้าจอ แต่แท้จริงแล้วมันคือ “ภาษาดีไซน์” ที่ออกมาท้าทายวิธีคิดแบบ Flat Design ซึ่งเคยรุ่งเรืองมาก่อน นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงด้านหน้าตาเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับอุปกรณ์ดิจิทัล และอาจลึกไปถึงความสัมพันธ์ของเรากับ “โลก” ที่กำลังถูกห่อหุ้มด้วยดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ลองมาทำความเข้าใจไปพร้อมกัน แล้วค่อยตัดสินใจด้วยกันว่า… เราจะอัปเดต iOS ดีไหม (หรือจะต่อต้านมันอย่างไรดี!)

** กำเนิดโลกดิจิทัล อันไร้แสงเงาและพื้นผิวแห่งชีวิต**

สาวกแอปเปิลรุ่นดั้งเดิมคงจำได้ (หรือบางคนอาจจะลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไร) ว่าเราเคยผ่านการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่แบบนี้มาแล้ว ครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อ iOS 7 ตัดสินใจเลิกใช้การออกแบบสไตล์ “Skeuomorphism” หรือพูดง่าย ๆ คือการทำไอคอนให้หน้าตาคล้ายสิ่งของจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ไอคอนสมุดโน้ตที่เหมือนสมุดกระดาษจริง ๆ หรือไอคอนกล้องที่เป็นเลนส์โค้งใส จนดูราวกับจะจับต้องได้

จากนั้น Apple ก็หันมาใช้ดีไซน์ที่เป็นรูปทรงเรขาคณิต สีเรียบ ๆ ไม่มีเงา ไม่มีพื้นผิวของวัสดุอีกต่อไป นั่นคือการเข้าสู่ยุคของ Flat Design ที่เน้นความเรียบง่าย ชัดเจน และใช้งานได้ตรงไปตรงมา แต่ในขณะเดียวกัน หลายคนก็รู้สึกว่ามันดู “เย็นชา” และขาดชีวิตชีวาไปไม่น้อย

มองด้วยตาเพียงอย่างเดียว วัสดุโปร่งใสแบบ Liquid Glass อาจชวนให้นึกถึงก้อนเมฆ ปลาในน้ำ ท้องฟ้า หรือแม้แต่น้ำใส ๆ ที่เคยปรากฏอยู่ในงานออกแบบสไตล์ Frutiger Aero ซึ่งเป็นที่นิยมในคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เทคโนโลยีช่วงราวปี 2010 แต่สิ่งที่ทำให้ Liquid Glass กลายเป็น “สุนทรียะใหม่” ไม่ได้อยู่ที่หน้าตาเพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่ “ตำแหน่งแห่งที่” ของมัน และการประกาศว่า ฉันจะไม่ใช่เพียงสื่อกลางในการเลียนแบบความเป็นจริง หรือเป็นภาพชวนฝันเพื่อเบรกความล้ำสมัยอีกต่อไป แต่ฉันคือ “ความเป็นจริง” เสียเอง

อวสานของเส้นแบ่งโลก เมื่อปิดจออาจจะไม่จบอีกต่อไป?

และแล้วโลกก็พบกับโลกใบใหม่ในหน้าจอ ผ่านการออกแบบ Liquid Glass ที่นำ “ความลึก” ของวัตถุใกล้–ไกลกลับคืนมา ด้วยการใช้แสงและเงาสร้างการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชั้นต่าง ๆ ที่ซ้อนอยู่บนหน้าจอ

คำถามก็คือ โลกกายภาพของเรากำลังค่อย ๆ ถูกดึงกลับเข้าไปในนั้นจริงหรือ? หรือในทางกลับกัน… อุปกรณ์ดิจิทัลต่างหากที่กำลังจะกลืนกินโลกนอกหน้าจอของเราไปอย่างช้า ๆ

ทุกครั้งที่เราแตะหน้าจอ เราไม่ได้เพียงแค่สัมผัสตำแหน่งหนึ่งบนกระจกธรรมดา แต่คือการแตะ “ปุ่ม” ที่มีรูปทรง มีน้ำหนัก มีความทึบ โปร่งใส เคลื่อนไหว และตอบสนองต่อการกระทำของเราอย่างเฉพาะตัว มันไม่ใช่เพียงเครื่องมือสร้างภาพลวงตาหรือความเป็นจริงเสมือน แต่คือการทำให้ทุกสิ่งผสมผสานเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ลูกศรที่เคลื่อนไปตามการลากเมาส์อีกต่อไป แต่คือวัตถุจริง ๆ ที่เราเหมือนได้จับต้อง

Alan Dye รองประธานฝ่าย Human Interface Design ของ Apple เคยกล่าวไว้ว่า “Apple เชื่อเสมอมาในการทำงานสอดประสานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อให้การโต้ตอบกับเทคโนโลยีเป็นเรื่องเข้าใจง่าย สวยงาม และเพลิดเพลิน”

เขายังเสริมอีกว่า “ดีไซน์ใหม่นี้คือการวางรากฐานสู่ประสบการณ์ใหม่ ๆ ในอนาคต ซึ่งจะทำให้แม้แต่การโต้ตอบเล็กน้อยที่สุดก็ยังเต็มไปด้วยความสนุกและความมหัศจรรย์”

แต่ในอีกฟากหนึ่ง ศิลปินสาย Post-internet หลายคนกลับเตือนว่า ตรรกะทางเทคโนโลยีไม่ได้อยู่แค่ในหน้าจออีกต่อไป มันกำลังแพร่ขยายออกมาจนแม้เราจะ “ปิดจอ” ก็ไม่อาจหลีกหนีได้ ตัว Apple เองก็บอกชัดว่าภาษาการออกแบบใหม่นี้ทำให้ “ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และคอนเทนต์” กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว เมื่อภาษาในหน้าจอเปลี่ยน ภาษาโลกนอกหน้าจอก็เปลี่ยนไปด้วย — สิ่งที่ถูกให้คุณค่าในนั้น สุดท้ายก็สะท้อนกลับมาสู่โลกจริง

ไม่นานมานี้ ผลงานอุโมงค์หน้าจอ Hyper Inter Me ของ ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ ก็สร้างประสบการณ์ที่ชี้ชัดถึงเรื่องนี้ ข้อมูล ข่าวสาร ภาพ และเสียง จากทั่วอินเทอร์เน็ตถูกอัดรวมกันจนทะลักล้นเกินขีดจำกัดประสาทสัมผัส แสดงให้เห็น “ระบอบอัลกอริทึม” ที่ไม่ได้สนใจเหตุผล หากแต่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ภาพและเสียง เป็นระบอบที่เกิดขึ้นในหน้าจอ แต่กระจายผลกระทบสู่ผู้คนที่ใช้ชีวิตเชื่อมโยงกับมันจริง

Liquid Glass จึงอาจเป็นการคืบคลานของ “ปุ่มใส” ที่จะซ้อนทับเข้ากับดวงตาเราได้จริง ๆ ไม่ต่างจากที่อัลกอริทึมเคยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์มาแล้ว

เราอาจเคยแยกวิธีใช้ชีวิตออกเป็นสองแบบ นั่นคือ แบบที่อยู่บนโลกจริง กับแบบที่อยู่ในหน้าจอ แต่เมื่อทั้งสองกำลังผสานเข้าหากัน กฎเกณฑ์และรูปลักษณ์เริ่มคล้ายกันมากขึ้นทุกที แล้วโลกแบบไหนกันแน่ที่จะขึ้นครองอำนาจ? หรือแท้จริงแล้วเรากำลังก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่ไม่ใช่ “โลกจริง” หรือ “โลกดิจิทัล” แต่คือการผสานรวมระหว่างทั้งสอง

ทีนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องเลือกแล้วว่า จะรีบปรับตัวให้ทันระบบใหม่ที่บรรดาบริษัทเทคโนโลยีกำลังสร้าง เพื่อไม่ให้ “อวสาน” ไปเสียก่อน หรือจะตั้งคำถามกับมันจนถึงที่สุด และร่วมกันออกแบบโลกใบใหม่ไปพร้อมกัน

หรือเราเองที่คิดเยอะไปกันแน่นะ…

อ้างอิง