เรารู้จักเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกตอนมัธยมต้น ไม่ใช่จากความตั้งใจแต่เป็นความบังเอิญในระหว่างหาหนังสือเล่มใหม่อ่านจากห้องสมุดของโรงเรียน วันนั้นเราได้พบกับการ์ตูนปกสีสันสดใส กับตัวละครตาหวานหน้าสวยที่ชื่อว่า ‘แอนน์ แฟรงค์’ (Anne Frank) เราหยิบมันขึ้นมาอ่านทันทีโดยไม่อาจเดาได้เลยว่าเนื้อเรื่องกำลังจะพาเราไปเจอกับอะไร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และเมื่อการ์ตูนหน้าสุดท้ายจบลงที่ความตายของตัวละครที่เรารู้สึกผูกพัน เราก็ร้องไห้ตามระเบียบ
หลังจากอ่านจบ เรายังเข้าใจเพียงว่า แอนน์ แฟรงค์ เสียชีวิตเพราะโรคไทฟอยด์ ในคุกแห่งหนึ่งที่เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกเธอถูกจับไปขังเพราะอะไรกันแน่ ยิวคืออะไร ทำไมต้องมีการติดดาวหกแฉกที่เสื้อคลุม ทำไมครอบครัวของ แอนน์ แฟรงค์ ถึงถูกเพ่งเล็ง และในขณะที่เรากำลังจะลืมเลือน วันหนึ่งในคาบวิชาสังคมศึกษาที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์โลก เราก็ค้นพบว่า อดอลฟ์ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) บุคคลที่เราเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเรื่องแต่งมีตัวตนอยู่จริง รวมถึง แอนน์ แฟรงค์ ด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ เรามีโอกาสได้อ่านนิยายภาพเรื่อง MAUS ฉบับรวมเล่ม นิยายภาพรางวัลพูลิตเซอร์ปี 1992 โดย อาร์ต สปีเกลแมน (Art Spiegelman) ที่เพิ่งวางจำหน่ายในประเทศไทย ว่าด้วยบันทึกชีวิตของวลาเด็ค (Vladek) พ่อของผู้แต่ง ผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันนาซี นิยายภาพเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านฉากการสัมภาษณ์ระหว่างพ่อลูก โดยมีเส้นเรื่องสองสายตัดสลับกันไปมา เส้นเรื่องแรกคืออดีตอันโหดร้ายของวลาเด็ค ตั้งแต่ชีวิตที่เคยสุขสบายก่อนสงคราม การต่อสู้ดิ้นรนหนีการไล่ล่าของนาซี ไปจนถึงการเผชิญหน้ากับความตายในเอาชวิทซ์ และอีกเส้นเรื่องคือยุคปัจจุบัน ที่สะท้อนให้เห็นการสนทนาและความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่ากับผู้บันทึก
แตกต่างจาก แอนน์ แฟรงค์ นิยายภาพเรื่องนี้ไม่ได้ทำแค่แบ่งปันประสบการณ์จากยุคฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่มันยังพูดถึงการมีชีวิตอยู่ของคนจากช่วงเวลานั้น และเมื่อเรื่องเล่านี้มาจากมุมมองของคนวัยกลางคน ที่ไม่ใช่แค่ต้องปกป้องตัวเอง แต่รวมถึงกิจการและครอบครัวคนอื่น ๆ ด้วย เราเลยได้เห็นสิ่งที่เคยคุ้นจากคำบอกเล่าของ แอนน์ แฟรงค์ ในมุมมองของผู้ใหญ่ที่ลงรายละเอียดได้ชัดเจนกว่า
และเพราะว่าเรื่องนี้คือเรื่องราวของผู้รอดชีวิต สิ่งที่ปรากฏในเล่มจึงไม่ใช่รอยเลือดสาด แต่เป็นบาดแผลเจ็บหนักที่คล้ายว่าหายดีแล้ว แต่ยังคงคันยิบ ๆ ที่ไม่ใช่แค่วลาเด็คเท่านั้นที่อยากเกา แต่ความคันนี้ยังลามไปถึงคนอื่น ๆ รอบตัวเขาด้วย โดยเฉพาะสปีเกลแมน หลังจากอ่านจบ เราเลยอยากเขียนสรุปรวม 3 ประเด็นเจ็บลึกที่ไม่ได้ถูกพูดออกมาตรง ๆ แต่แฝงอยู่ในเรื่องราว กระบวนวิธีเล่า และลายเส้นของสปีเกลแมน ที่แสดงให้เห็นว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่เคยหยุดอยู่แค่ความตาย

หนู แมว หมู และสัตว์นานาชนิด ภาพมนุษย์ที่ถูกแทนด้วยสัตว์ต่างสปีชีส์ เมื่อความเป็นมนุษย์ถูกลดทอน
MAUS มาจากคำภาษาเยอรมันที่แปลว่า “หนู” และในนิยายภาพเรื่องนี้ชาวยิวทุกคนถูกวาดให้มีรูปร่างเป็นหนู ขณะที่นาซีถูกแทนด้วยแมวในฐานะนักล่า รวมถึงชนชาติอื่น ๆ ก็ถูกแทนด้วยสัตว์สายพันธุ์ต่าง ๆ เช่นกัน ซึ่งการใช้สัญลักษณ์เช่นนี้ไม่เพียงให้ความหมายในเชิงสัญญะ แต่ยังสะท้อนให้เห็นภาพการ ‘ลดทอนความเป็นมนุษย์’ (Dehumanization) ได้อย่างเจ็บลึก ตอกย้ำมุมมองของนาซีที่ไม่ได้มองเหยื่อเป็นมนุษย์ตั้งแต่แรก
การลดทอนความเป็นมนุษย์ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงการที่สปีเกลแมนวาดทุกคนเป็นสัตว์แล้วลดทอนความเป็นมนุษย์ลง หรือทำให้เรื่องที่เขาเล่าเบาบางลง แต่หมายถึงการกระทำของนาซีที่ไม่มองใครเป็นมนุษย์ต่างหาก การเลือกใช้วิธีการเล่าแบบนี้จึงทำให้ผู้อ่านเห็นภาพเดียวกันตั้งแต่ต้นว่า เนื้อหาต่อไปนี้คือประสบการณ์ของผู้ถูกกดทับจนหมดสิ้นความเป็นมนุษย์ MAUS จึงเป็นนิยายภาพที่สามารถตอบคำถามยอดฮิตของผู้ที่เพิ่งรู้จักประวัติศาสตร์ครั้งนี้ได้อย่างเฉียบคม โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “พวกเขาทำแบบนี้กับคนด้วยกันได้อย่างไร” คำตอบนั้นชัดเจน เพราะในสายตานาซี คนเหล่านี้ ‘ไม่ใช่คน’ และพวกเขาถูกจัดจำแนกหมวดหมู่เป็นสิ่งอื่นไม่ต่างจากที่เราจำแนกแยกสัตว์ต่างสายพันธุ์
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเท่าไรนัก หากย้อนกลับไปในบริบททางประวัติศาสตร์ นาซีได้มีการใช้หลักการ 'Scientific Racism' หรือวิทยาศาสตร์เทียมมาตีตรากลุ่มชาวยิวและชนชาติอื่น ๆ ว่าเป็น 'มนุษย์ชั้นต่ำ' ที่สมควรถูกกำจัดหรือปกครองโดยนาซี หรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า ‘เผ่าพันธุ์อารยัน’ ที่เชื่อว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือกลุ่มชนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องตามหลักการทางชีววิทยา แต่เป็นการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาตีความเข้าข้าง สนับสนุนอคติ และส่งเสริมนโยบายแบ่งแยกและกดขี่ของกลุ่มตน โดยแนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลมามจากดาร์วินนิยมทางสังคม (social Darwinism) และขบวนการอีวิเจนิกส์ (eugenics) ซึ่งสนับสนุนการคัดเลือกพันธุกรรมโดยจำกัดการสืบพันธุ์ของกลุ่มที่ถูกมองว่า ‘ด้อยคุณภาพ’ [1]
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่นาซีก็ยึดถือความคิดเหล่านี้และนำไปใช้อย่างเชื่อมั่น จนนำไปสู่การออกกฎหมายเชื้อชาตินูเรมเบิร์ก (Nuremberg Laws) ที่ให้นิยามทางชีวภาพกับ ‘ชาวยิว’ และจำกัดสิทธิทางสังคม และจัดทำโครงการอีวิเจนิกส์ที่กำหนดให้มีการบังคับคุมกำเนิด การฆ่าคนพิการ และท้ายที่สุดคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ดังนั้น MAUS จึงไม่ได้เล่าแค่เรื่องราวของผู้รอดชีวิต ผู้ถูกกระทำ แต่ยังตีแผ่วิธีคิดแบบนาซีว่าพวกเขามองผู้คนอย่างไร และการลดทอนความเป็นมนุษย์นั้นเองคือบาดแผลที่ไม่มีวันหาย มันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำ และกลายเป็นเงาที่ติดตามมนุษยชาติไปตลอดกาล

คุกล่องหน ตราบาปของผู้รอดชีวิต อิสระเสรีที่ไม่เคยพ้นรั้วเอาช์วิทซ์อย่างแท้จริง
ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่ารอดชีวิตกับวลาเด็คได้จริง ๆ ไหม เพราะตัวตนของวลาเด็คที่เราเห็นในตอนนี้ คงไม่ใช่คนคนเดียวกับที่เคยคว้าหัวใจของอันญาผู้เป็นภรรยาในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และนั่นก็ทำให้เราสงสารตัวละครนี้เป็นพิเศษ เพราะแม้เขาจะรอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้นได้ แต่วลาเด็คกลับไม่เคยก้าวไกลไปกว่ารั้วของเอาช์วิทซ์เลย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือการที่สปีเกลแมนไม่ได้ถ่ายทอดคุกล่องหนที่กักขังพ่อของเขาไว้ด้วยฉากเศร้าสุดสะเทือนใจ หรือเล่าเรื่องราวให้เราสงสารวลาเด็ค (แบบตรง ๆ) กลับกันเขาได้ถ่ายทอดภาพพ่อของตัวเองออกมาราวกับภาพจำแง่ลบของชาวยิว ที่ถูกมองว่าเป็นพวกตระหนี่ถี่เหนียว เจ้าเล่ห์ มองโลกในแง่ร้าย ช่างต่อรอง โลภมาก ชอบบงการ แถมยังขี้บ่น ซึ่งพอมองรวม ๆ แล้วมันเหมือนไม่ใช่ลักษณะนิสัยของคนที่จะตกเป็นเหยื่อใครได้เลย ซึ่งเรื่องนี้ผู้อ่านไม่ได้คิดไปเอง เพราะแม้กระทั่งสปีเกลแมนก็เขียนยอมรับลงในฉากหนึ่งของนิยายภาพเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ว่าเขาถ่ายทอดภาพพ่อของตัวเองได้ออกมาเหมือนกับภาพจำชาวยิวจริง ๆ
แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ? ในฐานะผู้อ่าน ความคิดเห็นของเราคือคำว่า “ไม่” เหตุผลแรกเพราะเรารู้สึกว่าทุกสิ่งที่วลาเด็คเป็น คือสิ่งที่ทำให้เขามีชีวิตรอด ทั้งการเจรจาต่อรองกับผู้คน การประหยัดเพื่อมีชีวิต และการเก็บสิ่งต่าง ๆ เพื่อนำไปแลกนู่นนี่นั่น นิสัยทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่วลาเด็คยังคงมีชีวิตอยู่ ปัญหาคือ แม้เขาจะผ่านพ้นยุคสงครามมาแล้ว แต่วลาเด็คยังคงใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในโหมดเซอร์ไววัลตลอดเวลา
ฉากที่สะท้อนใจเรามากที่สุด คือฉากที่วลาเด็คบอกกับสปีเกลแมนว่าเขาเก็บสมบัติไว้ให้ที่ไหนบ้าง เก็บหอมรอมริบอย่างไร วัสดุไหนมีค่าไม่มีค่า วัสดุไหนเป็นประโยชน์ สิ่งไหนที่ไม่ควรทิ้ง พร้อมกำชับว่า สปีเกลแมนควรจำเอาไว้ สักวันหนึ่งเขาอาจต้องใช้มันและมันจะช่วยให้เขารอด ฉากเหล่านี้คือฉากที่เรียบง่าย ไม่ได้เน้นอารมณ์ แต่สะเทือนใจเรามาก ๆ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความคิดของวลาเด็คที่ยังคงเตรียมใจว่า เหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสภาพสังคมเราในตอนนี้ สิ่งที่วลาเด็คคิดก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก
เมื่อเราได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด จึงเข้าใจได้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจาก ‘เชื้อชาติ’ แต่เกิดจาก ‘บาดแผล’ (Trauma) ความขี้เหนียวของเขาไม่ได้มาจากความโลภ แต่จากความทรงจำของการอดอยากจนเกือบตาย และการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในพริบตา การเก็บสะสมทุกชิ้นคือความพยายามที่จะควบคุมชีวิตไม่ให้กลับไปสู่จุดนั้นอีก ความเจ้าเล่ห์และการต่อรองไม่ใช่เพื่อเอาเปรียบใคร แต่คือทักษะที่ช่วยให้เขารอดพ้นจากห้องรมแก๊ส ความขี้บ่นและการไม่ไว้ใจใครก็เป็นผลโดยตรงจากโรคเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) เพราะเขาเคยเห็นคนใกล้ตัวถูกหักหลังและถูกฆ่า การมองโลกในแง่ดีจึงเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่เขาไม่มีอีกแล้ว
วลาเด็ครอดชีวิต แต่เขายังถูกคุมขังด้วยคุกล่องหนจากวันวาน วลาเด็คยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เขายังขี้เหนียวเหมือนเดิม ต้องต่อรองและทำทุกอย่างอย่างรอบคอบเหมือนเดิม ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ เหมือนเดิม
ในท้ายที่สุด สิ่งนี้ได้ทำให้เรานึกย้อนไปถึงฉากเปิดที่วลาเด็คพูดกับสปีเกลแมนว่า “เพื่อน? เพื่อนลูกเหรอ ลองจับพวกนั้นขังไว้ในห้อง ไม่ให้อาหารดูสักอาทิตย์...แล้วลูกจะรู้ว่าพวกนั้นเป็นยังไงกันแน่ เพื่อนน่ะ” มันเป็นประโยคที่เราอ่านครั้งแรกแล้วรู้สึกกลัวในความมองโลกในแง่ร้ายของชายคนนี้ กลัวในสิ่งที่เขากำลังถ่ายทอดสู่ลูกที่ยังเด็กของตัวเอง แต่เมื่ออ่านมาถึงท้ายเรื่อง ประโยคนี้กลับย้อนกลับมาในความนึกคิดของเราอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกเข้าใจที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ความสัมพันธ์พ่อ-ลูก และครอบครัวที่แตกสลาย มรดกบาปที่เหนือกว่าความตายจากรุ่นสู่รุ่น
ขณะที่ผู้อ่านหลายคนอาจมองว่าวลาเด็คคือตัวละครที่ดูเป็นชายแก่เจ้าเล่ห์เจนจัด มองโลกในแง่ร้าย แต่เขาไม่ใช่คนซับซ้อนขนาดนั้น ในทางกลับกัน อาร์ต สปีเกลแมน ผู้เป็นทั้งลูกชาย ผู้แต่ง และผู้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้เราฟัง กลับดูเข้าใจได้ยากกว่า เราไม่เข้าใจในความนึกคิดของเขา ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่อยากใกล้ชิดกับพ่อของตัวเองขนาดนั้น อะไรทำให้เขาปล่อยให้พ่อผู้เคยเผชิญชะตากรรมที่น่าสงสารขนาดนี้ให้ทนทุกข์อยู่คนเดียว รวมถึงความรู้สึกซับซ้อนอีกมากมายที่เขาไม่เคยอธิบายออกมาตรง ๆ
จนกระทั่งในบทที่ 5 ของ Maus ฉบับรวมเล่ม สปีเกลแมนได้สอดแทรกผลงานที่ตัวเองเคยตีพิมพ์ไว้ก่อนหน้านี้มาให้เราอ่านประกอบเรื่องด้วย ผลงานชิ้นนั้นชื่อว่า ‘Prisoner on the Hell Planet: A Case History’ การ์ตูนเรื่องนี้มีลายเส้นดิบหยาบและมาพร้อมเนื้อหาอันหนักหน่วง บอกเล่าถึงเหตุการณ์การฆ่าตัวตายของแม่ สิ่งที่น่าสังเกตไม่ได้มีเพียงส่วนของเนื้อเรื่องที่ถ่ายทอดทรอม่าในจิตใจของสปีเกลแมน แต่คือการที่เขาวาดภาพตัวเองในชุดลายทางทั้งตัว ชวนให้นึกถึงชุดนักโทษในค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ ที่วลาเด็คผู้เป็นพ่อเคยสวมใส่ และภาพนั้นเองที่ทำให้เราถึงบ้างอ้อ และเริ่มมองเห็นความรู้สึกข้างในของเขาอย่างแจ่มชัดขึ้นว่า เขาเองก็เป็นเหมือนนักโทษคนหนึ่งจากค่ายกักกันเอาช์วิทซ์เหมือนกัน
เคยมีการศึกษาวิจัยด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับบุตรของผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับสปีเกลแมนได้ การศึกษาเหล่านั้นระบุว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาทางจิตใจ เช่น โรควิตกกังวล (anxiety), ภาวะซึมเศร้า (depression) และโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) แม้พวกเขาจะไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเองเลยก็ตาม ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘Trauma Transmission’ หรือการส่งต่อบาดแผลทางใจจากรุ่นสู่รุ่น โดยลูกหลานจะซึมซับความเจ็บปวดผ่านการรับฟังเรื่องราว การเห็นฝันร้าย หรือการเติบโตในบรรยากาศของความกลัวที่พ่อแม่ถ่ายทอดออกมาโดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญ พวกเขายังต้องเผชิญกับปัญหาในการปรับตัวทางสังคม และความยากลำบากในการแยกตัวเองเป็นอิสระ เพราะมีความต้องการลึก ๆ ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ไถ่บาป หรือผู้เยียวยาความทุกข์ทรมานของพ่อแม่ [2]
ดังนั้น แม้สปีเกลแมนจะไม่เคยอยู่ในค่ายกักกันเอาชวิทซ์ เขาไม่เคยหิวโหยหรือเผชิญหน้ากับความตาย แต่การเติบโตมากับพ่อแม่ผู้แบกรับบาดแผลระดับนี้ ก็ทำให้ชีวิตของเขากลายเป็นสนามรบทางอารมณ์ที่กดดันไม่แพ้กัน เขาโตมากับความคิดที่ต้องเป็นเด็กดี เป็นที่พึ่งให้พ่อแม่ที่เปราะบาง และไม่ควรทำตัวแย่ ๆ ให้พ่อแม่เจ็บช้ำไปมากกว่านี้
สิ่งนี้สะท้อนชัดใน โดยเฉพาะในเนื้อหาของ Prisoner on the Hell Planet: A Case History ในฉากที่วลาเด็คโศกเศร้ากับการจากไปของภรรยาอย่างบ้าคลั่งจนทิ้งตัวลงกับพื้น ส่วนสปีเกลแมนกลับทำได้แค่อึ้ง นิ่งงัน และไม่ได้ร้องไห้ออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว แถมเขายังต้องฝืนทำหน้าที่ประคองพ่อเอาไว้ ขณะที่ภายในใจก็หวนนึกถึงการกระทำในอดีตที่เคยหงุดหงิดใส่แม่ของตัวเอง จนคิดว่ามันอาจจะเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่อัตวินิบาตกรรมอันน่าสลด แม้ในมุมมองคนนอกเหตุการณ์นั้นจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ของครอบครัว แต่สำหรับเขามันกลับกลายเป็นความผิดมหันต์ในใจที่กลายเป็นขุกขังตัวเขาไว้ให้จมอยู่กับความผิดจนสลัดไม่ออก
มันคือความรู้สึกผิดที่ไม่ดีพอ ความรู้สึกไร้ค่าที่ตัวเองมีชีวิตสุขสบาย ในขณะที่พ่อแม่ต้องผ่านความทุกข์ทรมานเกินจินตนาการ ยิ่งเมื่อวลาเด็คไม่เคยหลุดพ้นจากกรงขังแห่งเอาชวิทซ์และยังคงใช้ชีวิตอย่างยากแค้น ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจของอาร์ตโดยไม่รู้ตัว การดำรงอยู่ของเขาจึงไม่เคยเป็นอิสระ เขาเป็นทั้งนักโทษและผู้ประสบภัยจากโฮโลคอสต์ในทางอ้อม มันคือราคาที่ผู้รอดชีวิตรุ่นถัดมาต้องจ่าย โดยที่ไม่มีคำตอบว่าต้องจ่ายให้ใคร และจ่ายไปเพื่ออะไร
ดังนั้น ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกใน MAUS จึงไม่ใช่แค่โครงเรื่องที่ใส่เข้ามาเพื่อคั่นเวลาจากเรื่องราวหนักๆ ในอดีต แต่มันคือหัวใจของเรื่องที่สะท้อนว่า บาดแผลของวลาเด็คไม่ได้จบลงที่ตัวเขาคนเดียว แต่มันได้กลายเป็นมรดกที่ถูกส่งต่อไปยังลูกชาย ทำให้เขาต้องเติบโตมาภายใต้เงาของโศกนาฏกรรมที่เขาไม่เคยได้สัมผัสด้วยตา แต่กลับสัมผัสได้ด้วยหัวใจตลอดมา

สามเรื่องที่หยิบมาชวนคุยในวันนี้ คือสามบาดแผลลึกที่สปีเกลแมนถ่ายทอดออกมาอย่างชาญฉลาด เขาทำให้เรื่องราวที่เล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดาแฝงนัยอันน่าสะเทือนใจ สำหรับเรา เรื่องราวของ MAUS ได้พาเราไปสำรวจบาดแผลของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ผ่านการใช้สัญลักษณ์ของสัตว์เพื่อสะท้อนการ ‘ลดทอนความเป็นมนุษย์’ อันเป็นต้นตอของโศกนาฏกรรม พร้อมทั้งเปิดเผยชีวิตของผู้รอดที่ยังติดอยู่ใน ‘คุกล่องหน’ แห่งความทรงจำ และเผยให้เห็นผลกระทบที่สืบทอดถึงรุ่นลูก ที่ต้องแบกรับ ‘มรดกแห่งบาดแผล’ โดยไม่รู้ตัว หนังสือเล่มนี้เลยเป็นอีกหนึ่งเล่มที่คิดว่าหลาย ๆ คนควรลองหยิบขึ้นมาอ่านดูสักครั้ง
จับจอง Maus ฉบับรวมเล่ม ภาษาไทยกันได้ที่: https://kai3onlinestore.com/product/maus/
หรือถ้าใครมีข้อสงสัยก็สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Social Media ของสำนักพิมพ์ไก่ 3, สำนักพิมพ์ซอย และสำนักพิมพ์ด้วงคอมิกส์
อ้างอิง
[1] Smedley, A. (2024, September 25). Scientific racism | Categorization, Craniometry, Anthropometry, Louis Agassiz, Charles Darwin, Gregor Mendel, & Franz Boas. Encyclopedia Britannica. https://www.britannica.com/topic/scientific-racism
[2] Holocaust Survivors and Their Children: A Search for Positive Effects. (2025). Aaets.org. https://www.aaets.org/traumatic-stress-library/holocaust-survivors-and-their-children-a-search-for-positive-effects