เห็นได้ชัดว่าพักหลังมานี้ หนังอเมริกันสายอินดี้เริ่มเป็นที่จับตามองอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่เนื้อหา และสไตล์ภาพอันโดดเด่น อิงตามตัวตนของผู้กำกับคนนั้น ๆ ซึ่งเมื่อวกกลับมายังหนังที่ปลุกปั้นความเรียบง่ายในชีวิตขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว หนึ่งในผู้กำกับที่มีแนวทางอย่างชัดเจนจนเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไมค์ มิลส์ (Mike Mills) ผู้กำกับที่เพิ่งเปิดตัวหนังเรื่องใหม่อย่าง C’mon C’mon ผลงานการแสดงล่าสุดของ วาคิน ฟินิกซ์ (Joaquin Phoenix) ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่แม้ว่าหนังของมิลส์จะใช้วิธีการถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่ายที่สุด น่าแปลกที่หนังของเขาสามารถทำให้ผู้ชมเผลอเอาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมกับความรู้สึกของตัวละครได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
หนังฮอลลีวูดมักจะสร้างอารมณ์ขึ้นมาในรูปแบบที่เราคาดเดาได้ .. แต่หนังของมิลส์แตกต่างออกไป
ไมค์ มิลส์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ถ่อมตัวที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นเพียงแค่กับตัวตนเขาเท่านั้น แต่ยังหมายความถึงผลงานหนังด้วยเช่นกัน เนื่องจากตัวหนังของเขามักจะพูดถึงความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหนึ่งที่ไปไกลกว่าแค่เรื่องราวในบ้าน หมายความว่าเรื่องเล่าทั้งหมดที่ออกมา พาให้ผู้ชมได้ฉุกคิดถึงวิธีการมองโลก ภาวะที่ผู้คนในยุคหนึ่งกำลังเผชิญอยู่ รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วยเช่นกัน
แทนการเขียนบทแบบฮอลลีวูดที่สร้างมาอย่างแยบยล จนผู้ชมเผลอเอาใจช่วยตัวละครหลักตั้งแต่ฉากแรกที่เขาปรากฏตัว ก่อนจะบิดเรื่องไปตามโครงสร้างที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระบบ มิลส์เปลี่ยนตัวละครให้มีความใกล้ชิดกับตัวเขาและผู้ชมมากขึ้นด้วยการลดทอนทุกอย่างให้ง่ายที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็ยังมีช่องว่างมากพอให้ผู้ชมได้หลวมตัวเข้าไปมีส่วนร่วมในความรู้สึกเหล่านั้น เพราะตัวละครของมิลส์มักจะมีบางสิ่งที่พวกเขาเก็บงำไว้เสมอ ซึ่งหากย้อนกลับไปดูเรื่องราวส่วนตัวของมิลส์แล้ว หลายคนอาจพอเข้าใจคร่าว ๆ ถึงวิธีการสร้างงานของเขา ที่หล่อหลอมขึ้นจากอดีต โดยเฉพาะกับหนังยาวทั้ง 3 เรื่องไม่ว่าจะเป็น Beginners (2010), 20th Century Women (2016) และ C'mon C'mon (2021) ที่ตัวเขามีหมุดหมายชัดเจนว่าทำขึ้นเพื่อใคร..
คุณกำลังพยายามบินไปกับร่างกายของคุณ และพยายามป้องกันไม่ให้ร่างนั้นพัง
มิลส์เติบโตมาในครอบครัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาเรียกสถานะทางบ้านของตัวเองว่า การปกครองแบบแม่ชี เพราะ ‘แม่’ คือผู้ที่มีอำนาจในบ้าน เขามีพี่สาวสองคน (หนึ่งในนั้นคือตัวละครจาก 20th Century Women ที่นำแสดงโดย เกรตา เกอร์วิก) ดังนั้น การใช้ชีวิตของมิลส์จึงเดินตามแนวทางของผู้หญิงเสมอ ยิ่งเมื่อพ่อของเขาแสดงออกทางเพศแบบผู้ชายไบนารี (Binary) ขัดกับแม่ที่เป็นนักบิน แต่งตัวประหลาด ๆ ผมสั้น และสวมกางเกงเหมือนอยู่เธอในสงครามโลกครั้งที่สองตลอดเวลา อัตลักษณ์ทางเพศที่มิลส์เห็น จึงแตกต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง เขาเผยว่าตัวเขาไม่พบความเป็นชายแบบอเมริกันในบ้าน และสิ่งนี้สะท้อนออกมาผ่านงานของเขาอย่างชัดเจน
มิลส์มองว่าตัวเองเป็นคนสันโดษ แถมยังเป็น ‘คนห่วย’ คนหนึ่ง เพราะเหตุนี้ เขาจึงวนเวียนอยู่กับการสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างโลกของหนังกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งก็ดูเหมือนเขาก็เชื่อว่าตัวเองอยู่กับสภาวะของอดีตและปัจจุบันจริง ๆ มิลส์ไม่มีความฝัน เขากำลังสร้างสมุดบันทึกที่คอยบันทึกช่วงเวลาหนึ่งเอาไว้ นั่นทำให้แม้ว่าเขาจะมีความสับสนในตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่หนังที่ออกมามักตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์ต่อจิตใจเสมอ
สิ่งที่อัดอั้นอยู่ในตัวมิลส์ ละลายไปกับการเล่นสเก็ตบอร์ดและดนตรีพังค์ ถึงขั้นครั้งหนึ่งเขาเคยพูดไว้ว่า ช่วงเวลาที่ได้เล่นสเก็ตบอร์ด เป็นช่วงแห่งการฝึกฝนการแสดงความรู้สึก ที่ต่อยอดมาถึงผลงานอื่น ๆ ของเขาในภายหลัง เขาเริ่มต้นอาชีพจากการเป็นกราฟิกดีไซน์โดยมีผลงานเด่น ๆ อย่างภาพปกอัลบั้ม Beastie Boys และ Sonic Youth เล่นดนตรีแบคอัพบ้างประปราย ก่อนจะเริ่มสนใจในโลกภาพยนตร์ โดยเฉพาะหนังของ จิม จาร์มุสช์ (Jim Jarmusch) ที่จับภาพตัวละคร 2-3 คน มีบทพูดไม่มากนัก แล้วจึงหาสไตล์งานตัวเองจากเรื่องราวส่วนตัว
หลายสิ่งที่มิลส์อยากจะเก็บไว้เป็นเรื่องราวส่วนตัว ถูกต่อยอดมาเป็นสิ่งที่เขาพยายามจะจัดการ เพื่อนำพาตัวเองไปสู่อีกสเต็ปของชีวิต ดังนั้น สิ่งที่เขาทำ จึงเป็นความพยายามจัดการกับพื้นที่ทางภาพยนตร์ เพื่อไม่ให้เรื่องเล่าเหล่านั้น ก้าวเข้ามามีบทบาทกับผู้คนในชีวิตจริงมากเกินไป อย่างใน C'mon C'mon ซึ่งตัวเขาทำขึ้นเพื่อมอบให้ลูกชาย มิลส์เองก็ได้พยายามไม่พาตัวหนังไปก้าวก่ายกับลูกมากนัก ส่วนความหวังที่มีต่อหนังเรื่องนี้ เขาได้เปิดเผยว่า สักวันเมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะดูหนังแล้วรู้ว่าเขารักลูก ลูกเป็นคนที่ยอดเยี่ยม และเขาจะคอยสนับสนุนลูกเสมอ โดยที่ลูกของเขาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้บางอย่างจากหนัง เพราะเขาเชื่อว่าหนังไม่ควรเป็นบทเรียนให้ใคร
สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปเสมอ และฉันชอบให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงหรือเติบโต ฉันไม่ต้องการให้ทุกอย่างจบลง ฉันต้องการมีส่วนร่วมในการทำมันให้ดีขึ้น
มิลส์เชื่อว่าความเศร้าโศกทำให้งานของเขาแข็งแกร่งและแปลกใหม่ ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อายในความแปลกประหลาดของเรื่องเล่าที่ตัวเองสร้างขึ้นเมื่อมันถูกดัดแปลงมาเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกย์ ความภูมิใจ ความล้มเหลวทางความสัมพันธ์ ช่องว่างระหว่างวัย เรื่องราวผู้หญิง ๆ การมีประจำเดือน ความสำคัญของอวัยวะเพศ หรือแม้กระทั่งความฝันที่เลื่อนลอย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหมือนการดึงเอาประวัติศาสตร์ส่วนตัว เข้ามาผสมในหนัง ทำให้หนังของเขามีกลิ่นอายการทดลองรูปแบบการเล่าเรื่อง เผยให้เห็นรสชาติความโศกเศร้า แต่ก็ไม่เคยขาดความหวัง ซึ่งก็เชื่อว่าหากใครมีความรู้สึกที่แอบซ่อนไว้อยู่ในใจแล้วได้ดูหนังของเขา คงรู้สึกถึงมวลอารมณ์บางอย่างไม่ต่างจากมิลส์เช่นกัน
ธรรมชาติของการสัมภาษณ์ใครสักคน และวิธีที่พวกเขาเปิดเผยตัวตนผ่านคำพูดนั้น ล้วนแต่แตกต่างออกไปตามตัวตนของคนแต่ละคน
แม้ว่าหนังเรื่องล่าสุดของ ไมค์ มิลส์ (Mike Mills) อย่าง C'mon C'mon จะบอกเล่าถึงตัวละครลุงนักสัมภาษณ์ จอหน์นี่ (วาคิน ฟินิกซ์ - Joaquin Phoenix) ซึ่งตามไปพูดคุยกับเด็ก ๆ ทั่วอเมริกา ถึงมุมมองต่อโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ แต่ก็ใช่ว่าบทสัมภาษณ์นั้นจะเชื่อได้ว่าเป็นจริงซะทีเดียว ในหนังเรื่องนี้ มิลส์ตั้งใจอย่างมากให้ภาพที่ออกมา เป็นเหมือนการผสมรวมกันระหว่างโลกของหนังกับโลกความเป็นจริง จนผู้ชมยากจะแยกขาดจากกันได้ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นผลทำให้ตัวหนังถูกสร้างขึ้นบนฉากภาพสี ขาว-ดำ เช่นกัน
“ทุกอย่างกลายเป็นภาพ” และเป็นภาพที่เรียบง่ายไม่น้อย ในหนังเรื่องนี้ มิลส์ถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ออกมาตามความชอบของเขา นั่นคือความธรรมดาทั่วไป ที่โฟกัสกับเสียงของนักเล่าเรื่องเป็นหลัก
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เขาเคยทำการสัมภาษณ์เด็ก ๆ เกี่ยวกันอนาคตมาแล้ว และสิ่งนี้ยังเป็นไอเดียที่ติดอยู่กับเขาเรื่อยมา มิลส์ต้องการอะไรที่เป็นมากกว่าแค่การสัมภาษณ์ทั่วไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของโปรเจ็กต์หนังเรื่อง C'mon C'mon
คำตอบของเด็ก ๆ เป็นเหมือนกับสถานที่ รวมถึงจิตสำนึกของพวกเขา ที่มีต่อโลกที่พวกเขาอยู่และกำลังจะเดินทางไป ดังนั้น ความคิดของ จอห์นนี่ จึงเชื่อมโยงถึงสิ่งอื่น ๆ ผ่านคำถามมากมายที่เขาถามเด็ก ๆ นำมาสู่ธีมของเรื่องที่ว่า ‘เสียงเป็นความชั่วคราวที่เกิดขึ้น และมักจะผ่านไป’ เพราะเราต่างไม่สามารถยึดติดกับอะไรได้จริง ๆ ตลอดเวลา
อีกหนึ่งหนังส่วนตัวของ ไมค์ มิลส์ ที่ได้รับการพูดถึงในวงกว้างก็คือ 20th Century Women ซึ่งเป็นหนังที่เขาตั้งใจจะมอบให้แม่ของตัวเอง เหมือนกับที่ได้เกริ่นไปคร่าว ๆ ในตอนต้นว่า ครอบครัวของมิลส์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และแสดงออกอัตลักษณ์ทางเพศต่างออกไปจากบรรทัดฐานของครอบครัวชาวอเมริกัน แม่ของมิลส์ค่อนข้างมีบทบาทในบ้าน เธอเป็นนักบินที่มีส่วนร่วมกับสงครามโลกครั้งที่สอง และเธอเป็นคนคอยจัดการสิ่งต่าง ๆ ในบ้านเสมอมา
อาจเป็นเพราะว่าพ่อแม่ของมิลส์ มีมิลส์ในปี 1966 ขณะที่พวกเขาตอนอายุ 40 ปี ซึ่งเป็นช่วงปีที่ไม่มีใครมีลูก เขาจึงไม่มีเพื่อน หันไปชอบดนตรีพังค์ร็อก เล่นสเก็ต และเริ่มต้นทุกอย่างในช่วงปลายยุค 70 มิลส์เล่าว่าพ่อแม่ของเขาบอกเขาถึงภาวะซึมเศร้าและความเป็นไปของสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาตัดขาดจากโลก แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกโค่นล้มโดยแท้จริง เพราะความรู้สึกต่อต้านเผด็จการมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสนใจของมิลส์ต่อหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่ผู้คนและวิถีของพวกเขา เขาต้องการเปิดเผยชีวิตและจิตใจทั้งหมด ของตัวละคร ใน 20th Century Women ตัวละครหลักทั้งห้าจะเล่าประวัติของตัวเอง และเรื่องราวของกันและกันเป็นระยะ และสิ่งที่พวกเขาเล่ามักมาพร้อมกับการตัดต่อภาพถ่ายย้อนยุค เพื่อสร้างมวลอารมณ์บางอย่าง ที่พาผู้ชมย้อนกลับไปยังอดีตของตัวละคร รวมถึงอดีตของผู้ชมเอง
ในงานนี้ นอกจากตัวละคร โดโรเธีย ที่ถอดแบบมาจากแม่ของเขาแล้ว ตัวละครที่นำแสดงโดย เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากพี่สาวของเขาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในหนังเรื่องนี้เราจะเห็นว่ามิลส์ไม่ได้หยิบเอาตัวละครชายที่อายุไล่เลี่ยโดโรเธียมาด้วย ซึ่งเขาเองได้ให้คำตอบในภายหลังว่าเขาเขียนบทโดยไม่มีพ่ออยู่ในนั้น เพื่อเป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ต่อประสบการณ์ของตัวเอง ขณะที่ตัวละครโดโรเธียมีความอบอุ่นและมีความเป็นหญิงชัดเจนกว่าแม่ของเขา มิลส์เล่าว่า แม่ที่แท้จริงเป็นคนที่มีภาวะซึมเศร้า และต่อต้านตัวเองอย่างชัดเจน แต่ถึงแม้ว่าเรื่องราวในชีวิตจริงของเขาจะไม่ได้สวยหรูมากนัก หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เห็นว่า แง่มุมของความเจ็บปวด เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องมอบความรักให้แก่กันนั่นเอง
พ่อฉันค่อนข้างจะเป็นผู้ชายแบบไบนารี เขาไม่ได้มีอำนาจ (ในฐานะพ่อ) ในบ้านของฉัน เขาเป็นนักประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ไม่รู้ว่าลิ้นชักเก็บส้อมอยู่ที่ไหน และไม่ได้จัดการเรื่องการเงินเลย
ใน Beginners (2010) ไมค์ มิลส์ ได้เผยถึงเรื่องราวส่วนตัวอย่างหมดเปลือก โดยให้หนังเรื่องนี้มีหัวใจสำคัญคือพ่อของเขาและตัวเขาเอง โอลิเวอร์ เป็นชายหนุ่มบุคลิกเงียบขรึมที่มีบาดแผลอยู่ภายใน ส่วน ฮาล ซึ่งเป็นพ่อ คือนักประวัติศาสตร์ศิลป์ที่หลังจากกลายเป็นพ่อหม้ายในวัย 70 ปี เขาก็เปิดเผยตัวตนว่าตัวเองเป็นเกย์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงในเวลาต่อมาไม่นานนัก มิลส์เชื่อว่าความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้งานของเขาดูแข็งแรง และทำให้เขาก้าวข้ามความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น เรียนรู้จากอดีต และเข้าใจวิถีทางต่าง ๆ ในแบบที่มันควรจะเป็น