คุยกับ ปั้น–นภัสชล ศิลปินผู้ใช้กรรไกรวาดภาพดอกไม้ ธรรมชาติ และความไม่สมมาตรอันสมบูรณ์แบบ

Post on 16 September 2025

เปเปอร์คัท (Paper Cut) คือเทคนิคการสร้างสรรค์งานศิลปะอันละเอียดอ่อน ผ่านการใช้กรรไกรหรือใบมีดตัดแผ่นกระดาษให้เกิดเป็นลวดลายและรูปทรงที่ต้องการ เปลี่ยนวัสดุสองมิติให้มีความลึกและมีชีวิตชีวามากขึ้น และหนึ่งในศิลปินไทยที่ทำงานด้วยเทคนิคนี้อย่างช่ำชองและมีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ก็คือ ปั้น–นภัสชล ตั้งนุกูลกิจ เจ้าของนามปากกา Papeterie นั่นเอง

คุณปั้นเริ่มต้นเส้นทางสายนี้จากการเป็นคน ‘รักสวยรักงาม’ ที่ชอบมองของรอบตัวมาตั้งแต่เด็ก สู่การตัดสินใจเรียนในสายศิลปะ และได้ค้นพบเทคนิคการตัดกระดาษโดยบังเอิญในช่วงปีแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย เธอเริ่มฝึกฝนจากการทำเล่นๆ สร้างสรรค์ของขวัญให้เพื่อน จนกระทั่งเปิดอินสตาแกรมในชื่อ Papeterie เพื่อรับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ และค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ จนรู้ตัวอีกทีความหลงใหลนี้ก็ได้กลายเป็นอาชีพหลักที่เธออยากจะทำไปตลอดชีวิต

หลังจากติดตามผลงานของคุณปั้นที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของดอกไม้และธรรมชาติมานาน เราก็มีโอกาสได้ติดต่อพูดคุยและขอบุกไปเยือนคุณปั้นถึงสตูดิโอศิลปะ เพื่อสนทนาถึงเบื้องหลังความสนใจในเทคนิคเปเปอร์คัท จุดเริ่มต้นและเส้นทางในฐานะศิลปิน กระบวนการคิดเบื้องหลังการจัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก ไปจนถึงเป้าหมายและความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคต ตามมาทำความรู้จักเบื้องหลังดอกไม้ ธรรมชาติ และความไม่สมมาตรอันสมบูรณ์แบบของเธอไปด้วยกันได้เลย!

**ปั้น–นภัสชล ตั้งนุกูลกิจ เจ้าของนามปากกา Papeterie**

ปั้น–นภัสชล ตั้งนุกูลกิจ เจ้าของนามปากกา Papeterie

การจับกรรไกรครั้งแรก แรงบันดาลใจ และดอกไม้ดอกแรกที่เบ่งบานบนหน้ากระดาษ

GC: คุณปั้นเริ่มสนใจศิลปะตั้งแต่เมื่อไหร่ มีความทรงจำแรก ๆ เกี่ยวกับงานศิลปะที่ประทับใจบ้างไหม

คุณปั้น: ส่วนตัวปั้นไม่แน่ใจเลยว่าความรู้สึกนั้นเรียกว่า ‘สนใจศิลปะ’ ได้ไหมนะคะ ปั้นคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่ารักสวยรักงาม เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย แบบว่าชอบของสวย ๆ งาม ๆ ชอบแต่งตัว ชอบดูของสวย ๆ ชอบดูแพ็กเกจจิ้งสวย ๆ ชอบเฟอร์นิเจอร์สวย ๆ ชอบดูปกหนังสือสวย ๆ มันเลยรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่าสนใจในศิลปะ แต่เป็นวัตถุต่าง ๆ รอบตัวเรามากกว่าที่ทำให้เรารู้สึกชอบ

มันเลยเป็นการซึมซับความรู้สึกนั้นมาเรื่อย ๆ โดยเริ่มต้นมาจากสิ่งรอบตัว บวกกับการโตมากับอาม่าที่เป็นคนรักสวยรักงามสุด ๆ ชนิดที่ว่าต้องไปทำผมเกือบทุกวัน แม้แต่อยู่บ้านก็จะต้องแต่งตัว แต่งหน้า ชุดที่ใส่ก็มาจากร้านตัด ดีเทลกระดุมต้องมี ทุกอย่างในบ้านต้องเป๊ะ เลยคิดว่าทำให้เราชอบมองอะไรที่เป็นความสวยงามตามไปด้วยค่ะ (หัวเราะ)

GC: จากความรู้สึกรักสวยรักงาม อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คุณปั้นรู้ตัวว่า “ฉันอยากทำงานศิลปะ” อย่างจริงจัง

คุณปั้น: จุดเปลี่ยนที่ชัดเจนที่สุดที่ทำให้ปั้นอยากทำงานศิลปะ คือตอนที่เริ่มสนใจการออกแบบแพ็กเกจจิ้งค่ะ แม้ตอนเด็ก ๆ จะไม่ได้เรียนวาดรูปเป็นพิเศษ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่าตัวเองชอบทำงานประดิษฐ์มาตลอด ซึ่งในตอนนั้นมันเป็นแค่ความสนุก ยังไม่ได้มองว่านี่คือการทำงานศิลปะอย่างจริงจัง จนกระทั่งช่วงประถมปลายถึง มัธยมต้น ความรู้สึกที่ว่า “นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากทำ” ก็เกิดขึ้นครั้งแรก ประกอบกับคุณแม่ทำงานในแวดวงที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ท่านเลยเป็นคนเปิดโลกให้เราเห็นว่ามีอาชีพสายนี้อยู่จริง ทำให้เรายิ่งสนใจและนำไปสู่การทดลองเรียนรู้ในศาสตร์อื่น ๆ ทั้งการออกแบบเสื้อผ้าและกราฟิกดีไซน์ค่ะ

GC: ตอนนั้นคุณปั้นมีงานศิลปะ แพ็กเกจ หรือศิลปินคนไหนที่ชอบเป็นพิเศษไหม แบบที่รู้สึกว่าเขามีอิทธิพลต่อการสร้างงานบ้างไหม

คุณปั้น: ปั้นมีศิลปินที่ชื่นชอบอยู่หลายคนเลย แต่จะเป็นในแง่ของการรับพลังงานและความสุขจากผลงานของพวกเขา ในช่วงแรก ๆ ปั้นจะชอบงานของ Antoni Gaudí มาก ๆ รวมถึง William Morris ด้วย ที่ปั้นยังคงทึ่งในทักษะฝีมือการต่อลวดลายของเขาเสมอค่ะ

ส่วนศิลปินที่ชื่นชอบเป็นพิเศษในช่วงหลังคือ Claude Monet ค่ะ งานของ Monet ส่งพลังออกมามหาศาลมากและสัมผัสความรู้สึกของเราได้ลึกซึ้งมาก ปั้นรู้สึกเชื่อมโยงกับงานของเขาเป็นพิเศษเพราะตัวเองก็เป็นคนชอบทำงานซ้ำ ๆ เหมือนกัน ยิ่งพอได้ไปเห็นผลงานจริง ยิ่งรู้สึกประทับใจและกระทบใจอย่างรุนแรง มันทำให้เราเข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงสามารถใช้เวลามองภาพวาดเพียงภาพเดียวได้นาน ๆ ค่ะ

GC: แล้วช่วงมหาวิทยาลัยล่ะคะ คุณปั้นเลือกเรียนคณะอะไร

คุณปั้น: เรียนด้านเซรามิกค่ะ (หัวเราะ) คือเรารู้ตัวว่าชอบทำงานที่จับต้องได้ งานที่เป็นชิ้นจับได้ อาจจะไม่ถึงขั้นว่าต้องเป็น 3D ทั้งหมดก็ได้ แต่เราชอบวิธีการประกอบร่างมันขึ้นมา ชอบที่ได้ใช้มือทำงาน หยิบจับสิ่งต่าง ๆ ก็เลยคุยกับพี่ติว (ติวเตอร์) ผู้ใหญ่คนสำคัญที่ช่วยไกด์เรา เขาแนะนำเราว่า “ถ้าชอบสไตล์นี้งั้นลองเรียนเซรามิกดูไหม น่าจะสนุกดีนะ”

ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรมาก ก็แบบ “ลองเรียนดูก็น่าสนุกดีนะ” เพราะว่าเราเรียนกราฟิกแล้วรู้สึกไม่เวิร์ค ไม่เข้ากับเราขนาดนั้น เรารู้ว่าเราสื่อสารไม่เก่ง แล้วการเรียนกราฟิกมันต้องสื่อสารเก่ง ทำงานกับองค์กรต่าง ๆ ได้ เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่ทางนั้น อยากทำงานส่วนตัวแล้วก็มีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า ชอบทำงานที่มันเป็นชิ้น จับต้องได้ ชอบขั้นตอนของมัน ก็เลยรู้สึกว่าโอเค งั้นเรียนอันนี้ก็ได้

ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นคนชอบงานที่ใช้วัสดุมาก ขอแค่เป็นชิ้นเราทำหมด ชอบหมด มาค้นพบตอนโตว่า จริง ๆ เราไม่ได้เป็นคนชอบวาดรูปขนาดนั้นด้วย ซึ่งมันอาจจะแปลก ๆ แบบว่าเรียนศิลปะแต่ไม่ชอบวาดรูป ยิ่งเดี๋ยวนี้เวลาจะวาดเกร็งมาก เพราะไม่ได้วาดนาน เลยคิดว่าสื่อที่เรามีความสุขมากกว่าอาจจะเป็นงานที่ใช้วัสดุมากกว่านั่นเอง

GC: จากเซรามิกเปลี่ยนมาเป็นเปเปอร์คัทได้อย่างไร ทำไมถึงเลือก ‘กรรไกร’ เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างงานศิลปะ

คุณปั้น: จุดเริ่มต้นมาจากช่วงประมาณปี 1 ค่ะ ตอนนั้นปั้นได้ไปช่วยงานพี่ติวซึ่งเขาทำพร็อพอยู่ เลยมีโอกาสได้สัมผัสกับสื่อประเภทนี้มากขึ้น เลยรู้สึกว่ามันสนุกดีนะ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก เหมือนเราเจอเพื่อนที่เข้ากันได้ดี แล้วเราก็อยากทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น พอได้ลองทำแล้วมันก็คลิกเลยค่ะ แบบว่ามันเป็นความรู้สึกที่เราทำแล้วสนุก และรู้สึกว่าเราสามารถเข้าใจและจัดการวัสดุชิ้นนี้ได้

จากนั้นมันก็ค่อย ๆ ทำต่อมาเรื่อย ๆ เริ่มจากการทำของให้เพื่อนเล่น ๆ แล้วเพื่อนก็ยุว่าลองเปิดอินสตาแกรมสิ เพราะเป็นช่วงที่อินสตาแกรมกำลังเริ่มเป็นที่นิยม โชคดีที่ตอนนั้นฟีดแบคดี ก็เลยมีลูกค้าติดต่อเข้ามาให้ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การ์ดวันเกิด การ์ดแต่งงาน หรือหน้ากากรูปสัตว์สำหรับใช้ถ่ายรูป พอทำไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งสนุก จนถึงประมาณปี 4 ก็ตัดสินใจได้ว่าเราอยากจะทำสิ่งนี้เป็นอาชีพ พอเรียนจบก็เลยทำงานสายนี้เป็นหลักเลยค่ะ

GC: สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณปั้นคือการใช้ ‘กรรไกร’ เป็นเครื่องมือหลัก ทำไมถึงเลือกใช้กรรไกร แทนที่จะเป็นคัตเตอร์เหมือนศิลปินท่านอื่นคะ

คุณปั้น: จริง ๆ ปั้นเคยลองใช้ทั้งสองอย่างค่ะ และก็จริงที่ว่าศิลปินเปเปอร์คัทหลายคนถนัดใช้คัตเตอร์มากกว่า แต่สำหรับปั้น กรรไกรเป็นเครื่องมือที่ใช้แล้วเข้ามือที่สุด พี่ติวเคยซื้อกรรไกรให้ปั้นอันหนึ่งแล้วเรารู้สึกว่า อันนี้แหละที่ใช่สำหรับเรา แล้วปั้นก็ใช้อันนั้นมาตลอดเกือบแปดปีแล้วไม่เคยเปลี่ยนเลยค่ะ เพราะมันคล่องมือจนไม่อยากไปทดลองอันอื่นแล้ว

GC: แสดงว่ารูปทรงของกรรไกรก็มีผลอย่างมาก เหมือนนักวาดที่ต้องเลือกพู่กันที่ถนัดที่สุด

คุณปั้น: ใช่เลยค่ะ ปั้นคิดว่ากรรไกรแบ่งได้เป็นสามทรงหลัก ๆ คือทรงมาตรฐานทั่วไป ทรงที่คล้ายกรรไกรตัดกิ่งไม้ และทรงที่เหมือนกรรไกรตัดผ้า ซึ่งปั้นจะถนัดทรงสุดท้ายที่สุดค่ะ เครื่องมือแต่ละชนิดก็จะให้ลายเส้นและอารมณ์ของงานที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้กรรไกรหรือคัตเตอร์จึงขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคนเลยค่ะ ปั้นเลยรู้สึกว่าการที่เราได้ทดลองทำหลายๆ อย่าง มันทำให้เรารู้ว่าเส้นแบบไหนที่มันสื่อสารอารมณ์ที่เราต้องการออกมาได้ คือปั้นไม่แน่ใจว่าคนอื่นเห็นยังไง แต่สำหรับปั้น ปั้นเห็นแล้วรู้สึกว่ามันคล้ายๆ เส้นวาดรูปนั่นแหละ ที่ว่าเส้นแบบไหนถึงจะสื่อสารสิ่งที่เราต้องการออกมาได้

GC: แล้วที่มาของแรงบันดาลใจหลักในการทำงานล่ะ

คุณปั้น: แรงบันดาลใจของปั้นมาจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตประจำวันเลยค่ะ คล้าย ๆ กับคนอื่นเลย ทั้งจากการอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือบทสนทนากับผู้คน เวลาเจออะไรที่น่าสนใจก็จะจดเก็บไว้เป็นไอเดีย วิธีการทำงานของปั้นจะมีจุดเริ่มต้นที่ไม่ตายตัวเสมอไปค่ะ บางครั้งจุดเริ่มต้นอาจจะเป็นแนวคิดหรือเรื่องราวที่อยากเล่า เช่น เราอยากเล่าเรื่องที่ว่าทุกคนล้วนเชื่อมโยงถึงกัน จากนั้นเราก็จะมาคิดต่อว่าจะถ่ายทอดแนวคิดนี้ออกมาเป็นภาพและวิธีการแบบไหนได้บ้าง

หรือบางครั้ง จุดเริ่มต้นก็อาจจะมาจากภาพที่เราอยากเห็นก่อน แล้วค่อยคิดต่อว่าในภาพนั้นเราอยากจะสอดแทรกเรื่องราวอะไรลงไป ดังนั้นแรงบันดาลใจจึงมาจากอะไรก็ได้จริง ๆ ค่ะ อาจจะเป็นตัวละครที่ชอบอย่าง วิลลี่ วองก้า ความรู้สึกสงบนิ่งที่ได้จากการชงชา หรือแม้แต่ความทรงจำตอนนั่งรอใครสักคนอยู่ริมทะเล สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นจุดตั้งต้น แล้วปั้นค่อย ๆ หาวิธีว่าจะสื่อสารมันออกมาเป็นชิ้นงานได้อย่างไรค่ะ

ความคิด จินตนาการ และการฝึกฝน ว่าด้วยมุมมองของคนที่วาดภาพด้วยกรรไกร

GC: คุณปั้นเริ่มเรียนรู้การทำเปเปอร์คัทอย่างไร

คุณปั้น: ตอนแรกมันเริ่มต้นจากการไปช่วยพี่ติวทำให้ได้เห็นวิธีการต่าง ๆ ได้เรียนรู้ และค่อย ๆ ได้ทดลองและลองทำด้วยตัวเองไปเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งปั้นรู้สึกว่าเป็นข้อดีอีกแบบนะคะ เพราะเหมือนการที่เราไม่ได้เรียนมาโดยตรงขนาดนั้น อาจจะทำให้เราไม่ค่อยมีกฎตายตัวในการทำงานมาก ค่อนข้างมีอิสระที่จะทดลองได้อย่างเต็มที่ มันก็เป็นความสนุกคนละแบบกันไปค่ะ

GC: ช่วยเล่ากระบวนการฝึกฝนตั้งแต่แรก ๆ ให้ฟังหน่อยได้ไหม

คุณปั้น: ช่วงแรก ๆ พี่ติวก็มีส่วนช่วยแนะนำพื้นฐานบ้างค่ะ เช่น การวางแพทเทิร์นว่าถ้าอยากได้รูปทรงนี้จะต้องตัดออกมาหน้าตาประมาณไหน แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเป็นการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ทำไป สังเกตไป แล้วก็ทดลองหาวิธีใหม่ ๆ ว่าภาพหนึ่งภาพจะสามารถสร้างขึ้นมาด้วยเทคนิคแบบไหนได้บ้าง

ปั้นคิดว่าพื้นฐานตอนเรียนเซรามิกที่เป็นงานสามมิติก็อาจจะมีส่วนช่วยนะคะ มันทำให้เราพอจะนึกภาพการกางแพทเทิร์นออก ซึ่งน่าจะเป็นการนำทักษะมาผสมผสานกันโดยไม่รู้ตัว การฝึกฝนของปั้นจึงไม่ใช่การตัดตามแบบ แต่เป็นการค่อย ๆ ไต่ระดับความยากขึ้นไปเรื่อย ๆ ค่ะ พอทำระดับนี้ได้แล้ว ก็จะเริ่มอยากท้าทายตัวเองให้ทำสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไป จะเห็นเลยว่าลายเส้นและฝีมือของเราเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามประสบการณ์ที่มากขึ้นค่ะ

GC: ตอนเริ่มต้นสร้างงาน คุณปั้นเห็นภาพที่อยากให้มันเป็นตั้งแต่แรก หรือว่าค่อย ๆ เห็นภาพเต็มในระหว่างทำหรือคะ

คุณปั้น: ปั้นไม่เคยเห็นภาพสำเร็จแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนเริ่มทำเลยค่ะ อย่างมากอาจจะเห็นภาพรวม ๆ ในหัวแค่ประมาณ 20% ว่าอยากได้มวลประมาณนี้ หรืออยากให้งานสื่ออารมณ์แบบไหน วิธีการทำงานของปั้นเป็นแบบทำไปคิดไป คือภาพจะค่อย ๆ คลี่คลายและชัดเจนขึ้นระหว่างที่เราลงมือทำ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากเริ่มจากสีชมพู เราก็จะเลือกกระดาษสีชมพูขึ้นมาก่อน แล้วค่อยคิดต่อว่าสีชมพูจะอยู่กับสีอะไรได้บ้าง พอได้ชุดสีที่ชอบแล้ว ก็ค่อยคิดถึงรูปทรงและการจัดวางต่อไป เป็นการสร้างจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งไปเรื่อย ๆ ค่ะ

อีกอย่างคือปั้นชอบทำงานแบบกึ่ง ๆ อิมโพรไวส์ โดยจะทำชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เก็บสะสมไว้ เหมือนคนทำสวนที่ปลูกต้นไม้เก็บไว้ พอถึงเวลาจะสร้างงานชิ้นใหม่ ก็จะนำองค์ประกอบเก่า ๆ ที่เคยทำเก็บไว้มาผสมผสานกับสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ มันเลยไม่ใช่การเริ่มต้นจากศูนย์ แต่เป็นการนำความรู้สึกจากหลาย ๆ ช่วงเวลามาประกอบกันเป็นเรื่องราวใหม่ค่ะ

GC: การทำงานในแต่ละชิ้นซับซ้อนขนาดนี้ ใช้เวลานานไหมคะ

คุณปั้น: ระยะเวลาจะแล้วแต่ช่วงนั้น ๆ เลยค่ะ ถ้าช่วงไหนมีพลังงานเยอะก็จะทำงานได้เร็วมาก เคยทำชิ้นใหญ่ ๆ เสร็จภายในวันเดียวก็มี (หัวเราะ) แต่บางชิ้นก็อาจใช้เวลาหลายวัน แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดก็น่าจะเป็นเดดไลน์ค่ะที่จะทำให้ทุกอย่างไวขึ้น แต่โดยรวมแล้วปั้นคิดว่าตัวเองทำงานเร็วกว่าที่หลายคนคิดนะคะ อาจจะเพราะลึก ๆ แล้วเป็นคนใจร้อนนิดหน่อย ไม่ค่อยชอบอยู่กับอะไรนาน ๆ อยากทำแล้วเห็นผลเลยมากกว่า

เบื้องหลังดอกไม้ ธรรมชาติ และความไม่สมมาตร ในคอนเซปต์งานสไตล์ Papeterie

GC: ถ้าการตัดกระดาษก็มีลายเส้น คุณปั้นจะอธิบายลายเส้นของตัวเองว่าอย่างไร

คุณปั้น: ถ้าให้หาคำมาอธิบายลายเส้นของตัวเอง ปั้นว่าน่าจะเป็นคำว่า ‘Handmade’ ค่ะ เพราะปั้นไม่ได้ร่างแบบไว้ก่อนเลย ตัดสดตลอด ผลงานเลยจะไม่ได้สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มีความเป๊ะอะไรขนาดนั้น ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ปั้นชอบทำงานเกี่ยวกับธรรมชาติด้วยมั้งคะ เพราะมันไม่ต้องสมมาตรก็ได้

แบบว่าลึก ๆ แล้วปั้นยอมรับเลยว่าเป็นคนทำงานไม่เนี้ยบ ถึงจะอยากทำให้เรียบร้อยขึ้น แต่สุดท้ายนี่ก็คือสไตล์ของเราจริง ๆ (หัวเราะ) แต่หลัง ๆ ก็ไม่ได้คิดมากแล้วค่ะ เราว่าความไม่เป๊ะนี่แหละที่ทำให้งานมีเสน่ห์ มีความเป็นธรรมชาติในแบบของเราดี

GC: สังเกตว่าคุณปั้นจะชอบทำงานเกี่ยวกับธรรมชาติและใช้ดอกไม้เป็นองค์ประกอบหลัก เลยอยากรู้ว่ามีดอกไม้ชนิดไหนที่คุณชอบหรือตัดบ่อยเป็นพิเศษไหมคะ

คุณปั้น: ต้องยกให้ดอกแพนซี (Pansy) หรือดอกหน้าแมวเลย น้องเป็นดอกไม้ที่ครองอันดับหนึ่งในใจมาตลอด ถึงจะไม่ได้ตัดบ่อยแต่ก็รักมากจริง ๆ ปั้นเจอเขาครั้งแรกตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วประทับใจมากค่ะ ด้วยหน้าตาที่น่ารักของเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกแฟนตาซีเลย คือดอกไม้อื่นเราก็ว่าสวยนะ แต่แพนซีเป็นดอกแรกที่ทำให้รู้สึก ‘โอ้โห’ ได้จริง ๆ หลังจากนั้นเวลาไปไหนแล้วเจอเขา จะเหมือนมีเรดาร์ส่วนตัวที่มองเห็นก่อนตลอดเลยค่ะ และที่พิเศษที่สุดคือปั้นรู้สึกเหมือนเขาคุยกับเราได้ เหมือนเขามีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเองจริง ๆ ค่ะ

GC: นอกจากเรื่องความไม่สมบูรณ์แบบแล้ว อะไรทำให้คุณปั้นเลือกใช้ ‘ธรรมชาติ’ เป็นองค์ประกอบหลักในงานอีกไหม

คุณปั้น: จริง ๆ ไม่เคยมานั่งคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ จนเห็นคำถามนี้ (หัวเราะ) คือปั้นรู้สึกว่าเวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ดอกไม้นะคะ แต่รวมถึงพื้นที่สีเขียวทั้งหมดเลย มันเหมือนเป็นที่ให้เราได้ชาร์จพลัง ทำให้เรารู้สึกสงบลงแบบไม่รู้ตัว ความชอบนี้อาจจะเริ่มมาจากคุณแม่ที่ท่านรักดอกไม้มาก เราก็เลยซึมซับมา

แต่ถึงจะบอกว่างานของปั้นไม่ได้เนี้ยบเป๊ะในแง่ของรูปทรง ความเนี้ยบสำหรับปั้นจะไปอยู่ที่ความสะอาดเรียบร้อยของชิ้นงานมากกว่าค่ะ คือจะพยายามให้ไม่มีรอยกาว ไม่มีรอยดินสอ หรือตำหนิอื่น ๆ ที่ทำให้งานดูไม่สมบูรณ์ในเชิงเทคนิค จะเป็นความเนี้ยบในแง่นั้นมากกว่าค่ะ

สำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้อินกับดอกไม้มาก ๆ คือตอนที่ตัดสินใจไปเป็น Florist (นักจัดดอกไม้) อยู่พักหนึ่งค่ะ ตอนนั้นลองถามตัวเองดูว่า นอกจากกระดาษแล้วเราชอบอะไรอีกนะ คำตอบก็คือดอกไม้ เลยตัดสินใจลองไปสมัครดู การได้เป็น Florist ทำให้เรามีความสุขทุกวันจริง ๆ ค่ะ ได้เห็นดอกไม้ตั้งแต่เป็นตุ่มเล็ก ๆ จนบานสะพรั่งแล้วร่วงโรยไป ได้เห็นครบทุกช่วงชีวิตของเขา มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราผูกพันกับธรรมชาติมากขึ้นไปอีกขั้นเลย

GC: การจะเป็น Florist ได้เขาคัดเลือกกันยังไงนะ

คุณปั้น: อันนี้ไม่ทราบเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นปั้นจัดดอกไม้ไม่เป็นเลยนะคะ เคยแค่จัดเล่น ๆ ซึ่งเทียบกับการทำงานจริงไม่ได้เลย ตอนไปคุยกับพี่เจ้าของร้าน เขาก็บอกแค่ว่า คุยด้วยแล้วรู้สึกว่าชอบ ก็แค่นั้นเลย ไม่ได้มีเกณฑ์อะไรเลยค่ะ

GC: ต้องมีความรู้เรื่องความหมายของดอกไม้ไหมคะ

คุณปั้น: คิดว่าไม่ต้องทราบตั้งแต่แรกได้นะคะ เหมือนตอนสัมภาษณ์ส่วนใหญ่คุยเรื่องสัพเพเหระเสียมากกว่า ปั้นเป็นคนชอบเล่าอยู่แล้วด้วย (หัวเราะ) ก็เลยคุยกันนานหน่อย แต่ก็สนุกมากค่ะ ส่วนตอนที่เพื่อนถามว่าทำไมถึงไปทำร้านนี้ เรารู้สึกว่าเห็นดอกไม้ของร้านเขาแล้วรู้สึกว่ามันสื่อสารกับเรา แค่นั้นเลยจริง ๆ

GC: การเป็น Florist ส่งอิทธิพลให้กับการทำงานในตอนนี้ไหมคะ

คุณปั้น: มีส่วนนะคะ แบบว่าเราก็จะนึกถึงความหมายของดอกไม้ตามตำราร่วมด้วยเล็กน้อย แต่หัวใจสำคัญคือการใช้ธรรมชาติเป็นเหมือนวัตถุเพื่อเล่าเรื่องของเราเองมากกว่า คือเมื่อเราอยากเล่าความรู้สึก หรือถ่ายทอดไอเดียอะไรบางอย่าง ก็จะหยิบเอาดอกไม้ ใบไม้ มาเป็นตัวแทน แล้วใช้การจัดวางเพื่อสื่อสารสิ่งนั้นออกมา ซึ่งกระบวนการคิดแบบนี้ปั้นได้มาเต็ม ๆ จากตอนเป็น Florist เลยค่ะ ที่เราต้องใช้การจัดดอกไม้เพื่อสื่ออารมณ์ พอมาทำงานของตัวเอง ก็เหมือนเรากำลังจัดดอกไม้กระดาษเพื่อเล่าเรื่องของเราอยู่เหมือนกันค่ะ

จากชิ้นงานสู่นิทรรศการแรก และความท้าทายใหม่ในฐานะ ‘ศิลปิน’

GC: มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าฝีมือเราพัฒนาและก้าวไปอีกระดับแล้ว

คุณปั้น: เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันค่ะ เพราะเราจะรู้สึกว่าตัวเองคล่องขึ้นได้อีกเรื่อย ๆ ตลอดเวลา แต่ถ้าถามถึงจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนที่สุดที่ทำให้รู้สึกว่าฝีมือเราก้าวกระโดดจริง ๆ น่าจะเป็นช่วงที่ทำนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกค่ะ ตอนนั้นน่าจะอายุประมาณ 24-25 เป็นช่วงที่ปั้นเก็บตัวทำงานหนักมาก ได้ทดลองทำในสิ่งที่ท้าทายความสามารถตัวเองเยอะที่สุดในชีวิต ทำงานต่อเนื่องอยู่ประมาณ 4-5 เดือน ตั้งแต่การค้นคว้าข้อมูลไปจนถึงการสร้างชิ้นงานทั้งหมด

ความทุ่มเทในช่วงนั้นส่งผลให้ทักษะของเราพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ และหลังจากนั้นก็ทำให้เราเริ่มนิ่งและมั่นใจในขั้นตอนการทำงานมากขึ้นด้วย ที่สำคัญคือเราได้เรียนรู้ว่า พาร์ทที่กดดันที่สุดไม่ใช่ตอนลงมือตัด แต่เป็นพาร์ทของการคิดค่ะ ส่วนตอนลงมือทำจะเป็นช่วงที่เราสนุกและไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ เพราะเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยและทำได้ค่อนข้างเร็วอยู่แล้ว

GC: จากการทำงานชิ้นต่อชิ้น พอขยับมาเป็นนิทรรศการ ที่เหมือนต้องจัดการสวนทั้งสวน วิธีคิดของคุณปั้นเปลี่ยนไปไหมคะ หรือมีการออกแบบคอนเซ็ปต์อย่างไรบ้าง

คุณปั้น: วิธีคิดเปลี่ยนไปมากค่ะ เราต้องมองภาพรวมของทั้งพื้นที่ ไม่ใช่แค่ชิ้นงานเดี่ยว ๆ อย่างนิทรรศการล่าสุด ‘Dear Myself’ มีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดที่ว่า การมอบดอกไม้คือการแทนความรู้สึกดี ๆ เราเลยอยากชวนให้ทุกคนหันกลับมามอบดอกไม้ให้กับคนสำคัญที่สุด นั่นก็คือตัวเราเอง พอได้แก่นความคิดนี้ เราก็เริ่มคิดถึง ‘พื้นที่’ ที่จะเล่าเรื่องนี้ เราอยากให้ผู้ชมรู้สึกสบายใจที่สุด เลยเกิดเป็นธีม ‘บ้านที่อยู่ในหัวใจของเรา’ ขึ้นมาค่ะ จากนั้นจึงค่อย ๆ คิดรายละเอียดต่อไปว่าบ้านหลังนี้จะมีหน้าตาและสีสันเป็นอย่างไร

ส่วนนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก ตอนนั้นปั้นอยากสำรวจพันธุ์ไม้จากทั่วโลก และด้วยความที่เป็นคนชอบพิพิธภัณฑ์มาก เลยเกิดเป็นไอเดียพิพิธภัณฑ์ต้นไม้ในแบบฉบับของเราเองค่ะ พอได้โจทย์นี้ เราก็เริ่มออกแบบองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น อยากให้พื้นที่ทั้งหมดเป็นสีเขียว เพราะเรารับเอเนอร์จี้จากสีนี้ แล้วก็ใช้ขาตั้งไม้ที่ดีไซน์ให้มีกลิ่นอายเหมือนห้องทดลองและมีโดมแก้ว ทุกอย่างจะถูกคิดเชื่อมโยงกันมาจากคอนเซ็ปต์หลักค่ะ

GC: งานของคุณปั้นเหมือนจะผูกพันกับพื้นที่ที่ตัวเองชอบเป็นพิเศษ

คุณปั้น: ใช่ค่ะ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วปั้นชอบทำงานกับพื้นที่มากเป็นพิเศษ แต่การจะสร้างสรรค์งานสเกลใหญ่แบบนั้นได้ต้องอาศัยโอกาสและปัจจัยหลายอย่าง แต่ถ้าถามจากใจจริงคือชอบสร้างพื้นที่มาก ๆ ค่ะ เพราะเชื่อว่าพื้นที่มีส่วนอย่างมากในการสร้างความรู้สึกร่วมระหว่างผู้ชมกับผลงาน จะเรียกว่าชิ้นงานกับพื้นที่ถูกคิดขึ้นมาควบคู่กันไปก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราต้องออกแบบงานให้เข้ากับพื้นที่เสมอไป เพราะทุกอย่างมันมาจากแก่นความคิดเดียวกัน มันเลยดูกลมกลืนและแตกแขนงออกมาเป็นภาพรวมเดียวกันค่ะ

GC: คิดไว้ตั้งแต่แรกเลยไหมคะว่าเราจะทำงานในฐานะศิลปิน

คุณปั้น: ไม่เลยค่ะ สารภาพตามตรงว่าไม่เคยคิดเลย และเคยรู้สึกไม่มั่นใจกับเรื่องนี้มาตลอด เรารู้สึกว่าการจะเป็นศิลปินได้นั้นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ต้องสามารถขายตัวตนของเราได้ ซึ่งช่วงแรก ๆ ปั้นยังไม่มีความรู้สึกนั้นเลยค่ะ

เส้นทางของปั้นไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น เราแค่รู้ว่าทำสิ่งนี้แล้วสนุกก็เลยทำไปเรื่อยๆ ซึ่งมองย้อนกลับไปก็เป็นข้อดีสำหรับปั้นนะคะ เพราะการไม่มีเป้าหมายที่ตายตัวทำให้เราเปิดกว้าง พร้อมที่จะแวะสำรวจโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาเสมอ เหมือนการล่องเรือไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ปักหมุดหมาย มันทำให้เราได้ทำอะไรที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนและสนุกกับมันไปวันต่อวันค่ะ

GC: คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำงานสายนี้คะ

คุณปั้น: สำหรับปั้น รู้สึกโชคดีที่ช่วงแรกอาจไม่ยากมากเท่าไร อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเราทำทุกอย่างด้วยความสนุกล้วน ๆ แต่ความท้าทายจะมาในช่วงกลาง ๆ แล้วมากกว่า มันเป็นความกดดันที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อาจจะเพราะอายุที่มากขึ้น ทำให้เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘เราต้องจริงจังกว่านี้ไหม’ หรือ ‘ต้องมีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้หรือเปล่า’ แต่สุดท้ายแล้วปั้นก็กลับมาสู่จุดเดิม คือนิยามความสำเร็จของตัวเองว่า ถ้าเรายังได้ทำงานที่รักและสนุกกับมัน และงานนั้นสามารถเลี้ยงชีพเราได้ นั่นก็เพียงพอแล้วค่ะ ความรู้สึกมั่นคงอาจไม่ได้วัดจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมเสมอไป

ปั้นคิดว่าทุกอาชีพมีความยากในแบบของตัวเอง แต่อาชีพศิลปินอาจจะพิเศษตรงที่ไม่ได้มีขั้นบันไดความสำเร็จที่ชัดเจนนัก บางครั้งเราเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังอยู่ตรงจุดไหน แต่ตอนนี้ก็พยายามไม่คิดมากค่ะ แค่สนุกกับสิ่งที่ทำ และถ้ามันยังไปต่อได้ เราก็ไปต่อ

GC: เริ่มมีคนเรียกคุณปั้นว่าเป็นศิลปินช่วงไหนคะ แล้วรู้สึกอย่างไร

คุณปั้น: ตอนที่มีนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกค่ะ (หัวเราะ) เป็นความรู้สึกที่แปลกและเขินมาก ๆ คือเราอยากมีโซโล่ของตัวเองนะคะ แต่มันตลกตรงที่เราไม่เคยคิดว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เราถูกเรียกว่า ‘ศิลปิน’ เราแค่อยากทำโชว์ อยากทำงานที่เราอยากทำออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง พอมีคนเริ่มเรียกแบบนั้นก็เลยรู้สึกแปลก ๆ ว่า เอ๊ะ เราเป็นได้จริง ๆ เหรอ เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยมั่นใจว่างานของเราจะมีเรื่องราวลึกซึ้งพอขนาดนั้น แบบว่าแต่ก่อนเวลาใครถามว่าทำอาชีพอะไร ก็จะตอบแค่ว่า ทำงานตัดกระดาษค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกสบาย ๆ กับคำว่าศิลปินมากขึ้นแล้วค่ะ ไม่ได้คิดมากเหมือนเมื่อก่อน

เป้าหมายในอนาคต การท้าทายตัวเอง และกลเม็ดเล็ก ๆ สำหรับคนที่อยากลองทำเปเปอร์คัท

GC: ต่อจากนิทรรศการ ‘Dear Myself’ มีโปรเจกต์ในอนาคตที่คิดไว้ในใจหรือยังคะ

คุณปั้น: ตอนนี้สิ่งที่อยากทำอาจจะยังไม่ใช่โปรเจกต์ที่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เป็นความรู้สึกที่อยากท้าทายและพาตัวเองออกจากคอมฟอร์ทโซนมากขึ้นค่ะ ปั้นรู้ตัวดีว่าเป็นคนที่ค่อนข้างทำงานอยู่ในรูปแบบที่คุ้นเคย พอเรารู้สึกว่าเราเข้าใจกระบวนการทำงานของเราดีประมาณหนึ่งแล้ว ก็เลยอยากลองพาตัวเองไปเรียนรู้กระบวนการใหม่ ๆ ดูบ้าง

แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนเทคนิคหลักนะคะ ปั้นยังคงชอบการทำงานกับกระดาษที่สุด แต่เป็นการลองผสมผสานเทคนิคอื่นเข้ามา เช่น ล่าสุดได้ลองปักผ้าลงบนกระดาษที่หนาขึ้น หรือเป็นการตั้งโจทย์เล็ก ๆ ให้ตัวเอง เช่น ลองใช้ชุดสีที่ไม่คุ้นเคย หรือสร้างสรรค์องค์ประกอบใหม่ ๆ ที่เราสนใจแต่ไม่ค่อยได้ทำอย่างรูปสัตว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปั้นรู้สึกว่ายากมาตลอด เพราะการทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีหน้าตาดูมีชีวิตชีวานั้นท้าทายมากค่ะ

จะว่าไปแล้วการก้าวข้ามสไตล์ของตัวเองก็เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ชาเลนจ์มากเลยนะคะ ปั้นมักจะแซวตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็นคนทำธรรมชาติที่ดูไม่ธรรมชาติเลย คือเราชอบนำเรื่องธรรมชาติมาเล่า แต่ผลงานกลับดูเหมือนถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างตั้งใจ ซึ่งเคยมีช่วงหนึ่งที่พยายามจะทำงานให้ดูดิบและเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ จนยอมรับว่านี่คงเป็นตัวตนของเราจริง ๆ งานศิลปะมักจะจริงใจกับผู้สร้างเสมอ มันสะท้อนว่าเราเป็นคนอย่างไร และปั้นก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนออร์แกนิกขนาดนั้น งานที่ออกมาจึงเป็นแบบนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สนุกดีค่ะ

GC: ในหัวตอนนั้นคุณปั้นคิดว่า ‘ธรรมชาติ’ ในงานศิลปะต้องเป็นแบบไหนคะ

คุณปั้น: ไม่ใช่ธรรมชาติในความหมายว่าเป็นป่าหรือต้นไม้ค่ะ แต่หมายถึงความรู้สึกที่ได้รับจากงานมากกว่า อย่างงานของศิลปินบางท่านที่เราดูแล้วรู้สึกได้ถึงความดิบ ความจริง หรือความเปลือย แต่สำหรับงานของเราจะมีความเนี้ยบเป๊ะ ดูประดิษฐ์ ซึ่งเราเคยพยายามจะทำในสไตล์อื่นแล้วแต่มันไม่ใช่ตัวเราเลยค่ะ เพราะวิธีการทำงานหรือการจัดวางของเราจะมีกรอบที่เป็นระเบียบอยู่เสมอ

แต่ช่วงหลังมานี้ปั้นก็พยายามจะปล่อยให้ตัวเองได้ทดลองทำอะไรที่แปลกขึ้น คือยอมปล่อยให้ผลงานอยู่ในจุดที่ไม่ใช่แค่สวยแบบที่เราคุ้นเคย ซึ่งพอเรากล้าที่จะจริงใจกับตัวเองและปล่อยวางมากขึ้น ก็มีคนดูงานแล้วบอกว่างานครั้งนี้ดูคมขึ้นนะ มันทำให้เราคิดว่าเป้าหมายในอนาคตอาจจะเป็นแค่การท้าทายตัวเองให้มากขึ้นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ

GC: ถ้ามีคนอ่านแล้วอยากเริ่มทำเปเปอร์คัทบ้าง คุณปั้นมีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำสิ่งนี้ไหม

คุณปั้น: ถ้าในแง่ข้อมูลปั้นไม่มีหนังสือเล่มไหนแนะนำเป็นพิเศษเลยค่ะ แต่สำหรับในแง่ปฏิบัติ ปั้นว่าอาจจะลองใช้วิธีทำไปเลย เพราะสำหรับปั้นแล้วการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือทำ ลองผิดลองถูกไปเลยค่ะ ลองใช้อุปกรณ์หลาย ๆ แบบ ทั้งกรรไกรและคัตเตอร์ ลองใช้กระดาษหลาย ๆ ความหนา หลาย ๆ ยี่ห้อ เพื่อค้นหาว่าเราคลิกกับแบบไหนมากที่สุด อย่างตัวปั้นเองก็ลองมาหลายอย่างแล้ว จนรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดคัตเตอร์ แต่จะถนัดกรรไกรทรงเฉพาะแบบนี้ กับกระดาษที่มีความหนาประมาณนี้ การทดลองไปเรื่อย ๆ จะทำให้เราค้นพบเครื่องมือและวัสดุที่เข้ามือเราที่สุดเองค่ะ

GC: สุดท้ายนี้ อยากให้คุณปั้นช่วยแชร์มุมมองจากประสบการณ์ให้กับคนที่อยากเป็นศิลปิน ว่าควรเริ่มต้นหรือมองเส้นทางนี้ยังไงดีหน่อยได้ไหมคะ

คุณปั้น: ปั้นคิดว่าคำนิยามของคำว่าศิลปินไม่ได้ตายตัวขนาดนั้นนะคะ สุดท้ายแล้ว แค่เราได้ลงมือสร้างสรรค์ผลงาน เราก็เป็นศิลปินแล้ว แต่คิดว่าถ้าหมายถึงการเป็นศิลปินที่เลี้ยงชีพได้ด้วย ก็อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แม้แก่นแท้ของมันจะเป็นเรื่องการสร้างสรรค์เช่นเดียวกัน เพราะการทำให้มันเป็นอาชีพที่เลี้ยงดูเราได้นั้นยากจริง ๆ ค่ะ ซึ่งตรงนี้มุมมองของเราก็จะเปลี่ยนไปตามวัย ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะอยากทำแต่งานที่เราอยากทำอย่างเดียว แต่พอโตขึ้น เราต้องเรียนรู้ที่จะเปิดกว้างมากขึ้น มองหาความเป็นไปได้ในโอกาสต่าง ๆ ที่เข้ามา แม้บางงานอาจจะไม่ได้ตรงใจเราตั้งแต่แรก แต่การลองพาตัวเองไปเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ก็มักจะทำให้เราได้เรียนรู้อะไรกลับมาเสมอ

และรู้สึกว่าอีกสิ่งที่สำคัญในการทำให้ศิลปินเป็นอาชีพได้ก็คือ เราอาจต้องพาตัวเองไปให้คนอื่นได้เห็น เพื่อนเคยบอกปั้นว่า งานของเราจะถูกเลือกได้ยังไงถ้าไม่มีใครเห็น ซึ่งปั้นคิดว่ามันก็จริงค่ะ เราอาจต้องยอมรับว่าถ้าอยากให้งานของเราไปต่อได้ เราก็ต้องนำเสนอมันออกไปให้คนอื่นได้รู้จัก ส่วนผลตอบรับจะเป็นอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก้าวแรกคือการทำให้คนเห็นว่าเรามีตัวตนและมีผลงานอยู่ตรงนี้

แต่ถ้ามองในแง่ของจิตวิญญาณแล้ว แค่เราได้ทำงาน ได้แสดงความรู้สึกนึกคิดของเราออกมา และพอใจกับผลงานนั้น เราก็เป็นศิลปินได้อย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ (ยิ้ม)

สามารถติดตามผลงานของ ปั้น–นภัสชล ตั้งนุกูลกิจ หรือ Papeterie ได้ที่ Instragram: https://www.instagram.com/p.papeterie/