สำรวจตำนานและปกรณัมที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวและตัวละครจาก The Sandman

Post on 9 July 2025

หลังจากรอคอยกันมายาวนาน ในที่สุด The Sandman ซีซัน 2 ก็ได้ฤกษ์กลับมาสู่หน้าจอ Netflix เพื่อสานต่อการเดินทางของเจ้าแห่งความฝันในรูปแบบซีรีส์เป็นครั้งสุดท้าย (Netflix ประกาศว่า The Sandman จะจบลงที่ซีซัน 2 เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ นีล เกแมน ผู้สร้างคอมิก The Sandman รวมถึงผู้พัฒนาและอำนวยการสร้างซีรีส์นี้ ถูกผู้หญิงหลายคนกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ)

กว่า 34 ปีแล้วที่ The Sandman ออกเดินทางจากหน้ากระดาษของคอมิกอันลือลั่นแห่ง DC สู่หน้าจอ และกลายเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญของวงการซีรีส์ยุคใหม่ นับตั้งแต่ซีซันแรกเปิดตัวในปี 2022 ซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า โลกแห่งความฝัน ความเชื่อ และตำนานสามารถเล่าออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ได้อย่างทรงพลัง ไม่สูญเสียเสน่ห์ดั้งเดิมของฉบับคอมิก

‘หนังสือการ์ตูนสำหรับปัญญาชน’ คือคำจำกัดความที่เคยใช้กล่าวถึง The Sandman ผลงานคอมิกแนวอีโมดาร์กที่เขียนโดย นีล เกแมน หนึ่งในนักเขียนผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 21 เจ้าของผลงานอย่าง Stardust, American Gods, Coraline และ The Graveyard Book

แต่ในบรรดาผลงานทั้งหมด The Sandman คือมงกุฎเพชรของเกแมน เรื่องราวของ มอร์เฟียส (Morpheus) หรือ The Sandman ผู้เป็นเจ้าแห่งความฝัน ที่ต้องออกเดินทางเพื่อกอบกู้อาณาจักรแห่งความฝันที่พังทลายจากการถูกจองจำยาวนาน ความลึกซึ้งของเนื้อหาในคอมิก 75 ตอนนั้น ถึงขั้นทำให้หลายฝ่ายเคยเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดัดแปลงออกมาเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ได้สำเร็จ

หนึ่งในหัวใจสำคัญของ The Sandman คือการผสานตำนาน นิทานพื้นบ้าน ปรัชญา ศาสนา และจิตวิญญาณเข้าด้วยกันอย่างแยบคาย เกแมนไม่ได้เพียงหยิบยืมตำนานตะวันตกมาใช้ แต่ยังตีความเรื่องเล่าเหล่านั้นใหม่ผ่านมุมมองที่ลึกซึ้งทางจิตวิเคราะห์และปรัชญา โดยตั้งคำถามกับสิ่งที่เรายึดถือกันมาแต่โบราณเกี่ยวกับตัวตน มนุษยชาติ และจักรวาล

เกแมนเคยกล่าวไว้ว่า “ทุกวัฒนธรรมต่างสร้างเรื่องเล่าเพื่อตอบคำถามว่า ‘เราคือใคร’ และ ‘เรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน’” และในโลกของ The Sandman เรื่องเล่าเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงฉากหลัง แต่คือตัวละคร คือตัวเรื่อง คือกุญแจสำคัญของจักรวาลทั้งหมด

ซีซัน 2 ของ The Sandman เตรียมพาผู้ชมดำดิ่งลึกลงไปอีกในอาณาจักรแห่งความฝัน สู่ตำนานใหม่ ตัวละครใหม่ และคำถามใหม่เกี่ยวกับชีวิต ความตาย ความฝัน และเจตจำนงเสรี

ในวาระการกลับมาของ The Sandman ซีซัน 2 ครั้งนี้ GroundControl อยากชวนทุกคนย้อนกลับไปสำรวจรากเหง้าของตำนาน ปกรณัม และแนวคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ อีกครั้ง เพื่อปูพื้นความเข้าใจก่อนออกเดินทางผจญภัยต่อในซีซันนี้

The Sandman บุรุษทราย

นอกจากจะเป็นชื่อเรื่องแล้ว ‘ทราย’ ที่เป็นที่มาของชื่อ The Sandman ยังเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษของ มอร์เฟียส หรือ เจ้าผู้ครองโลกแห่งความฝัน ตัวเอกของเรื่อง ในเวอร์ชันของ นีล เกแมน ทั้งในคอมิกและซีรีส์ Netflix ทรายของมอร์เฟียสถูกเก็บไว้ใน “ถุงทรายแห่งความฝัน” ซึ่งมีอานุภาพในการทำให้ผู้คนหลับใหล มองเห็นภาพในความฝัน หรือแม้กระทั่งใช้ควบคุมความฝันของผู้อื่น

แล้วทำไมต้องเป็น "ทราย"? คำว่า Sandman แท้จริงแล้วมีรากมาจาก ตำนานพื้นบ้านของยุโรป โดยมีความเชื่อว่าในยามค่ำ ภูติแห่งความฝันจะมาโปรยทรายใส่เปลือกตาเด็กเพื่อให้หลับ และในตอนเช้าเมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีขี้ตาหรือรู้สึกเคืองตา นั่นก็เพราะเศษทรายที่ Sandman ทิ้งไว้ระหว่างที่เราอยู่ในห้วงนิทรานั่นเอง

ภาพจากหนังสือ Der Sandmann

ภาพจากหนังสือ Der Sandmann

หลักฐานทางวรรณกรรมที่สำคัญเกี่ยวกับตำนาน Sandman ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในปี ค.ศ. 1816 ผ่านเรื่องสั้นชื่อ Der Sandmann เขียนโดยนักประพันธ์แนวโกธิคชาวเยอรมัน อี.ที.เอ. ฮอฟฟ์มันน์ เรื่องราวในนิทานนี้มีความดาร์กและหลอนมาก โดย Sandman ถูกกล่าวถึงว่าเป็นสิ่งมีชีวิตโหดเหี้ยม ที่จะมาโปรยทรายใส่ตาเด็กที่ไม่ยอมนอน จนดวงตาหลุดออกจากเบ้า แล้วนำดวงตาเหล่านั้นกลับไปให้ลูก ๆ ของตนกิน เรื่องนี้จึงถูกใช้เป็นนิทานหลอกเด็ก เพื่อทำให้เด็กยอมเข้านอน

ต่อมาในปี ค.ศ. 1841 นักเล่านิทานชาวเดนมาร์กผู้โด่งดัง ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ได้ตีพิมพ์เทพนิยายชื่อ Ole Lukøje ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่อ่อนโยนกว่ามาก ตัวละครโอเลเป็นภูติแห่งความฝันผู้ถือร่มวิเศษสองคัน โดยร่มคันแรกมีสีสันสวยงาม ใช้สำหรับเด็กดีที่เชื่อฟังพ่อแม่ เมื่อร่มนี้ถูกกางเหนือศีรษะ เด็กคนนั้นก็จะฝันถึงภาพงดงาม ส่วนร่มอีกคันเป็นร่มสีเรียบที่ไม่มีภาพใด ๆ ซึ่งโอเลจะใช้กับเด็กดื้อ ทำให้พวกเขานอนหลับโดยปราศจากความฝัน

มอร์เฟียส เทพแห่งความฝัน: เมื่อชาวกรีกจินตนาการความฝันให้มีชีวิต

ในโลกของตำนานกรีกโบราณ ทุกสิ่งในธรรมชาติต่างถูกอธิบายผ่านเรื่องราวของเทพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า ทะเล ความรัก หรือแม้กระทั่งความฝัน เพราะสำหรับชาวกรีกโบราณแล้ว “ความฝัน” ไม่ใช่แค่ภาพเลื่อนลอยที่เกิดขึ้นในยามหลับ แต่เป็นอีกโลกหนึ่งที่มีชีวิต มีอำนาจ และมีผู้ปกครองเป็นเทพเจ้าโดยเฉพาะ เขาคือ "มอร์เฟียส" (Morpheus)

ชื่อของมอร์เฟียสมาจากคำในภาษากรีกว่า morphē ซึ่งแปลว่า “รูปร่าง” หรือ “รูปทรง” สะท้อนถึงพลังพิเศษของเขาในการจำแลงกายเป็นคน สิ่งของ หรือภาพต่าง ๆ ภายในความฝัน มอร์เฟียสจึงเป็นเทพเจ้าที่สามารถ “สร้างภาพ” ในฝันได้อย่างชัดเจนและสมจริง ที่สำคัญ เขายังเป็นเทพองค์เดียวที่สามารถสื่อสารสารจากเหล่าทวยเทพผ่านความฝันของมนุษย์ จนกลายเป็นที่มาของสำนวนภาษาอังกฤษว่า “In the arms of Morpheus” หรือ “ในอ้อมกอดของมอร์เฟียส” ซึ่งหมายถึงการนอนหลับอย่างลึกและสงบสุข

Morpheus and Iris (1811) โดย Pierre-Narcisse Guérin

Morpheus and Iris (1811) โดย Pierre-Narcisse Guérin

แม้ในตำนานดั้งเดิมของกรีกจะไม่ได้กล่าวถึงมอร์เฟียสโดยตรงบ่อยนัก แต่เขากลับมีบทบาทชัดเจนในงานเขียนของนักกวีโรมันอย่าง Ovid ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของเทพเจ้าในยุคหลังผ่านงานประพันธ์ Metamorphoses ที่โด่งดัง มอร์เฟียสถูกระบุว่าเป็นบุตรของฮิปนอส (Hypnos) เทพเจ้าแห่งการนอนหลับ และหลานของนิกซ์ (Nyx) เทพีแห่งราตรีกาล ซึ่งต่างก็เป็นตัวแทนของพลังแห่งความมืด ความเงียบ และยามค่ำคืน เขามีพี่น้องอีกหลายองค์ที่ล้วนมีหน้าที่สร้างความฝันเช่นเดียวกัน เช่น ฟีเบเตอร์ (Phobetor หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Icelus) ซึ่งสร้างความฝันเกี่ยวกับสัตว์ และฟานทาซอส (Phantasos) ผู้สร้างความฝันแนวเหนือจริงอย่างภูเขา ทะเล หรือวัตถุต่าง ๆ ทั้งหมดรวมเรียกว่า Oneiroi กลุ่มเทพแห่งความฝัน โดยมีมอร์เฟียสเป็นผู้นำ

ในความเชื่อของชาวกรีก ความฝันไม่ได้เป็นเพียงภาพในจิตใจ แต่ยังเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า เป็นคำทำนายล่วงหน้า หรือแม้กระทั่งการเตือนภัย ความฝันจึงถูกมองว่ามีพลังและมีคุณค่าทางจิตวิญญาณสูงมาก มีการสร้างศาลเจ้าบางแห่งที่ผู้คนสามารถไปนอนหลับเพื่อให้ “เทพเจ้า” ส่งความฝันมาบอกแนวทางรักษาโรคหรือแก้ปัญหาในชีวิต โดยเฉพาะศาลของเทพ Asclepius เทพแห่งการแพทย์ ซึ่งเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้ “การฝัน” เป็นพิธีกรรมทางศาสนา

Morphée (1777) โดย Jean Antoine Houdon

Morphée (1777) โดย Jean Antoine Houdon

มีบทบาทสำคัญในวรรณกรรม และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับวัฒนธรรมสมัยใหม่มากมาย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Morpheus แห่ง The Sandman ผลงานของ นีล เกแมน ที่ดัดแปลงความเป็นเทพแห่งความฝันให้กลายเป็นตัวละครที่ลุ่มลึก เต็มไปด้วยปรัชญา ความเศร้า และพลังอำนาจแห่งจินตนาการ หรือในภาพยนตร์ The Matrix ที่ตัวละครชื่อ Morpheus เป็นผู้นำให้ผู้คน “ตื่น” จากโลกมายา ซึ่งก็เป็นการเล่นคำที่ลึกซึ้งกับความหมายของความฝันอีกเช่นกัน

กล่าวได้ว่า มอร์เฟียสเป็นเทพที่ไม่ได้มีบทบาทในพิธีกรรมจริงเท่ากับเทพองค์อื่น แต่กลับฝังรากลึกอยู่ในความเชื่อ ความคิด และวัฒนธรรมผ่านการเล่าเรื่อง ไม่ใช่เพียงเพราะเขาคือเทพแห่งความฝัน แต่เพราะเขาคือสัญลักษณ์ของพลังแห่งจินตนาการ การหลบหนีจากความจริง และบางครั้งก็คือประตูไปสู่การรู้แจ้งในสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจ

The Endless เจ็ดพี่น้องใน The Sandman กับแรงบันดาลใจจากปกรณัม

ตำนานและปกรณัมของมนุษย์ทั่วโลกล้วนมีหน้าที่สำคัญในการอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์ประสบพบเจอ ในแง่นี้ The Endless เจ็ดพี่น้องใน The Sandman ของ นีล เกแมน จึงเป็นการนำแนวคิดเรื่องเทพเจ้าหรือสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่สะท้อนความเป็นมนุษย์มาเล่าใหม่อย่างลึกซึ้งและสร้างสรรค์

ใน The Sandman พี่น้องเจ็ดคนนี้ได้แก่ Dream (ดรีม หรือ มอร์เฟียส), Death (เทพีแห่งความตาย), Destiny (โชคชะตา), Despair (ความสิ้นหวัง), Desire (ความปรารถนา), Delirium (เพ้อรำพัน) และ Destruction (การทำลายล้าง) ทั้งหมดนี้เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์และสภาวะนามธรรมที่มีผลต่อชีวิตมนุษย์ในหลายมิติ แม้ตัวละครเหล่านี้จะไม่ได้มาจากตำนานกรีกโดยตรง แต่แนวคิดของพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากการตีความปกรณัมต่างๆ ที่สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์และจักรวาลในรูปแบบใหม่ที่ร่วมสมัย

ตามเนื้อเรื่องของ The Sandman พี่น้องทั้งเจ็ดไม่ได้มีพ่อแม่ที่ชัดเจนตามตำนานกรีก แต่ในฉบับคอมิก เคยกล่าวถึงพ่อแม่ในแง่เชิงสัญลักษณ์คือ Time (เวลา) และ Night (ราตรี) ซึ่งแสดงถึงความเป็นนามธรรมและความไม่มีที่สิ้นสุดของจักรวาล ก่อนที่สิ่งต่าง ๆ จะเกิดขึ้น นี่เป็นการสะท้อนความคิดที่ว่า The Endless คือส่วนหนึ่งของโครงสร้างจักรวาล มากกว่าจะเป็นเทพเจ้าตามนิยามเดิม

หากเทียบกับตำนานกรีกที่มีเทพพี่น้องซึ่งแสดงถึงแง่มุมของชีวิต เช่น Nyx (เทพีแห่งราตรี) และ Erebus (เทพแห่งความมืด) รวมถึงเทพที่เกี่ยวข้องกับความตายหรือความสิ้นหวัง เช่น Keres หรือ Oizys ก็จะเห็นได้ว่า เกแมนนำแรงบันดาลใจจากภาพรวมของปกรณัมกรีกมาใช้เป็นกรอบแนวคิด แต่เขาได้สร้างตัวละครและเรื่องราวที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง และขยายความหมายออกไปไกลกว่าที่ตำนานเดิมเคยเสนอ

พี่น้องใน The Endless ต่างปกครองโลกหรืออาณาจักรของตนเองอย่างเป็นอิสระและมีบทบาทเฉพาะ เช่น Death ที่แม้เป็นเทพีแห่งความตายแต่กลับเป็นตัวแทนของความสงบและความเมตตา หรือ Destruction ที่แม้จะหมายถึงการทำลายล้าง แต่ก็แฝงด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและสมดุลของธรรมชาติชีวิต

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง เช่น Desire และ Despair ที่มีความขัดแย้งกับ Dream ยังแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและความซับซ้อนของอารมณ์และแรงผลักดันในจิตใจมนุษย์ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า The Sandman ไม่ใช่เพียงแค่การเล่าเรื่องเทพนิยาย แต่เป็นการสะท้อนความเข้าใจในตัวตนและประสบการณ์มนุษย์ผ่านมุมมองที่ลึกซึ้งและมีชั้นเชิง

โดยสรุป The Endless ใน The Sandman คือผลงานที่นำเอาโครงสร้างและฟังก์ชั่นของปกรณัมมาใช้ในการตีความโลกและชีวิตในยุคสมัยใหม่ สะท้อนทั้งความหวัง ความเศร้า ความวุ่นวาย และความงดงามของการเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในงานเขียนของ นีล เกแมน อย่างแท้จริง

ออร์เฟียส: ความรัก ความสูญเสีย และความเป็นมนุษย์ใน The Sandman

ออร์เฟียสใน The Sandman เป็นตัวละครที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานกรีกโบราณ โดยเป็นบุตรของดรีม (มอร์เฟียส) เทพแห่งความฝัน และคาลิโอปี มิวส์แห่งบทกวี แม้มีเชื้อสายเทพ แต่เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา เรื่องราวของออร์เฟียสในจักรวาลของนีล เกแมน มีความลึกซึ้งและซับซ้อน ผสมผสานความโศกเศร้าและความงดงาม สะท้อนความอุดมคติและความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจน

ตามตำนานกรีก ออร์เฟียสเป็นนักดนตรีและกวีผู้มีพรสวรรค์ เสียงเพลงของเขาสามารถสะกดใจสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตได้ เขาแต่งงานกับยูริดิเซ แต่เธอเสียชีวิตจากงูพิษในคืนแต่งงาน ออร์เฟียสจึงเดินทางลงสู่โลกใต้พิภพเพื่อขอพาเธอกลับ ด้วยเสียงดนตรีที่ไพเราะ เขาทำให้ฮาเดสและเพอร์เซโฟเนใจอ่อน ยอมให้พากลับได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามหันหลังมองยูริดิเซจนกว่าจะถึงโลกบน

Orpheus (1890) โดย George de Forest Brush

Orpheus (1890) โดย George de Forest Brush

อย่างไรก็ตาม เมื่อใกล้ถึงผิวโลก ออร์เฟียสอดใจไม่ไหว หันกลับไปมองยูริดิเซก่อนเวลา เธอจึงหายไปตลอดกาล เหตุการณ์นี้คือจุดเปลี่ยนของโศกนาฏกรรมในชีวิตเขา หลังจากนั้นเขาทนทุกข์และถูกสังหารอย่างโหดร้ายโดยผู้ติดตามเทพไดโอนิซัส แต่เสียงพิณและหัวของเขายังคงขับขานเพลงแห่งความรักและความเจ็บปวดแม้หลังความตาย

ตำนานออร์เฟียสสะท้อนพลังของศิลปะและดนตรีที่เปลี่ยนใจมนุษย์และเทพเจ้าได้ รวมถึงความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะความตายผ่านศิลปะ เรื่องราวของเขาเน้นความรักแท้ ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย และข้อจำกัดของมนุษย์ในการควบคุมชะตากรรม

Orpheus and Eurydice (1862) โดย Edward Poynter

Orpheus and Eurydice (1862) โดย Edward Poynter

ใน The Sandman เวอร์ชันคอมิก ความสัมพันธ์ระหว่างออร์เฟียสกับดรีมเป็นภาพสะท้อนความรักระหว่างพ่อกับลูกที่ซับซ้อน ดรีมรู้สึกผิดและเจ็บปวดจากความทุกข์ของลูกชาย แต่ยังต้องรักษาหน้าที่เทพแห่งความฝัน ความเจ็บปวดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านฉากที่ออร์เฟียสขอให้ดรีมปลดปล่อยความทรมาน ดรีมจึงอนุญาตให้เขาตาย

ในซีรีส์ Netflix เรื่องราวถูกขยายความ เน้นความสัมพันธ์พ่อ-ลูก ความอุดมคติ และการยอมรับชะตากรรมของออร์เฟียส รวมถึงความซับซ้อนทางอารมณ์ของดรีมที่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย ออร์เฟียสใน The Sandman จึงไม่ใช่แค่การเล่าตำนานกรีก แต่เป็นการตีความใหม่ที่สะท้อนความรัก การสูญเสีย และขีดจำกัดของความเป็นอมตะ ทำให้เขากลายเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยขยายความเข้าใจตัวดรีมและธีมหลักของ Endless อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น