GC - Free Content Schiaparelli .jpg

หัวนม และความเซอร์เรียล Schiaparelli แบรนด์แฟชั่นที่เคยร่วมงานกับ Salvador Dalí

Post on 14 July 2022

ชุดเกาะอกรูปซิกซ์แพคแน่นปั๋งสีเขียวของ คิม คาร์เดเชียน (Kim Kardashian), สร้อยทองรูปปอดบนอกของ เบลลา ฮาดิด (Bella Hadid), หน้ากากทองชวนฉงนของ คาร์ดี บี (Cardi B), ชุดแดง-ดำพร้อมเข็มกลัดทองรูปนกพิราบของ เลดี้ กาก้า (Lady Gaga)ในวันพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โจ ไบเดน (Joe Biden) หรือแม้แต่ชุดเดรสหัวนมของ ฮันเตอร์ เชเฟอร์ (Hunter Schafer) …ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของ Schiaparelli ห้องเสื้อระดับโอต์กูตูร์ที่มาแรงที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

Schiaparelli ถูกก่อตั้งในปี 1927 (นึกง่าย ๆ คือเป็นช่วงระยะเวลากึ่งกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 พอดี) โดย เอลซ่า สเคียปาเรลลี่ (Elsa Schiaparelli) แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวอิตาเลียนจากครอบครัวมีอันจะกินที่ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาเปิดห้องเสื้อในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ในเวลานั้น มีอีกหนึ่งแฟชั่นดีไซเนอร์สาวมาแรงกำลังเปิดห้องเสื้ออยู่ด้วยเช่นกัน คน ๆ นั้นคือ โกโก ชาแนล (Coco Chanel) จากแบรนด์ Chanel ที่โด่งดังนั่นเอง

แม้จะเป็นคู่แข่งในสนามแฟชั่นจนไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ แต่ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว ผลงานการออกแบบของทั้งคู่กลับมีสไตล์ต่างกันสุดขั้น หากเสื้อผ้าของชาแนลเป็นการเพิ่มความกระฉับกระเฉงและความมั่นใจให้กับผู้หญิงผ่านชุดสูทผ้าทวีดสีเรียบหรู และชุด Little Black Dress สีดำสุดสง่า เสื้อผ้าของสเคียปาเรลลี่กลับดูขี้เล่น ชวนฝัน จากอิทธิพลของศิลปะลัทธิเหนือจริง (Surrealism) อย่างชัดเจน (เห็นแบบนี้ก็ไม่แปลกใจว่า ทำไมชาแนลถึงไม่ยอมเรียกสเคียปาเรลลี่ด้วยชื่อจริง แต่กลับเรียกว่า ‘ศิลปินที่ทำเสื้อผ้า’ แทน)

นอกจากลายเซ็นอย่างการใช้สีชมพูช็อกกิ้งพิงค์ และองค์ประกอบแห่ง ‘ความล้น’ แบบเฉพาะตัวของกระดุมและลวดลายประดับบนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ (ที่น่าจะต้องเรียกว่าเป็น ‘ศิลปะที่สวมใส่ได้ (Wearable Art)’ มากกว่า) สุดเซอร์เรียลแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของห้องเสื้อ Schiaparelli อยู่ที่การไปร่วมจับมือคอลแลบกับเหล่าศิลปินดังทั่วฟ้าเมืองปารีส ไม่ว่าจะเป็น ฌอง กอกโต (Jean Cocteau), แมน เรย์ (Man Ray), อัลเบร์โต จีอาโกเมตติ (Alberto Giacometti) และ มาร์เซล เวอร์เตส (Marcel Vertès) แต่ที่คนทั่วไปน่าจะจดจำได้มากที่สุดเห็นจะเป็นผลงานที่สเคียปาเรลลี่ทำร่วมกับหัวหอกแห่งเซอร์เรียลลิสม์อย่าง ซัลบาโด ดาลี (Salvador Dalí)

ผลงานการสร้างสรรค์ของสเคียปาเรลลี่และดาลีมีมากมายตั้งแต่ Shoe Hat หมวกรูปรองเท้าสุดแปลกตา, Skeleton Dress เดรสดำพร้อมโครงกระดูกนูนเด่นบนพื้นผิวชุด, Tear Dress เดรสขาวพิมพ์ลายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพจิตรกรรมของดาลี ไปจนถึง Lobster Dress เดรสขาวพิมพ์ลายรูปกุ้งล็อบสเตอร์จากผลงาน Lobster Telephone อันโด่งดัง ที่ครั้งหนึ่ง ​​วอลลิส ซิมป์สัน (Wallis Simpson) หรือต่อมาคือ ดัสเชสแห่งวินด์เซอร์ เคยสวมใส่ และผลงานอื่น ๆ อีกมากมาย

แม้กิจการของห้องเสื้อ Schiaparelli จะดำเนินไปได้ดี แต่การมาถึงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้ตัวสเคียปาเรลลี่ตัดสินใจหนีภัยสงครามมายังดินแดนแห่งความเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเธอกลับปารีสไปดำเนินธุรกิจห้องเสื้ออีกครั้งหลังสงครามสิ้นสุด ความนิยมของ Schiaparelli กลับไม่เฟื่องฟูเหมือนเก่า นอกจากพิษสงครามแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการมาถึงของดีไซเนอร์หนุ่มไฟแรงคนใหม่อย่าง คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior) ที่นำพาความงามรูปแบบใหม่มาให้สาว ๆ ปารีเซียงคลั่งไคล้แทนที่ความแปลกแหวกแนวของเธอ ในที่สุด ห้องเสื้อ Schiaparelli ก็ต้องปิดตำนานความยิ่งใหญ่ลงในปี 1954 ในขณะที่คู่ปรับตลอดกาลอย่าง Chanel สามารถรอดพ้นวิกฤตในครั้งนั้นมาได้ และยังคงมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน

หลังจากปิดตัวลงไปนานหลายทศวรรษ ในปี 2014 ก็มีความพยายามหลายที่จะนำ Schiaparelli กลับมาดำเนินธุรกิจแฟชั่นอีกครั้ง แต่ก็เป็นปี 2019 หรือ 3 ปีที่ผ่านมานี้เองที่แบรนด์ Schiaparelli เพิ่งจะเริ่มกลับมาทวงคืนสนามแฟชั่นโอต์กูตูร์ได้อย่างสง่างามอีกครั้งจากการมาถึงของผู้อำนวยการสร้างสรรค์คนใหม่อย่าง แดเนียล โรสเบอร์รี่ (Daniel Roseberry) ดีไซเนอร์หนุ่มชาวอเมริกันที่นำมรดกทางความคิดของสเคียปาเรลลี่กลับมาปัดฝุ่นใหม่ ด้วยไอเดียง่าย ๆ ที่ว่า หากสเคียปาเรลลี่ยังมีชีวิตอยู่ เสื้อผ้าของเธอจะเป็นยังไง? ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า แบรนด์ Schiaparelli ภายใต้บังเหียนของโรสเบอร์รี่คือการกลับไปค้นหาเสน่ห์แบบดั้งเดิมของห้องเสื้อ และนำมาปรุงแต่งให้เข้ากับบริบทของโลกแฟชั่นในยุคใหม่แทน

นอกจากภาพจำอย่างความเวอร์วังและสีทองสะดุดตาแล้ว Schiaparelli ของเขาเน้นนำเสนอการออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับหน้าตาแปลกประหลาด แต่กลับดูน่าค้นหา จากการนำอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมาสลับที่ทางและบริบทจนดูน่าสับสน  ไม่ว่าจะเป็น ตา จมูก ปาก มือ เท้า หรือแม้แต่การใช้หัวนมของเพศหญิงมาใช้ในการออกแบบอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งในแง่หนึ่งก็อาจจะต้องเรียกว่าเป็นการเซ็นเซอร์แบบไม่เซ็นเซอร์ ที่นอกจากจะดูเก๋ไก๋ตามแบบฉบับศิลปะแบบเซอร์เรียลลิสม์แล้ว ยังส่งสารบางอย่างถึงพื้นที่ในการแสดงออกของเพศหญิงออกไปสู่สายตาของชาวโลกด้วย

อ้างอิง:
https://www.schiaparelli.com/en/21-place-vendome/the-story-of-the-house/
https://www.lofficielusa.com/fashion/history-of-maison-schiaparelli-elsa-schiaparelli-shocking-pink-daniel-roseberry
https://wwd.com/fashion-news/fashion-scoops/celebrities-in-schiaparelli-2021-1234970536/
https://www.vanityfair.com/style/photos/2013/08/schiaparelli-fashion-photos-couture
https://www.vogue.com/article/everything-you-need-to-know-about-elsa-schiaparelli-ahead-of-the-shocking-exhibition-in-paris
https://www.dailyartmagazine.com/elsa-schiaparelli-art/
https://www.vogue.fr/fashion/fashion-inspiration/diaporama/elsa-schiaparelli-life-and-designs-in-pictures/51740