ชีสและช็อคโกแลตรสเลิศ? ผลิตภัณฑ์นาฬิกาและมีดคุณภาพสูง? สถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า วิวทะเลสาปและเทือกเขาหิมะสุดอลังการ? หรือความเงียบสงบที่หาไม่ได้จากที่ไหนในโลก? ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นอะไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์เปี่ยมล้น และยังมีอีกหลากหลายแง่มุมให้เราได้ค้นหาอีกมาก
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นประเทศเล็ก ๆ มีพรมแดนอยู่ติดกับอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ทั้งเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรีย และลิกเตนสไตน์ ทำให้สวิตเซอร์แลนด์มีความหลากหลายในหลายแง่มุม ทั้งด้านประชากร วิถีชีวิต ศิลปะวัฒนธรรม รวมไปถึงภาษาที่ใช้ภายในประเทศที่มีหลากหลายถึง 4 ภาษาตามแต่ละท้องที่ ตั้งแต่เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน และโรมานซ์
แม้แต่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของสวิตเซอร์แลนด์เองก็มีความโดดเด่นด้วยลักษณะภูมิประเทศที่มีทะเลสาปมากถึง 7,000 แห่ง อีกทั้งยังมีเทือกเขา Alps พาดตัวยาว ก่อให้เกิดวิวธรรมชาติที่มีความสวยงามอลังการมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนถูกใช้เป็นฉากหลังของภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และป็อปคัลเจอร์ต่าง ๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ศิลปินเอกของโลกจากยุคโรแมนติกอย่าง J.M.W. Turner ที่เข้ามาท่องเที่ยวและถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ของสวิตเซอร์แลนด์ผ่านผลงานจิตรกรรมตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
และด้วยความน่าสนใจของสวิตเซอร์แลนด์ที่ว่ามา ทำให้ไกด์ทัวร์ทั้งสามคนอย่าง ‘จอร์จ-ปรีโรจน์ เกษมศานติ์’, ‘ผ้าป่าน-สิริมา ไชยปรีชาวิทย์’ และ ‘ฮ่องเต้-กนต์ธร เตโชฬาร’ จึงได้รวบรวมสถานที่ที่น่าสนใจมาแนะนำให้ทุกได้ปักหมุดท่องเที่ยวตาม ใครที่อยากลองไปสัมผัสเมืองในฝันแห่งนี้แบบครบทุกรสชาติความเป็นสวิตเซอร์แลนด์แท้ ๆ สามารถตามไปดูกันต่อได้เลย
Schilthorn
ออกสตาร์ทกันที่ภูเขา Schilthorn ยอดเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Alps ในเขตเมือง Bern ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีความสูงถึง 2,970 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และด้วยความสูงระดับนี้เองทำให้การจะขึ้นไปเยี่ยมชมแต่ละครั้งจะต้องใช้การเดินทางโดยกระเช้าลอยฟ้า (Cable Car) เป็นหลัก โดยมี Birg เป็นสถานีกระเช้าลอยฟ้าระหว่างหมู่บ้าน Mürren และยอดเขา Schilthorn
ที่สถานี Birg นี้เองก็ไม่ได้มีหน้าที่เป็นแค่จุดเชื่อมต่อระหว่างสองสถานที่เท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ตั้งแต่การเดินชมวิวบน Skyline Walk ซึ่งเป็นทางเดินส่วนต่อขยายยื่นจากหน้าผาที่จะทำให้เราได้เห็นวิวพาโนรามาของภูเขาแบบชัดเจนจุใจ ไปจนถึงการออกผจญภัยท้าทายความกล้าบน Thrill Walk เส้นทางเดินบนหน้าผาชวนระทึกใจที่พื้นตลอดเส้นทางจะถูกออกแบบให้มีทั้งเป็นตะแกรงเหล็ก กระจก สลิง รวมไปถึงอุโมงค์ตาข่ายให้เราได้ลองลอด เรียกได้ว่าเป็นเป็นประสบการณ์ชวนหวาดเสียวท้าทายความกล้าแลกกับความสวยงามของวิวด้านล่างที่เป็นพื้นหิมะสุดอลังการ
เมื่อได้หลั่งอะดรีนาลีนท้าทายตัวเองกันไปแล้ว ก็ถึงเวลานั่งกระเช้าลอยฟ้าไปกันต่อที่ยอดเขา Schilthorn ซึ่งในช่วงยุค 1990s เส้นทางกระเช้าลอยฟ้าที่สร้างโดย Ernst Feuz นี้เองก็ถือเป็นเส้นทางกระเช้าลอยฟ้าแห่งแรกของโลกที่ยาวที่สุดด้วย โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ยอดเขา Schilthorn กลายเป็นจุดหมายปลายทางในใจใครหลาย ๆ คนก็เป็นเพราะที่นี่เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำแฟรนไชส์ภาพยนตร์สายลับระดับตำนานอย่าง James Bond 007 ในภาค ‘On Her Majesty's Secret Service (1969)’ ที่เป็นภาคที่ 6 แต่เป็นภาคแรกหลังจากต้องโบกมือลา James Bond ในความทรงจำใครหลาย ๆ คนอย่าง Sean Connery และเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงหนุ่ม George Lazenby แทน ซึ่งนี่ก็ถือเป็นภาพยนตร์ James Bond 007 ภาคแรกและภาคสุดท้ายของเขาด้วย เรียกได้ว่าเป็นภาคในตำนานสุด ๆ
ที่ยอดเขา Schilthorn เราจะได้เห็นกับวิวภูเขามากมายในเทือกเขาแอลป์ที่มีหิมะขาวโพลนปกคลุมตลอดทั้งปี และนอกจากจะเป็นจุดชมวิวสุดอลังการแล้ว เขายังมีกิมมิคจากภาพยนตร์ James Bond 007 ให้เราได้สัมผัสกันตลอดบริเวณ ทั้ง 007 Walk of Fame ทางเดินที่มีแผ่นป้ายขอบคุณเหล่านักแสดงและทีมงานผู้ผลิตภาพยนตร์ James Bond ภาค On Her Majesty's Secret Service ทั้ง 15 แผ่น โดยในแต่ละแผ่นจะมีรูป ลายเซ็นต์ และลายประทับมือของแต่ละคนอยู่ เราสามารถแวะไปแปะมือหรือแม้แต่ทำท่า Brofist กับเหล่านักแสดงทิพย์ได้ตลอดทั้งปี
แต่หากวันไหนอากาศไม่เป็นใจก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่ยอดเขา Schilthorn แห่งนี้เองเขาก็ยังมีร้านอาหาร Piz Gloria ให้เราได้ไปนั่งรับประทานอาหารพร้อมทำกิจกรรมในร่มแบบสุดชิลล์ โดย Piz Gloria ถือเป็นร้านอาหารหมุนได้ที่รองรับการชมวิวแบบ 360 องศาบนยอดเขาแห่งแรกของโลก ภายในถูกออกแบบด้วยธีม James Bond 007 ตั้งแต่การตกแต่งภายใน ไปจนถึงเมนูอาหาร และแม้แต่ห้องน้ำเองก็ยังกิมมิคเล่นกับแสงสีเสียงจากภาพยนตร์ James Bond 007 จนถึงขนาดได้รับรางวัลการออกแบบในปี 2018 จากความสะอาด ความคิดสร้างสรรค์ และยังถือเป็นห้องน้ำที่คนใช้เวลาในนั้นนานที่สุดด้วย (แน่ล่ะ แค่ถ่ายรูปอย่างเดียวก็นานแล้ว)
นอกจากส่วนร้านอาหารแล้ว ที่ Piz Gloria แห่งนี้เองก็ยังเป็นที่ตั้งของ Bond World พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับภาพยนตร์ James Bond ภาค On Her Majesty’s Secret Service ซึ่งภายในจะมีบทภาพยนตร์ของจริง พร้อมด้วยข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์และนักแสดงให้เราได้สัมผัสกันแบบจุใจ รวมถึงยังมีส่วนของ Helicopter Simulator ให้เราได้ลองขับและต่อสู้เหมือนเป็น James Bond 007 จากในภาพยนตร์กันจริง ๆ นอกจากนั้นยังมีโรงภาพยนตร์ให้เราได้ชมวิวทิวทัศน์แบบคมชัดสุด ๆ ด้วย
Mürren
สนุกแบบผจญภัยบนยอดเข้าแล้ว ถึงเวลาย้อนกลับที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แต่น่ารักสุด ๆ อย่าง Mürren กันบ้าง ที่นี่เป็นเมืองเกษตรกรรมริมเขาที่มีประชากรไม่มากนัก แต่ก็มีเสน่ห์โดดเด่นจนต่อมากลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศคอยแวะเวียนกันมาตลอดปี
สิ่งที่ทำให้หมู่บ้าน Mürren โดดเด่นและครองใจเป็นเมืองในฝันใครหลาย ๆ คนคือวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และความน่ารักแบบเป็นกันเองสไตล์ชนบทสวิตเซอร์แลนด์แท้ ๆ ด้วยบ้านแนวกระท่อมไม้ที่เรารู้จักกันในชื่อ Swiss Chalet สร้างจากโครงสร้างไม้ทั้งหลัง เน้นที่ลักษณะหลังคาสามเหลี่ยมใหญ่ ๆ และมักสร้างติดกับพื้นดิน เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิให้อบอุ่น โดยก่อนหน้านี้ บ้านประเภทนี้มักจะถูกใช้เป็นที่เก็บรักษาน้ำนมที่ผลิตได้เพื่อใช้ผลิตเป็นเนยและชีสต่อไป รวมถึงใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าเกษตรกรในบริเวณดังกล่าวด้วย แต่ต่อมาด้วยการเกิดขึ้นของธุรกิจการท่องเที่ยว บ้านสไตล์ดังกล่าวจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นสกีและเดินป่าแทน
ที่หมู่บ้าน Mürren แห่งนี้มีร้านอาหารและโรงแรมสุดอบอุ่นสไตล์โลคอลแท้ ๆ อยู่หลายแห่ง รวมทั้ง Alpenruh Hotel โรงแรมสไตล์โลคอลสวิสแท้ ๆ ที่แม้จะมีขนาดเล็ก ๆ (มีห้องพักเพียง 26 ห้องเท่านั้น) แต่กลับโดดเด่นด้วยวิวสุดอลังการที่สามารถมองเห็นวิวหมู่บ้าน Mürren และเทือกเขา Apls ได้ง่าย ๆ จากระเบียงห้องเท่านั้น
Gimmelwald
ใกล้ ๆ กันยังมีอีกหนึ่งหมู่บ้านเกษตรกรรมเล็ก ๆ ที่น่าสนใจอย่างหมู่บ้าน Gimmelwald ที่ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ ที่นี่ยังมีเหล่าวัวน้อยใหญ่คอยออกมาเดินเล่นในทุ่งหญ้าเขียวขจี และยังคงมีบ้านไม้แบบดั้งเดิมแบบ Swiss Chalet ให้เราได้เห็นตลอดทั่วทั้งบริเวณหมู่บ้าน
โดยความพิเศษของหมู่บ้านนี้ที่ทำใจนักท่องเที่ยวประทับใจสุด ๆ คือความเงียบสงบ และอากาศที่ยังบริสุทธิ์ไร้มลพิษเจือปนจากการที่เขายังคงไว้ซึ่งความเป็นเขตปลอดรถยนต์ (Car Free Zone) ดังนั้น การจะเดินทางสัญจรมายังหมู่บ้านแห่งนี้จึงยังต้องอาศัยการเดินทางด้วยกระเช้าลอยฟ้าเท่านั้น
และด้วยคุณภาพชีวิตดี ๆ ของประชากรในหมู่บ้านตรงนี้เองก็ทำให้วัวในหมู่บ้าน Gimmelwald ก็มีชีวิตดีตามไปด้วย โดยวัวที่นี่สามารถใช้ชีวิตได้ตามอิสระ มีหญ้าเขียว ๆ และธารน้ำบริสุทธิ์จากยอดเขาสูงให้จิบทุกวัน จนทำให้ผลิตภัณฑ์จากน้ำนมวัวที่นี่มีคุณภาพดีสุด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ชีสของหมู่บ้าน Gimmelwald จากวัวที่ผ่านการเลี้ยงดูอย่างดี และยังมีการบ่มอย่างมีคุณภาพ นิยมนำไปรับประทานคู่กับไวน์ องุ่นขาว แชมเปญ หรือนำไปเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารอื่น ๆ
Bern
หลังจากออกเดินทางฝ่าความหนาวทะลุหิมะกันมามากแล้ว เราก็ขอพาทุกคนมาท่องเที่ยวส่วนตัวเมืองกันบ้าง เริ่มที่ Bern เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ ที่คนไทยหลาย ๆ คนรู้จักกันในชื่อเมืองหมีนั่นเอง
ไม่ใช่แค่ชื่อเมืองเท่านั้น แต่ ณ เมืองแห่งนี้ยังมีหมีตัวเป็น ๆ ให้เราได้ชมกันที่ Bärengraben หรือ Bear Pit สถานที่เลี้ยงหมีขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้เข้ามาเยี่ยมชมกัน ภายในมีทั้งบ่อน้ำ ถ้ำ และเนินหิน ที่วันดีคืนดีเหล่าหมีน้อยใหญ่ก็จะออกมาอาบน้ำโชว์ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้รับชมความน่ารักด้วย โดยเดิมที Bärengraben แห่งนี้ถูกสร้างไว้ที่บริเวณอื่นตั้งแต่ปี 1857 และถูกย้ายสถานที่อยู่หลายครั้ง เนื่องจากมีพื้นที่แคบ และไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์ ทำให้เหล่าหมีเกิดภาวะเครียดจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย โดยสถานที่ปัจจุบันที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 2009 มีการออกแบบให้พื้นที่กว้างขวางและเหมาะกับธรรมชาติการอยู่อาศัยของหมีมากขึ้น
นอกจากเราจะสามารถชมความน่ารักของเหล่าหมีน้อยใหญ่ได้แล้ว ส่วนตัวเมือง Bern เองก็มีเอกลักษณ์สวยงามโดดเด่นไม่แพ้ใคร ถึงขนาดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมองค์การยูเนสโก (UNESCO) แห่งเดียวของสวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว โดยทางการได้มีการอนุรักษ์ในส่วนของเมืองเก่าและผังเมืองเดิมไว้ ชาวเมืองห้ามเปลี่ยนแปลงลักษณะอาคารภายนอกโดยพลการ และสามารถดัดแปลงได้แต่ส่วนภายในอาคารเท่านั้น จึงทำให้เมืองโบราณแห่งนี้ยังคงความสวมงามสมบูรณ์ในแบบยุคกลางตั้งแต่สมัย 800 ปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี
ในบริเวณใจกลางเมืองเก่าแห่งนี้เองก็ยังเป็นสถานที่ตั้งของหอนาฬิกา Zytglogge ที่มีความเก่าแก่ร่วม 500 ปี เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นประตูเมืองแห่งแรก ต่อมาจึงถูกดัดแปลงให้กลายเป็นหอนาฬิกาขนาดยักษ์ที่สร้างคร่อมประตูโบราณ พร้อมกับติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์เข้าไปด้วย โดยทางด้านขวาของนาฬิกาจะมีตัวตุ๊กตาหลากหลายแบบ เช่น คน สิงโต หมี ฯลฯ คอยเต้นหมุนตัวไปรอบ ๆ ให้เราได้ชมกันในช่วง 4 นาทีก่อนเริ่มต้นชั่วโมงใหม่
หอนาฬิกาแห่งนี้ไม่ได้มีคุณค่าแค่ในเชิงสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เป็นแรงบันดาลใจกับ Albert Einstein นักฟิสิกส์ชื่อก้องโลก ในการคิดค้นทางวิชาการทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ เนื่องจากใกล้ ๆ กันกับหอนาฬิกาไม่เกิน 200 เมตร จะเป็นที่ตั้งของบ้านของเขาที่เคยใช้พักอาศัยขณะยังใช้อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งบ้านแห่งนี้เองก็เป็นที่ที่เขาสามารถคิดค้นทฤษฎีที่เปลี่ยนโลกวิทยาศาสตร์ไปตลอดกาลอย่าง E=MC2 และทฤษฎีสัมพัทธภาพ โดยปัจจุบัน ที่นี่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ Einsteinhaus ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปชมภายในได้
นอกจากพิพิธภัณฑ์ Einsteinhaus แล้ว เมือง Bern ยังมี Zentrum Paul Klee อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ศิลปินชาวเมือง Bern แห่งศตวรรษที่ 20 ที่โดดเด่นด้วยผลงานแนว Expressionism, Cubism และ Surrealism อย่าง Paul Klee ซึ่งตัวสถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เองก็มีความสวยงามล้ำสมัยจากการออกแบบของ Renzo Piano สถาปนิกคนดังที่ออกแบบ Centre Pompidou และ Whitney Museum นั่นเอง
Biel
ห่างจากเมือง Bern ไปประมาณ 30 กว่ากิโลเมตรก็จะถึงกับเมือง Biel ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของนาฬิกามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยเมืองแห่งนี้ถือเป็นบ้านเกิดของแบรนด์นาฬิกาชื่อดังระดับโลกอย่าง Swatch และ Omega
โดย Swatch Headquarters ก็ถูกตั้งขึ้นที่เมืองแห่งนี้เอง ซึ่งนอกจากมันจะเป็นที่ทำการของแบรนด์นาฬิกาอย่าง Swatch และ Omega แล้ว ความสำคัญของมันอยู่ที่ตัวอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบได้ อย่างสวยงาม ก้าวหน้า ล้ำสมัย เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เนื่องจากมันถูกออกแบบสถาปนิกชาวญี่ปุ่นสายวัสดุเชิงยั่งยืน เจ้ารางวัล Pritzker Prize อย่าง Shigeru Ban ผู้ออกแบบ Cardboard Cathedral, La Seine Musicale และ Centre Pompidou-Metz ที่เราคุ้นตากันเป็นอย่างดี
ซึ่งตัว Swatch Headquarters เองก็ใช้เวลาในการก่อสร้างไปไม่ต่ำกว่า 5 ปี เพิ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อตอนปี 2019 ที่ผ่านมา โดยส่วนโครงสร้างโค้งที่ปรากฏเป็นส่วนใหญ่ของภายนอกอาคารก็ทำมาจากไม้ซุงกว่า 7,000 ชิ้นวางทอดยาวข้ามถนนมาครอบคลุมหลายอาคารภายใน เรียกโดยรวมว่า Cite du temps หรือ City of Time มีทั้ง Swatch Headquarters พิพิธภัณฑ์ของ Swatch และ Omega รวมไปถึง Conference Hall ภายในอีกด้วย
รับชมรายการ Self-Quarantour EP. Swiss Dream, Sweet Escape เต็ม ๆ ได้ที่: