"วัสดุที่ผมใช้ในงานคือประวัติศาสตร์ ไม่ใช่กระดาษ ไม่ใช่กาว ไม่ใช่แคนวาส"
ทัศนัย เศรษฐเสรี ถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งบนหน้าสื่อ ด้วยสไตล์การวิพากษ์การเมืองที่ตรงไปตรงมาและโดนใจผู้คนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับเขาในฐานะทั้งศิลปินและอาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของฉายา “ทัศนัยปราบมาร” ยังเผยให้เห็นอีกหลายมุมมองที่น่าสนใจ โดยเฉพาะวิธีคิดและแนวทางการทำงานศิลปะของเขา ซึ่งอยู่เบื้องหลังผลงานขนาดใหญ่ที่ผู้ชมต้องเงยหน้าขึ้นมอง และเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ดึงดูดให้เราเข้าไปสำรวจใกล้ ๆ
ทัศนัยเติบโตและใช้ชีวิตท่ามกลางเหตุการณ์การเมืองไทยร่วมสมัย ตั้งแต่ยุคที่กองทัพยึดกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ มาจนถึงปัจจุบันที่แม้รูปแบบจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ทหารก็ยังคงมีบทบาทเหนือการเมืองอยู่ไม่น้อย นิทรรศการ “เศษพิษ: ปรสิตแห่งฝันทรยศ” (Toxic Remains: Parasites of a Betrayed Dream) ที่ Gallery VER จึงเป็นพื้นที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองเหล่านี้ ผ่านการจัดวางและตีความบทบาทของนายทหารต่าง ๆ โดยทัศนัยเลือก “ชำแหละ” และ “ประกอบสร้าง” ขึ้นใหม่ ด้วยเทคนิคการปะติดที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
ในบทสนทนาครั้งนี้ ทัศนัยพาเราสำรวจจุดเปลี่ยนสำคัญบนเส้นทางศิลปินของเขา พร้อมทั้งพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง และความพยายามใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการปลุกให้ผู้คนตั้งคำถามต่อเรื่องเล่ากระแสหลักที่ครอบงำสังคมไทยมายาวนาน นอกจากนี้ เขายังอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงเลือกที่จะต่อต้านความ “สวยงาม” แบบที่ศิลปะมักถูกคาดหวังให้เป็น

ศิลปินการเมือง
“ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของคนที่ถูกกระทำจากการผลิตซ้ำเรื่องเล่าประวัติศาสตร์เดิม ๆ มาตั้งแต่เด็กจนโต” ทัศนัยเปิดบทสนทนากับเราด้วยประโยคแนะนำตัวเองที่แสนจะน่าสนใจ
ย้อนกลับไปก่อนการรัฐประหารปี 2557 ผลงานของทัศนัยยังคงมุ่งไปที่ “การเมืองเชิงวัฒนธรรม” ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเพศสภาพ รสนิยม หรือการเมืองที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน ทว่าการรัฐประหารครั้งนั้นได้เปลี่ยนเส้นทางการทำงานของเขาไปโดยสิ้นเชิง ชีวิตที่ถูกจับตามองจากฝ่ายความมั่นคงทำให้ต้องเก็บตัวอยู่ในสตูดิโอ และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการหันมาศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างจริงจังและเข้มข้น
“ชีวิตผมอยู่ในช่วงอันตราย ถูกมอนิเตอร์ ถูกจับจ้อง และถูกควบคุมจากฝ่ายความมั่นคงอย่างเข้มงวด” เขาเล่า “การกลายเป็นคนเก็บตัวกลับเปิดโอกาสให้ผมได้ศึกษาและพยายามทำความเข้าใจการเมืองการปกครองแบบไทย ๆ สิ่งนี้เปลี่ยนทุกอย่างในงานศิลปะของผม ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำงาน ภาษาในการแสดงออก หรือแม้แต่วัสดุที่ใช้ และทำให้ผมหันมาวิพากษ์วิจารณ์ความคิดทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา”
“ชีวิตก็ชีวิต ศิลปะก็ศิลปะ” เขาปฏิเสธที่จะจำกัดตัวเองไว้ในนิยามตายตัว แต่ยอมรับว่าทุกบทบาทที่ทำ ไม่าว่าจะเป็นการสอนหนังสือ การใช้ชีวิต และการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ต่างก็ปะติดปะต่อกอปรรวมกันเป็นตัวเขา “ผมออกไปเคลื่อนไหว ผมสอนหนังสือ ผมจัดแสดงงานในแกลเลอรี แต่ไม่เคยมองว่ามันคือเรื่องเดียวกัน มันก็เหมือนการกินอาหารทุกวัน สารอาหารที่ได้ก่อร่างเป็นตัวผมเอง แต่ผมไม่เคยยึดว่าเป็นประเด็นสำคัญว่า เมื่อผมคือนักเคลื่อนไหว ศิลปะของผมก็ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวด้วย”
แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น เขาก็ย้ำว่าศิลปะการเมืองไม่ได้หมายถึงแค่การหยิบประเด็นทางการเมืองมาใช้สร้างสรรค์เท่านั้น หากคือการ “มีส่วนร่วม” หรือ contribute ด้วยการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงโดยตรง
“มันต้องเอาตัวเองลงไปอยู่ในกระบวนการเคลื่อนไหว ซึ่งผมก็ไม่ได้เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นศิลปะหรอก มันคือการใช้ชีวิต เหมือนกับประชาชนทั่วไปที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหวเหมือนกัน เราไม่ได้หยุดแค่การทำงานทางความคิดอยู่ในสตูดิโอเท่านั้น
“มีศิลปินจำนวนมากที่ดูเหมือนจะทำงานการเมือง แต่ไม่เคยมีส่วนร่วมอะไรเลย ในแกลเลอรีก็พูดถึงการเมืองแบบกว้าง ๆ เช่น ทุนนิยมหรือนักการเมืองเลว”



ต่อระเบิดจากคอลลาจ
กระบวนการสร้างงานศิลปะของทัศนัย คือการนำภาพ ภาษา และสัญลักษณ์หลากหลาย ซึ่งมาจากเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างและขัดแย้งกัน มาซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ (layer) เพื่อก่อให้เกิด “การปะทะกันอย่างรุนแรงของเรื่องเล่า” ที่ผลักให้ผู้ชมต้องพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบในภาพ และโยงต่อไปยังประวัติศาสตร์จริงที่สังคมเคยผ่านพ้นมา
เมื่อเริ่มต้นแบบไม่มีภาพร่าง ไม่มีแบบแผนที่ตายตัว งานแต่ละชิ้นจึงอาจมีภาพซ้อนกันอยู่ 20-30 ชั้น ซึ่งเขาจะค่อย ๆ สร้างมันขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยข้ามผ่านความงามหรือความ "ลงตัว" ตามหลักองค์ประกอบศิลป์แบบที่คุ้นชินกัน
“บางคนมาเยี่ยมสตูดิโอตอนที่งานยังอยู่ในขั้นตอนการสร้าง แล้วบอกว่าแค่นี้ก็พอแล้ว มันสวยแล้ว แต่ยิ่งได้ยินแบบนั้น ผมยิ่งถม ยิ่งทับ ยิ่งทำลายทิ้งไปเลย เพราะสิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ความสวยงาม”
เขาเปรียบเทียบวิธีทำงานของตัวเองกับกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum Mechanics) ที่ว่า ทุกสิ่งจะรับพลังงานเข้าไปจนถึงจุดอิ่มตัว และเมื่อถึงจุดนั้น มันจะระเบิดออก ปลดปล่อยพลังงานอันไม่มีที่สิ้นสุด ในงานศิลปะของเขาเช่นกัน เขาสร้างเลเยอร์ซ้อนทับไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งงานเองส่งสัญญาณว่า “พอแล้ว”
“มันเหมือนกับการต่อวงจรไฟฟ้า พอวางสายไฟเส้นสุดท้ายลงไปจนวงจรสมบูรณ์ กระแสพลังงานก็จะไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง นั่นแหละคือจุดระเบิดของพลังงานตรงนั้น”
แล้วพอถึงเวลานั้น ภาพที่เคยถูกทับถมอยู่ด้านหลังอาจทะลักออกมาด้านหน้า สิ่งที่เคยกระจัดกระจายจะเชื่อมโยงถึงกัน และให้กำเนิด “เรื่องเล่าที่ยังไม่ถูกเล่า หรือเรื่องเล่าที่เราพูดถึงไม่ได้” เช่นประวัติศาสตร์ดำมืดของการเมืองไทย เหมือนในงานที่เรากำลังประจันหน้า ในห้องจัดแสดงของ Gellery VER แห่งนี้

ปรสิต สิ่งตกค้าง ประวัติศาสตร์ใหญ่ ๆ และประวัติศาสตร์เล็ก ๆ
“ปรสิต” (Parasite) และ “สิ่งตกค้าง” (Remains) เป็นสองแนวคิดสำคัญของเขาในนิทรรศการนี้ โดย “ปรสิต” เปรียบเสมือนเครือข่ายความสัมพันธ์เชิงอำนาจของชนชั้นนำและชนชั้นปกครองไทย ที่คอยกัดกินและดูดกลืนเลือดเนื้อของสังคม ทำให้สังคมไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ “มันเหมือนกับเรามีพยาธิอยู่ในท้อง กินอาหารไปเท่าไหร่ก็ยังผอม”
ปรสิตเหล่านี้ทำงานต่อเนื่องมาตลอดประวัติศาสตร์ และยังคงดำรงอยู่ในปัจจุบัน กลายเป็น “สิ่งตกค้าง” หรือ “เศษพิษ” ที่รอวันชำระสะสาง ในผลงานชิ้นหนึ่งของนิทรรศการ ภาพนายกรัฐมนตรี 14 คนที่มาจากกองทัพ ถูกทำให้เลือนรางไร้ตัวตน แต่ร่องรอยอิทธิพลของพวกเขายังคงปรากฏอยู่ คอยหลอกหลอนผู้ชมอย่างเงียบ ๆ
ภายในนิทรรศการยังมีการจัดฉายภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “พลิกผืนดิน: การต่อสู้ของชาวนาในภาคเหนือ พ ศ 2517-2519” ของ ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ ซึ่งเขามองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างบทสนทนากับงานของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เล่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ของสามัญชนและชาวไร่ชาวนา ผู้ลุกขึ้นท้าทายอำนาจรัฐและโครงสร้างศักดินา แต่สุดท้ายชีวิตของพวกเขากลับพังทลาย ความฝันถูกทรยศ และเรื่องราวของพวกเขาก็ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์กระแสหลัก
ทัศนัยเล่าว่าพวกเขากำลังทำงานอีกโปรเจกต์ร่วมกัน เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ของสามัญชนที่อาจเคยถูกละเลยในเรื่องราวกระแสหลัก ซึ่งเขามองว่านี่เป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้ ตัวอย่างผลงานสามารถติดตามได้ผ่านช่อง Deurr Factory Channel ของพวกเขา
การนำเสนอเรื่องราวของสามัญชนผู้ถูกลืมเหล่านี้ คือการตอกย้ำแนวคิดของนิทรรศการที่ว่า ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยเศษซากของความฝันที่แตกสลาย และมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องจ่ายราคาอย่างแสนสาหัสในการต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่า


มากกว่าข้อมูลคือคำถาม
ท้ายที่สุดแล้ว ศิลปะของทัศนัย เศรษฐเสรี ไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์หรือมอบคำตอบสำเร็จรูปใด ๆ แต่คือการสร้างสภาวะแวดล้อมที่รบกวนความคิดของผู้คน สร้างแรงปะทะทางอารมณ์ และเชื้อเชิญให้ผู้ชมเข้าไปขุดค้นชั้นต่าง ๆ ของความหมายที่ซ้อนทับกันอยู่ด้วยตนเอง เพื่อนำไปสู่การตั้งคำถามใหม่ ๆ ต่อสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่
“ผมคิดว่าแค่นั้นน่ะ สำคัญมากแล้ว” เขาทิ้งท้าย “ผมเชื่อว่าการเปิดโอกาสให้ผู้ชมตั้งคำถาม ให้มองสังคมที่เขาอาศัยอยู่ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป — ไม่ใช่การให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่าใครเป็นใครหรือใครทำอะไร — แต่มันกระตุ้นให้เกิดคำถามใหม่ ถึงแม้ยังไม่ได้คำตอบในใจเลยก็ตาม ผมเชื่อว่าสิ่งนี้สำคัญมากกว่าการมาหาคำตอบว่าเราเล่าเรื่องอะไร หรือบทสรุปของเรื่องที่เราทำคืออะไรเสียอีก”


