สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นระหว่างการหลับใหล — อาจเป็นความทรงจำที่หวนคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไร้กรอบเกณฑ์ หรือความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย แต่ทิ้งร่องรอยไว้ให้คิดถึงเพียงเท่านั้น การนอนหลับเป็นกิจวัตรที่มนุษย์ (รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย) จำเป็นต้องมีเพื่อการดำรงชีวิต และเป็นกิจกรรมที่ส่งเราเดินทางสู่โลกอีกใบ ความรู้อีกชุด และชีวิตอีกแบบ โดยเฉพาะการดำดิ่งสู่โลกของ ‘อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล’ ผ่านการหลับใหล
‘ผู้กำกับ’ ‘นักสร้างภาพยนตร์’ ‘ศิลปิน’ และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ (ซึ่งล่าสุดได้กลับมาเป็นครั้งที่ 7 หลังห่างหายไปกว่าทศวรรษเมื่อปลายเดือนมกราคม 2025 ที่ผ่านมา) คือบทบาทส่วนหนึ่งของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เจ้าของผลงาน ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ ภาพยนตร์รางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และศิลปินผู้สร้างสรรค์งานทดลองอีกมากมายที่เล่นกับการรับรู้ เวลา และประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ ซึ่งมักถูกกระตุ้นด้วยการ หลับ ไม่ว่าจะโดยตัวละครในภาพยนตร์ของเขา หรือโดยผู้ชมที่เอนกายลงบนที่นอนภายในโรงภาพยนตร์ที่เชื้อเชิญให้เข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับไหลของเขา


ระหว่าง BEFF7 เขาสละเวลามาพูดคุยกับเราเกี่ยวกับแนวคิดที่แฝงอยู่ในผลงานของเขา ตั้งแต่ความหมายของการนอนหลับ ความแตกต่างระหว่างการเพ่งและสมาธิ การปลดปล่อยตัวเองจากกรอบของเวลา แนวคิดของนักปรัชญา กฤษณมูรติ และมุมมองต่อคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยปัจจุบัน รวมไปถึงเหตุผลที่เขาไม่ได้มองว่าผลงานของตนเป็นหนังไทยขนาดนั้น

การหลับกับการทำสมาธิ
ศักดา แก้วบัวดี หลับใหลอยู่บนหน้าจอในครึ่งแรกของการแสดง ‘บทสนทนากับดวงอาทิตย์ (VR)’, ทิลดา สวินตัน เองก็แทบจะหลับตลอดการแสดงเปิดงาน BEFF7 ‘ภาพสุดท้ายคล้ายหนัง’ ‘การนอนหลับ’ ดูจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในผลงานของอภิชาติพงศ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงหลังมานี้ แต่ความหลงใหลของเขาต่อการหลับใหล อาจย้อนกลับไปถึงช่วงที่เขาสร้างภาพยนตร์แจ้งเกิดอย่าง "ลุงบุญมีระลึกชาติ"
“พอมาคิดดูแล้ว ความสนใจของเราในเรื่องความเงียบและความนิ่งของมนุษย์ อาจเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ทำงานที่นาบัวราวปี 2008 ตอนถ่าย หมู่บ้านเสียงปืนแตก เราทำงานกับกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นรุ่นต่อจาก กลุ่มคอมมิวนิสต์ชาวนา ใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขา ถ่ายหนัง ทำกิจกรรม ถ่ายมิวสิกวิดีโอ และถึงขั้นสร้างยานอวกาศไม้ขึ้นมาหนึ่งลำ ตอนกลางคืน วัยรุ่นบางคนก็มานอน เราเซ็ตฉากให้เหมือนเป็นหนัง แต่สุดท้ายพวกเขาก็นอนจริง เราก็จับภาพเหล่านั้นไว้ แล้วจินตนาการต่อว่า...พวกเขาฝันถึงอะไร” เขาเล่า
“ไอเดียนี้ยังส่งต่อไปถึง ลุงบุญมีระลึกชาติ ด้วย เพราะมันเป็นโปรเจกต์เดียวกัน—เป็นเรื่องของการระลึกชาติ การฝัน และสิ่งที่หลุดออกจากร่างหรือพ้นจากปัจจุบัน ซึ่งสามารถตีความได้ทั้งในเชิงการเมืองและเรื่องส่วนตัว พอมองย้อนกลับไปถึงหนังเรื่องก่อน ๆ อย่าง สัตว์ประหลาด! หรือเรื่องอื่น ๆ ก็จะเห็นว่ามีฉากนอนอยู่เสมอ หรือจริง ๆ แล้ว ตัวหนังเองก็ดูเหมือนความฝันอยู่แล้ว ในแง่ของโครงสร้าง อย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงของเวลาในเรื่อง”
หากใครคุ้นเคยกับแนวคิดของอภิชาติพงศ์ ก็คงพอเห็นได้ว่าโลกของภาพยนตร์และการหลับใหลนั้นเกี่ยวพันกับแนวคิดเรื่องสมาธิและการรับรู้โลกรอบตัวอย่างน่าประหลาด เราขอให้เขาอธิบายคำว่า ‘concentration’ และ ‘attention’ ซึ่งเราได้ยินเขาเอ่ยถึงระหว่างเวิร์กช็อป "ทำไม (ไม่) ถึงภาพยนตร์?" หนึ่งในกิจกรรมของ BEFF7
“เรามองว่าการเพ่ง (concentration) คล้ายกับเวลาสร้างงานหรือเสพงาน เช่น เวลาดูหนังหรืออ่านหนังสือ เราจะโฟกัสจนตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ถ้าเป็นการตั้งสติ (attention) มันคือการเปิดรับโลก ปล่อยให้ตัวเราหายไป และยอมให้ทุกสิ่งซึมซับเข้ามาหาเรา เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของโลก” เขาอธิบาย
“เราเลยตั้งคำถามว่า บทบาทของภาพยนตร์คืออะไร และทำไมเราถึงต้องทำหนัง ซึ่งเรากลับหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ จนคิดว่าถ้าเราตั้งสติกับโลกจริง ๆ เราอาจไม่ต้องการสร้างหรือเสพหนังอีกต่อไป”



เวลากับความทรงจำ การปลดปล่อยกับปฏิกิริยา
“มีนักคิดหรือนักปรัชญาชาวอินเดียคนหนึ่งคือกฤษณมูรติ (Jiddu Krishnamurti) พี่หลงใหลเขามาก แนวคิดเรื่อง attention หรือ concentration ก็มาจากเขา” อภิชาติพงศ์เล่า
หลายคนอาจตีความจากภาพยนตร์ของเขาว่าต้องมีที่มาจากปรัชญาแบบไทย ๆ แน่ ๆ หรือหากดูแง่การสื่อสารผ่านกลไกภาพยนตร์บางคนอาจบอกว่าเขาสืบทอดความคิดสร้างสรรค์มาจากสายทดลองแบบอเมริกัน แต่เสี้ยวความคิดหนึ่งที่เรานั่งคุยกับเขาตอนนี้ มาจากนักปรัชญาเชื้อสายอินเดีย
“เขาถามว่า เป็นไปได้ไหมที่จะอยู่โดยไม่มีเวลา เขามองว่ามนุษย์ใช้ชีวิตอยู่กับเวลา และเมื่อมีเวลา ก็ย่อมมีความทรงจำ แต่เขาแบ่งความทรงจำออกเป็นสองประเภท—ความทรงจำในเชิงปฏิบัติ เช่น เส้นทางกลับบ้าน หรือข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนฝูง และอีกประเภทคือความทรงจำที่เขามองว่า ไม่มีประโยชน์ เช่น ความเศร้า หรือความต้องการที่ผูกติดอยู่กับอดีตและอนาคต ซึ่งถ้าเราตัดเวลาส่วนนี้ออกได้ เราจะสามารถอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่มีเงื่อนไขของเวลา
“เวลาเชื่อมโยงกับภาพ เรามีภาพของแก้วน้ำ ภาพของต้นไม้ ภาพของแฟน หรือภาพของใครต่อใคร และเมื่อเรามองสิ่งเหล่านั้น ความทรงจำจะทำงาน—เช่น ฉันดีกับเธอเพราะเธอเคยดีกับฉันในอดีต แต่ถ้าหากเรามองคนที่เรารู้จักโดยไม่มีเวลา ไม่มีความทรงจำ จะเป็นอย่างไร? เป็นไปได้ไหมที่เราจะมองเขาโดยไม่มีชื่อ ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีสี เป็นเพียง ฟอร์ม อย่างเดียว? ถ้าทำได้ การแบ่งแยกก็จะหายไป และเมื่อไม่มีการแบ่งแยก ก็จะไม่มีทุกข์ที่เกิดจากความคาดหวัง
แนวคิดนี้ชวนให้เราฉุกคิด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงโลกที่เต็มไปด้วย ภาพ จากอดีต—ทั้งความขัดแย้ง ความรุนแรง หรืออุดมคติที่หล่อหลอมขึ้นมา เราถามเขาต่อว่า แนวคิดนี้สามารถใช้ทำความเข้าใจสังคมในระดับที่ใหญ่ขึ้นได้หรือไม่?
“พี่ว่ายังเข้าใจตัวเองได้ยากเลย อย่าหวังว่าเราจะเข้าใจคนอื่นหรือคาดหวังได้” เขาตอบ “ถ้าเป็นเรื่องเผด็จการหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ก่อนพี่ค่อนข้างโกรธและหมกมุ่นกับคำถามว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือแม้แต่เคยไปเข้าร่วมการประท้วง แต่ตอนนี้พี่รู้สึกว่าตัวเองก็เต็มไปด้วยความรุนแรงอยู่แล้ว เช่น ความโกรธ—แล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไร?
“การประท้วงเป็น ปฏิกิริยา (reaction) ไม่ใช่ ปฏิบัติการ (action) มันเป็นผลจากสิ่งที่ถูกกระทำ และนำไปสู่การกระทำต่อ ๆ ไปโดยผู้ประท้วง ซึ่งในอนาคต อาจกลายเป็นผู้นำและสร้างกฎของตัวเองขึ้นมาเพื่อควบคุมอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ดี พี่เลยมองในระยะยาวว่า เราเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ บนเส้นเวลา ถ้าพูดถึงเวลาในความหมายที่แท้จริง
“มันเลยต้องอดทน ในแง่การมองว่ามันเป็นช่วงที่ยาวนานมาก มนุษยชาติเคลื่อนไปด้วยกัน ลอยไปพร้อม ๆ กัน โดยที่ทุกคนส่งผลต่อกันและกัน เผด็จการก็มีข้อแม้ มีเหตุผลของตัวเองนับไม่ถ้วนที่มารวมเป็นเผด็จการคนนี้ ตัวเราเองก็มีข้อแม้ที่มารวมเป็นเรา พี่เลยพยายามมามองแบบนี้ว่า คนรอบข้างเราโอเคไหมประมาณนี้”
ใครที่ได้เห็น ‘ดวงไฟ’ ที่ลอยไปด้วยกันในผลงาน VR ของเขาคงเข้าใจดีว่าประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของพวกเรากับกันและกันภายในช่วงเวลา ให้ความรู้สึกอย่างไร


ยุคสมัยแห่งการทดลอง?
ตลอดสัปดาห์แห่งหนังทดลอง เราเห็นอภิชาติพงศ์เดินเข้าออกห้องต่าง ๆ ไปดูหนังบ้าง ดูการแสดงบ้าง จนพาให้สงสัยว่าเขาสังเกตเห็นอะไรบ้างในโลกศิลปะทุกวันนี้จากการสังเกตการณ์ของเขา แต่คำตอบที่ได้ทำให้เรายิ่งแปลกใจ
“เราไม่ดูหนังมาหลายปีแล้ว ไม่ฟังเพลงด้วย เพราะฉะนั้นมันเลยมีค่ามากเวลาได้ดู แล้วที่สำคัญคือเทศกาลอย่างนี้มันคือการได้ดูด้วยกันนี่แหละ แต่เราพยายามจะไม่บอกว่าฉันชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่ว่ามองเหมือนเราไปเจอคนอีกคนหนึ่ง แล้วเขาเป็นคนอย่างนี้
"เด็กรุ่นใหม่จริง ๆ ก็คล้าย ๆ รุ่นเราในแง่ที่พยายามสะท้อนความแตกต่างทางสังคม มันเห็นได้ชัดอยู่แล้ว—เรื่องความเหลื่อมล้ำ ความจน ความรวย มีน้องคนหนึ่งไปถ่ายแฟลตแห่งหนึ่ง โดยใช้มุมมองจากตึก One Bangkok แล้วภาพที่ได้ออกมาก็แทบจะเป็น ‘โลกคนละใบ’ แต่สุดท้ายแล้ว มันก็คือการมองจากจริยธรรมในระดับหนึ่ง เป็นการมองของเขาเอง สิ่งที่ทำได้ก็คือการมาแชร์กัน ว่าเรามองแบบนี้นะ—เพราะสังคมมันซับซ้อนเกินกว่าที่จะขีดเส้นว่า นี่คือความจน นี่คือความรวย แต่มุมมองของคุณก็คือมุมมองของคุณ
แต่จะปฏิเสธอย่างไรก็คงไม่ได้ ว่าอิทธิพลของเขาได้ฝังรากลึกลงในใจคนทำหนังไทย (และคนทำหนังทั่วโลก) เรียบร้อยแล้ว และทำให้หลายคนพัฒนาผลงานต่อจากแนวทางของเขา หรือมองโลกในแบบที่คล้ายกับเขา จนทำให้หลายคนมองว่าไวยากรณ์หนังของอภิชาติพงศ์ ก็เป็นเหมือนไวยากรณ์ของภาพยนตร์และศิลปะไทย แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขา(ทำให้เรา)แปลกใจ
"แง่หนึ่งเราก็ภูมิใจและดีใจนะ เพราะเราเป็นคนชอบอยู่คนเดียว โลกส่วนตัวสูงมาก ๆ แล้วก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนอะไรใครด้วย แต่ว่า—ขอคุยนิดหนึ่งนะ (หัวเราะ)—ที่ชิคาโก (School of the Art Institute of Chicago) ตอนเรียน เราเป็นพวก ฮาร์ดคอร์ มากเลยนะ หนังเป็นเฟรม ๆ ดูไม่ทัน (หัวเราะ) เราทำหนังที่ตั้งคำถามกับปรัชญาภาพยนตร์แบบสุดโต่ง พอเรากลับมาเมืองไทย เรากลับรู้สึกว่าหนังแนวนั้นมันไม่ใช่ชีวิตเรา ไม่ใช่ความทรงจำของเราเลย เราเลยเริ่มทำหนังที่มีเรื่องราวมากขึ้น และพูดถึงประเพณีการเล่าเรื่องของไทย เช่น ละครวิทยุ ที่เราโตมา แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็น ‘ไทย’ เพราะมันก็แค่เรื่องของครอบครัวเราในขอนแก่น มันเฉพาะตัวมาก ๆ
"พอเรากลับไปที่โรงเรียนที่ชิคาโก เขาก็บอกว่า เธอรู้ไหม อภิชาติพงศ์? เธอเปลี่ยนโรงเรียนนี้ไปเลยนะ เด็ก ๆ ที่มาสมัครเรียนส่วนใหญ่ก็บอกว่ามาเพราะอภิชาติพงศ์ เราก็รู้สึก—โห ขนาดนั้นเลยเหรอ? ขอโทษนะ เราไม่ได้ต้องการเปลี่ยนอะไรแบบนั้นเลย เพราะเราชอบหนังทดลองที่ฮาร์ดคอร์อยู่แล้ว (หัวเราะ) คือมันก็ภูมิใจ แต่ขณะเดียวกัน เราก็ไม่อยากให้คนมาติดอยู่กับรูปแบบของเรา"
"เราว่า เราเต็มไปด้วยอิทธิพลแบบอเมริกัน ได้อิทธิพลจากคนทำหนังรุ่นเก่า ๆ ที่เราชอบ แล้วแต่ว่าแต่ละคนเติบโตมาแบบไหน แต่สิ่งที่ยากในสมัยนี้คือมันมี ‘เสียงดัง’ เยอะมากจากทุกที่ ทั้ง Netflix, YouTube, ฯลฯ แล้วเสียงของฉันคืออะไร? มันถูกกลบไปหมด
"เราเลยชอบพูดถึงสมาธิ เพราะมันทำให้เราสามารถเข้าถึงจังหวะ หรือความเคลื่อนไหวของอารมณ์เราได้ แล้วคำถามคือ เราจะถ่ายทอดสิ่งนี้ออกมาเป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งได้อย่างไร เช่น ในวันหนึ่งที่เราถ่ายหนัง เรารู้สึกอย่างหนึ่ง แต่พอวันถัดมา เรากลายเป็นอีกคนไปแล้ว—แต่หนังจะบริสุทธิ์ได้ขนาดไหนจนกลายเป็นตัวแทนของเราได้? ด้วยความเร็วของหนัง การตัดต่อ การถ่ายภาพ—เราจะทำอย่างไรให้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของตัวเราเอง ไม่ใช่แค่ทำเพราะว่ามันดูเท่ มันดูอาร์ต หรือมันดูทดลอง?"
"คำพวกนั้น—อาร์ต, ทดลอง—มันก็เป็นแค่คำเฉย ๆ อย่าไปติดอยู่กับมัน" เขาทิ้งท้าย
