“สิทธิเหนือภาพกายตนเอง” บทสนทนาแด่ผู้ที่แปลกแยกและโดดเดี่ยวของ หฤษฎ์ ศรีขาว ศิลปินภาพถ่ายผู้หันมองความเจ็บปวดในอดีตผ่านภาพเคลื่อนไหว

Post on 23 October

หฤษฎ์ ศรีขาว ศิลปินและช่างภาพ มองภาพถ่ายของตัวเองในอดีตแล้วรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวเขาเอง เพราะภาพเหล่านั้น ถูกนำไปแพร่กระจายอยู่ในโลกใบอื่น ที่เขาไม่มีสิทธิกำหนดความหมายใด ๆ

ภาพในพื้นที่ส่วนตัวของเขากำลังมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง อัดแน่นไปด้วยอารมณ์รุนแรง หฤษฎ์เปิด ‘ผลงานของเขา’ สำหรับ IMAGO นิทรรศการล่าสุดของเขากับ BANGKOK CITYCITY GALLERY ให้เราดูเงียบ ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป และกลายเป็นเราเองที่รู้สึกผิดอย่างประหลาด ในการจ้องมองภาพกิจกรรมในบ้านเหล่านั้น

ก่อนจะกลายมาเป็นภาพผลงานของเขา หฤษฎ์เรียกตัวเขาในภาพของตัวเองในอดีตขณะนั้นว่า ‘เด็กคนนั้น’ มาตลอด “การปะทะกันของผมกับภาพของผมในวัยเด็ก ที่มีกิจกรรมทางเพศ แล้วก็เหมือนมีความสุขกับมันอยู่ ตรงนั้นมันก็อิมแพครุนแรงมาก ๆ ไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนนี้คือใคร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราอยู่ตรงนั้น มันรู้สึกแปลกแยกมาก ๆ” เขาเล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ที่ได้มองภาพที่ถูกเผยแพร่โดยปราศจากความเห็นชอบของเขาเหล่านั้นตรง ๆ

ในนิทรรศการนี้ หฤษฎ์เผชิญหน้ากับภาพเหล่านั้นด้วยกระบวนการสร้างสรรค์ที่ได้มาจากการทำศิลปะบำบัด การตัดกระดาษที่ทำให้เขาเข้าใจอารมณ์โกรธ การวาดที่ทำให้เขาเข้าใจร่างกายของตัวเองในอีกความหมายหนึ่ง และในขณะเดียวกัน กระบวนการบำบัดและประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาเจอ ก็เปลี่ยนแปลงความคิดของเขาเกี่ยวกับการเติบโตและการถ่ายภาพไปด้วยเหมือนกัน

ในบทสัมภาษณ์นี้ เขาเล่าถึงความรู้สึกในช่วงขณะที่สิทธิเหนือภาพของตัวเขาเองหลุดลอยไป, กระบวนการที่ทำให้เขาได้ยินเสียง “ตัวเอง” อีกเวอร์ชันจากภาพถ่าย, ภาพถ่ายและการเติบโตที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง และการสร้าง ‘บ้าน’ ให้กับภาพถ่ายของเขา

นิทรรศการ Imago โดย หฤษฎ์ ศรีขาว จัดแสดงที่ BANGKOK CITYCITY GALLERY ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2567

“อยากให้ใครมาอยู่ข้าง ๆ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอาย”

“ผมรู้สึกสนุกอยู่แล้วที่ได้ถ่ายภาพ” หฤษฎ์เริ่มต้นคลี่คลายจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันหนักหน่วงของเขา ด้วยน้ำเสียงที่ตอบได้ยากว่ายังมีความกังวลในนั้นอยู่ไหม

“มันเหมือนความเป็นเด็ก แต่ถ้าจะใช้คำนี้ก็ไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนได้ทำแบบ แนน โกลดิง (Nan Goldin ช่างภาพหญิงผู้บันทึกวิถีชีวิตนอกกรอบเพศและสังคมแบบเก่า) เหมือนกับเห็นภาพลักษณะแบบนี้จากศิลปินที่เราชื่นชอบ รู้สึกว่าได้พูดอะไรบางอย่างที่เป็นความลับ ที่ตอนนั้นเราอาจจะพูดกับเพื่อนหรือกับคนอื่นไม่ได้ แต่แล้วมันก็ตีกลับมา”

ผลงานศิลปะจำนวนมากของเขาเป็นภาพของเพื่อนผู้ใกล้ชิด ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความคุ้นเคย ส่วนผลงานอีกครึ่งมีลักษณะนำเสนอคอนเซ็ปต์ที่เข้มข้นทางเนื้อหาความคิด แต่สำหรับงานนี้ เขาเลือกจะเปิดเผยภาพของตัวเขาเอง ในที่ช่วงขณะที่ดูแสนลึกซึ้งส่วนตัวถูกนำไปไปเผยแพร่ และทำให้เขาพบประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจถึงความแปลกแยกจาก ‘สิทธิเหนือภาพลักษณ์ตัวเอง’

“เรารู้สึกโดดเดี่ยว อยากให้ใครหลายคนมาอยู่ข้าง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยากจะให้เขามาอยู่ข้าง ๆ เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันเป็นเรื่องน่าอาย” หฤษฎ์เล่าความรู้สึกขณะนั้น

“พอผ่านไป เราก็คิดว่าเราหลุดพ้นจากตรงนั้นได้แล้ว แต่จริง ๆ เรายังอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่ง ในทางร่างกายหรือทางสมองมันเหมือนกับว่ารอดแล้ว แต่เหมือนว่าเราติดอยู่ในกับดักของวิธีการที่เราใช้เพื่อเอาตัวรอด แล้วก็มาสู่พฤติกรรมที่เหมือนกับทำร้ายตัวเอง

“จริง ๆ พวกฟุตเทจที่อยู่ในวิดีโอนี้มันเคยถูกฉายมาแล้วในเทศกาลที่ต่างประเทศ แล้วผมบังเอิญอยู่ในเมืองนั้นพอดี เลยได้ไปดูพอดี การปะทะกันของผมกับภาพของผมในวัยเด็ก ที่มีกิจกรรมทางเพศ แล้วก็เหมือนมีความสุขกับมันอยู่ ตรงนั้นมันก็อิมแพครุนแรงมาก ๆ ไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนนี้คือใคร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราอยู่ตรงนั้น มันรู้สึกแปลกแยกมาก ๆ”

คุยกับตัวเองผ่านกระบวนการศิลปะ

ในนิทรรศการนี้ ผู้ชมจะเดินทางเข้าไปสู่ความมืดใน ‘แฟ้มเก็บภาพ’ ส่วนตัวของหฤษฎ์ ซึ่งมีเรื่องราวจากกระบวนการบำบัดอยู่ที่ใจกลางผลงานแทบจะทั้งหมด

“จริง ๆ ผมเพิ่งใช้คำว่า ‘ภาพของผมตอนนั้น’ เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง เท่าที่สังเกตุตัวเองเวลาที่ผ่านมาผมจะใช้คำว่าเด็กคนนั้นตลอด” หฤษฎ์กล่าวขึ้นมาช่วงหนึ่งระหว่างคุยกับเรา “มันมีโมเมนต์ที่ตื่นมาแล้วจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรมา ตื่นมาแล้วสภาพไม่โอเค ก็เลยตัดสินใจไปหานักศิลปะบำบัด แล้วถึงสามารถกลับเข้าไปมองก้อนภาพถ่ายนั้นอีกรอบได้ แล้วก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

“ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับนักบำบัด คือพี่ออม (ณัชนาถ กระแสร์ชล) มันไม่ได้เป็นทางการในแบบผู้บำบัดกับนักบำบัดขนาดนั้น เพราะเรารู้จักกัน ผมจะเรียกเขาเหมือนเป็น ‘พี่ติว’ แบบเวลาเราเข้ามหาลัย เขาก็จะสอนวิธีการใช้เครื่องมือทำศิลปะบำบัด แล้วเราก็ฝึกฝนเองด้วย ฝึกฝนกับเขาด้วย มีวิธีการที่เรียกว่า Somantic Therapy คือเข้าไปเห็นร่างกายตัวเองข้างในว่าเป็นอย่างไร แล้วก็อาจจะวาดรูปตัวใหญ่เท่าคนเลย แล้วก็เข้าไปขยายความรู้สึกในส่วนต่าง ๆ ดูผ่านการวาดรูปหรือแต่งเรื่องให้กับมัน

“ศิลปะบำบัดมันไม่ได้คุยกับคนอื่นเลย มันคุยกับตัวเอง แล้วมันก็น่าจะเป็นเรามากกว่าด้วยที่พยายามช่วยตัวเอง เราพบว่าเรามีหลายคนในตัวเองมากเลย มีเวอร์ชันเด็ก คนแก่ ผู้ใหญ่ เวอร์ชันอนาคต มันอาจจะเป็นภาพจินตนาการแหละ แต่ว่าน่าสนใจที่คนอื่นหลาย ๆ คนเขาก็มีจินตนาการแบบนี้คล้าย ๆ กันเลย เช่นในนิทรรศการจะมีภาพผมตอนอายุ 18 ปีภาพหนึ่ง ซึ่งถูกถ่ายโดยคนอื่น ซึ่งตอนที่ผมกลับไปดูภาพนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของผมตอนอายุเท่านั้น พูดออกมาจริง ๆ แล้วผมได้ยินเสียงจริง เหมือนกับถามว่า ‘ไปอยู่ที่ไหนมา’ มันก็สะเทือนใจผมมาก แล้วมันน่าสนใจมากที่หลาย ๆ คนก็มีมโนภาพว่าตัวเองตอนนี้กลับไปช่วยตัวเองตอนเด็กหรือตัวเองในอนาคตเหมือนกัน”

เติบโต (เปลี่ยน) ผ่านภาพถ่าย

ในอีกแง่หนึ่ง ‘การเติบโต’ ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ก็เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้จากนิทรรศการนี้ ส่วนหนึ่งจากบทความนิทรรศการเขียนว่า ‘นิทรรศการครั้งนี้แสดงให้เห็นพัฒนาการในการทำงานภาพของศิลปินที่เปรียบดั่งการเปลี่ยนผ่านจากระยะตัวหนอนไปสู่ระยะโตเต็มวัย หฤษฎ์พิจารณากระบวนการเติบโตในฐานะการยอมรับที่ไม่ใช่การสยบยอมต่ออายุขัย หากคือการประกอบสร้างความทรงจำ เป็นดั่งการต่อรองเพื่อทวงคืนสิทธิเหนือภาพลักษณ์ของตนเอง’

“ตอนเราเป็นเด็กเราอาจจะอาจจะอยากโต ความเป็นผู้ใหญ่มันดูตัดขาดจากความเป็นเด็ก แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันเชื่อมต่อกัน” หฤษฎ์อธิบาย

“ผมมองการเติบโตไม่ได้เป็นเส้นตรง ไม่ได้เป็นตึกที่ต้องสูงขึ้น แต่เป็นการเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และการเปลี่ยนแปลงมันน่าจะมีลักษณะแตกกระจายหรือเป็นวัฏจักรอะไรบางอย่าง

“การถ่ายภาพมันอาจจะทำงานแบบนั้นด้วย ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราย้อนกลับไปทำความเข้าใจสิ่งที่ผ่านมาได้ เหมือนเราเห็นสิ่งต่าง ๆ มันผ่านไปเร็วมากเลย แต่เราถ่ายมันไว้ก่อน ถึงตอนนั้นอาจจะยังไม่เข้าใจอะไรมัน แต่พอเราย้อนกลับไปดูมันเพื่อทำความเข้าใจ เราอาจจะค่อย ๆ เริ่มเข้าใจมันได้

“เรื่องวัยเด็ก เรื่องอนาคต เรื่องการเมือง หรือเรื่องส่วนตัว ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันประมาณหนึ่ง ในช่วงที่ผมรู้สึกซึมเศร้ามาก ๆ ความรู้สึกแรกเลยมันคือการตัดจากคนอื่นก่อน การมีอยู่ของเรามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นไปของโลกนี้ ถ้าพรุ่งนี้ตายมันก็อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“แต่ในขณะเดียวกันพอเรารู้สึกต่อติดกับตัวเองก่อน มันก็เชื่อมต่อไปกับคนอื่นด้วย เรารู้สึกกับคน ที่แม้เราอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเขาก็ได้ แต่เรารู้สึกถึงสายสัมพันธ์บางอย่าง แล้วก็อาจจะไปเชื่อมต่อกับธรรมชาติหรืออะไรบางอย่างซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยนึกถึง แล้วพอมีความรู้สึกแบบนี้เติบโตขึ้นมาในร่างกาย ก็เลยรู้สึกว่าการเมืองที่เป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ กับเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมันมาจากรากเดียวกันเลย”

“เมื่อก่อนผมคิดว่าการถ่ายรูปคือการดึงเวลาออกมาเป็นแผ่นแล้วก็เก็บมันไว้ แล้วตัวมันเองก็ไม่ได้เชื่อมต่อกับเส้นเวลาอื่น ๆ แต่ช่วงนี้มองการถ่ายรูปเป็นการถ่ายพื้นผิวของเวลามากกว่า คือเราไม่สามารถถ่ายอะไรบางอย่างได้ โดยไม่เอาอดีตหรือเอาอนาคตของมันมาด้วย

“เรามักจะไม่แน่ใจว่า เหตุการณ์ในอดีตมันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่มันอาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่า มันส่งผลต่อปัจจุบันอย่างไร รวมไปถึงฝันหรือเรื่องแต่งต่าง ๆ ที่ก็มีผลกับปัจจุบันด้วย

“ผมเชื่อว่าศิลปินหรือนักเล่าเรื่อง จริง ๆ มันมีเรื่องไม่กี่เรื่องให้พูด อาจจะเรื่องเดียวด้วยซ้ำในชีวิต แล้วเรื่องในวัยเด็กหรือช่วงการเติบโต มันจะมีพื้นที่ว่าง คือการลืมหรือการฝันบางอย่างในช่วงนั้น ที่เป็นเมล็ดของอะไรหลาย ๆ อย่างได้

“มันมีพื้นที่บางอย่าง ที่เราอาจจะไปไม่ได้ ถ้าเราปฏิเสธวัยเด็ก หรือความอ่อนแอหรือบาดแผลทางจิตใจบางอย่าง”

ทฤษฎีผีเสื้อ

“จุดประสงหลักในการทำงานชิ้นนี้ คือการสร้างบ้านหรือสร้างที่อยู่อาศัยให้กับ ‘เด็กในภาพนั้น’ เพราะผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนเด็กในภาพนั้นเขาอยู่อาศัยในที่ที่ไม่ได้ให้เกียรติเขา ทำร้ายเขา ผมต้องการสร้างงานที่ดีและบ้านที่ดีเพื่อเอาเขากลับมาอยู่ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่เคยเกิดขึ้น มันก็เป็นมาแล้วแบบนั้น” ถึงแม้นิทรรศการชุดนี้จะเริ่มจากเรื่องส่วนตัวมาก ๆ แต่เราก็คิด และหฤษฎ์ก็คงจะเห็นด้วยเช่นเดียวกัน ว่าคนอื่น ๆ อีกมากก็อาจจะมีประสบการณ์ส่วนตัวในแบบเดียวกับเรื่องส่วนตัวของเขาเหมือนกัน

“แล้วผมก็คิดว่าหน้าที่ผมจบตรงนั้น คนดูเขาก็มีความคิดของเขากับการมองเด็กคนนั้นหรือมองผม ในบ้านที่แตกต่างกันออกไป มันเป็นเหมือนคำสัญญากับผมในวัย 18 ปีว่า เมื่อโตขึ้นเราจะพูดถึงเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง แล้วมันจะเป็นงานที่ทำให้เด็ก วัยรุ่น หลายคน ไม่ต้องเผชิญประสบการณ์แบบที่ผมเคยเจอ
“อย่างภาพผีเสื้อมันก็มาเองโดยไม่ได้วางแผนหรือสเก็ตช์ล่วงหน้า แต่มันมาหลังจากทำศิลปะบำบัดและทำงานกับแกลเลอรีกับเพื่อนร่วมงานที่ทำให้เราไว้ใจได้ ภาพผีเสื้อมันเกิดขึ้นหลังจากผมนัดคุยกับคนในทีม ผมบอกเขาไปตามตรงว่ามันก็ยังมีส่วนหนึ่งในตัวผมที่ติดอยู่ในอดีตอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นไรไหม รู้สึกว่าไม่ซื่อสัตย์กับคนดูหรือกับอะไรก็ตาม แต่พอพูดออกไปก็มาคิดได้ว่า เออ ก็ไม่เห็นผิดเลยนี่ (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นก็ฝันว่ามันมีผีเสื้อที่ลำตัวเป็นกระดาษ มันไปกินอะไรบางอย่างบนเตียง แล้วมันสวยมากเลย ก็เลยอยากพับผีเสื้อ

“ตอนแรกจะพับผีเสื้อเป็นแบบญี่ปุ่น แต่ผมชอบตัดของ แล้วมันรู้สึกว่า สะใจดีกว่า จริง ๆ สิ่งที่ผมตัดเยอะ ๆ ก็คือข้อความจากคนอื่นที่ผมรู้สึกอึดอัดกับมัน แต่ว่าผมไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ตัวเองไปได้ คือกระบวนการตัดตั้งแต่แรกมันเริ่มมันเริ่มต้นจากความแบบโกรธมาก ๆ ก็มีความรุนแรงอยู่ แต่ตัดอยู่ประมาณสี่วันเต็ม ๆ แล้ววันท้าย ๆ ถึงมีความรู้สึกสงบอะไรบางอย่าง นึกออกว่าเราไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองโกรธเลยด้วยซ้ำกับเรื่องนี้ รู้สึกแปลก มันเหมือนเวลาที่เราโกรธแต่มีอีกร่างหนึ่งของเราคอยบอกว่าความโกรธของมึงมันไม่ดีนะ แต่นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าความโกรธและความเสียใจของกูมันชอบธรรม กูสามารถทำสิ่งนี้ได้ การร้องไห้ของกูมันชอบธรรมมาก ๆ แล้วหลังจากนั้นถึงจะสงบ แล้วก็เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วอารมณ์แง่ลบก็สำคัญ”

“งานผีเสื้อเป็นงานที่สำคัญสำหรับผม เพราะนอกจากการตัดกระดาษ ก็จะมีการวาดรูปผีเสื้อลงไปในกระดาษ มันเหมือนเป็นการแปลงสิ่งหนึ่งให้กลายเป็นสิ่งหนึ่ง แล้วผมก็เอามาจัดวางบนเตียงที่ก็เซ็ตขึ้นมาใหม่

“ผมถ่ายผีเสื้อเป็นแสง แล้วสุดท้ายมันคือการพิมพ์ภาพลงบนกระจกเงา ส่วนตัวของผีเสื้อเลยถูกเว้นว่างเอาไว้ แล้วเมื่อโดนแสงก็จะสะท้อนรูปผีเสื้อไปบนพื้นที่ในนิทรรศการ มันมีการเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนชีววิทยาของมัน เปลี่ยนกายภาพของมัน ให้กลายเป็นสิ่งอื่น เหมือนกับอดีตที่มันเลวร้ายสำหรับเรา ก็อาจจะอยู่ในสภาวะการกลายไปเป็นอย่างอื่นได้เหมือนกัน เหมือนภาชนะที่ห่อหุ้มมัน หรือมุมมองของเราต่อตัวเองมันก็เปลี่ยนได้”

“ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม มันมีจุดเชื่อมหลาย ๆ อย่างกันอยู่ จะเป็นความสัมพันธ์แบบหญิง-ชาย ชาย-ชาย หญิง-หญิง หรือความสัมพันธ์รูปแบบคนในครอบครัวเอง มันก็มีความตึงเครียดอยู่ในตัว แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีการต่อรองบางอย่างด้วย งานนี้มันเลยอาจจะสะท้อนไปได้ไกลกว่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน”

ผีเสื้อตัวเล็ก ๆ มากมายของเขา เกิดจากภาพส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความทรงจำมาปะทะกันมากมาย แต่เมื่อมันเริ่มขยับปีกไปแล้ว เราก็หวังเช่นกันว่ามันจะส่งต่อพลังงานดี ๆ ไปให้ทุกคนได้ ไม่ว่าเราจะมีภาพส่วนตัวแบบไหนมาก็ตาม