‘ชา-ชณิฌา บุญภาณุวิจิตร’ กับการค้นพบวิธีเยียวยาใจจากการพูดคุยกับตัวเอง

Post on 2 September 2025

ถ้าอยากหาหนังสืออ่านสักเล่ม เราคงเลือกมันจากหน้าปกหรือคำโปรยด้านหลัง ถ้าเป็นคอหนังก็คงอ่านรีวิวจากเพจดังไม่ก็เปิดดูเทรลเลอร์โฉบ ๆ ก่อนตัดสินใจ แต่ถ้าอยากรู้จักตัวตนของใครสักคนล่ะ คิดว่าจะต้องเริ่มที่ตรงไหน… สำหรับเราคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้พูดคุยและนั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ

บ่ายวันพุธท่ามกลางความวุ่นวายบนถนนสุขุมวิทที่หยุดนิ่งยาวนานเกินสิบห้านาที รถที่ติดค่อย ๆ คลายตัวจนพาเรามาถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ ที่นี่คือสถานที่ที่เราจะได้เปิดบทสนทนากับใครคนนึง คนที่เชื่อว่า หลาย ๆ คนคงคุ้นหน้าและได้ยินเสียงของเธอมาแล้ว เพราะเธอเคยทั้งจับไมค์เป็นนักร้อง รับบทนำในซีรีส์ เป็นดีเจในคลื่นวิทยุ และมีประสบการณ์เบื้องหน้ามามากมาย

เธอคนนั้นก็คือ ‘ชา-ชณิฌา บุญภาณุวิจิตร’ ผู้นิยามตัวเองว่าเป็นมัลติโปรดักชันนิสต์ ที่ตอนนี้กำลังอินกับการอ่านหนังสือปรัชญา ติดบ้านเพราะต้องเลี้ยงแมว เคยป่วยจนคิดว่า ตัวเองมีเนื้องอก และคุยกับตัวเองเยอะจนอยู่ระหว่างเส้นบาง ๆ ของความบ้ากับการบรรลุ (เราไม่ได้กล่าว ชากล่าว)

และนี่คือเหตุผลที่ GROUNDCONTROL อยากพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของ ชา-ชณิฌา บุญภาณุวิจิตรเวอร์ชันอัปเดตล่าสุด ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิต วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหาจนได้มาซึ่งคำตอบในการเยียวยาตัวเอง รวมไปถึงการเลือกใช้กลิ่นหอมมาช่วยเยียวยาใจ จนหลอมรวมเป็นเธอไว้ในบทความนี้ที่เดียว

นางสาว (ชณิฌา) จับฉ่าย

ก่อนที่ชาจะนิยามว่าตัวเองทำอาชีพอะไรและเป็นอะไรในวันนี้ เธอเคยรับบทตั้งแต่ตัวประกอบ นักแสดงนำ ไปจนถึงผู้กำกับในกองถ่าย ผ่านการจับไมค์คัฟเวอร์เพลงจนกลายเป็นที่รู้จัก มีโอกาสได้จัดรายการวิทยุ ทำพอดแคสต์ เขียนหนังสือ ถ่ายแบบ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ จนค้นพบว่า ตัวเองจับฉ่ายเกินกว่าจะนิยามอาชีพหลักที่ทำอยู่ให้คนอื่นเข้าใจได้

“เมื่อก่อนชาเคยวุ่นวายอยู่กับการหาคํานิยามให้ตัวเอง เพราะเรารู้ว่า เราค่อนข้างจับฉ่าย ซึ่งตอนนี้ถ้าให้เรียกรวม ๆ ชาจะเรียกว่า ตัวเองเป็นมัลติโปรดักชันนิสต์ คือเป็นคนที่ผลิตงานได้หลายรูปแบบ โดยเน้นความสร้างสรรค์ ทำได้ตั้งแต่การคิด ผลิต วางแผน และจบชิ้นงาน ซึ่งหลัง ๆ มานี้ชาเลยชอบทำงานคนเดียว เพราะมันควบจบเองได้เลย ฉะนั้นงานที่ทำมันเลยจะเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนแขนงไปเรื่อย ๆ แต่ว่ามีแนวความคิดบางอย่างที่มันจะออกมาเป็นตัวตนของเราค่ะ”

มรสุมชีวิต ความเจ็บป่วย วันที่หมากลับดาว และการค้นพบตัวเอง

“ช่วงโควิดต้องหยุดทุกอย่าง ออกกองไม่ได้ มันเป็นช่วงที่เป๋ไปพักใหญ่ แล้วชาก็มาจับทางอินฟลูเอนเซอร์ มันเป็นยุคที่คนตั้งกล้องเต้นคัฟเวอร์ ถ่ายตอนทำอาหาร คือเราก็ลองทำนะ แต่ไม่ใช่แนว มันไม่ใช่ตัวเราเลย แล้วช่วงนั้น มันไม่ใช่ช่วงที่จะดึงคนมาช่วยงานได้ พอต้องถ่ายงาน มันเลยต้องถ่ายคนเดียว แล้วก็มาคิดว่า ทำเองแล้วมันเวิร์กมาก แล้วที่นี้เรามีกล้องวงจรปิดที่ติดที่บ้าน ก็เอาคลิปภาพเบื้องหลังการทำงานของเรามาลงในโซเชียลปรากฎว่าคนชอบ เราก็เลยเริ่มเห็นคุณค่าของตัวเองในข้อนั้น จากที่ถ่ายตัวเองก็เริ่มถ่ายผลิตภัณฑ์ รับเป็นงานโฆษณาเล็ก ๆ คนเดียวไปเรื่อย ๆ”

“และถ้าถามว่า พอออกมาทำอะไรด้วยตัวเองมันสนุกไหม ตอบได้เลยว่าสนุก แต่ก็รู้สึกว่า มันเหนื่อยมากเหมือนกัน การรับงานก็ต้องจำกัด เพราะเราทำทุกอย่างคนเดียว เสื้อผ้าหน้าผม คุยกับลูกค้า จนพบว่า ตัวเองรับงานมาหนักเกินจนกลายเป็นออฟฟิศซินโดรม ปวดคอ บ่า ไหล่ ประจวบกับช่วงนั้นแพลนไปเที่ยวอินเดีย พอไปเจออินเดีย ทั้งเสียงแตรรถ สภาพอากาศ มันทริกเกอร์ทุกด้านเลย แล้วมันกลายเป็นประสบการณ์ที่แย่มาก ซึ่งจริง ๆ อินเดียเป็นประเทศที่เราชอบนะ”

ชาค่อย ๆ ไล่เรียงเหตุการณ์และเล่าให้เราฟังด้วยความรู้สึกที่เหมือนพาเราย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นได้อย่างชัดเจน อารมณ์ทั้งรักทั้งเกลียดมันคงเป็นจะประมาณนี้ ที่ที่ชอบมาก ๆ แต่กลับไม่รู้สึกดีเหมือนเมื่อก่อน นั่นคงเป็นเพราะอาการป่วยจากการทำงานหนักหน่วงมาตลอดปี ต้องกลับมาเจอกับอาการกินข้าวไม่ได้ บ้านหมุน พร้อมจะอาเจียนตลอดเวลา จนคิดว่า ตัวเองอาจจะมีเนื้องอก! เธอถึงขั้นไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบความผิดปกติที่จะเสี่ยงเป็นเนื้องอกแบบที่เธอกังวล จนสุดท้ายได้ค้นพบว่า ความเครียดจากการทำงานและการใช้ชีวิตส่งผลต่อร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ความเครียดส่งผลกับร่างกายก่อน แล้วร่างกายก็ย้อนเอาทุกอย่างมา จนเราเรียนรู้ว่า เมื่อไหร่ที่เครียด ชาจะต้องยืดเหยียดร่างกาย ออกกำลังกาย แล้วก็หันมาเมนเทนตัวเองมากขึ้นจากประสบการณ์ครั้งนี้”

ประจวบกับช่วงนั้นไดโน่ น้องหมาตาแป๋วที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่น้องยังเล็ก ๆ ได้เดินทางกลับดาวหมา ซึ่งสำหรับชา หมาเป็นเหมือนที่พึ่งทางใจให้กับเธอ สอนให้เธอรู้จักคำว่า ‘บ้าน’ ที่เป็นมากกว่าแค่สถานที่ แต่ยังเป็นบ้านของหัวใจจริง ๆ การที่น้องกลับดาวไป มันเหมือนทำให้เธอเสียศูนย์ หมดแรงในการใช้ชีวิต แต่ขณะเดียวกันเหตุการณ์นี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนให้เธอเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง และใช้ชีวิตต่อไปได้ด้วยการรักตัวเอง โดยมีไดโน่เป็นเหมือนพลังในการใช้ชีวิตต่อด้วย

แต่นอกจากโดโน่น้องหมาที่รักแล้ว สัตว์เลี้ยงที่ชาดูแลอยู่ตอนนี้ยังมี พี่โยคี แมวหน้านิ่งสีเทาที่ไม่เคยกลัวคน, คุณคำนับ กระรอกน้อยอินโทรเวิร์ต และเหล่าแมวจรทั้ง 9 ตัว ที่ชาทำห้องให้อยู่ ดูแลเรื่องอาหารการกิน รวมไปถึงเรื่องรับผิดชอบเรื่องค่ารักษา และหาบ้านให้น้อง ๆ แบบจริงจังจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเธอมองว่า การได้เลี้ยงและช่วยเหลือแมวก็เหมือนเป็นการฝึกให้เธอเรียนรู้และรู้จักอารมณ์ตัวเองมากขึ้นด้วย

“ช่วงนั้นมันเกิดอารมณ์ภายในเยอะมาก กลับมาเข้าใจว่า ตัวเองเป็นคนขี้โมโห เวลามีสถานการณ์อะไรเข้ามาแล้วเราควบคุมไม่ได้ เราไม่ชอบตัวเองในเวอร์ชันนั้นมาก ก็คิดว่าต้องฝึก แล้วจะฝึกยังไงล่ะ ก็ต้องเอาปัญหาเข้ามาสิ ปัญหาไหนที่เรารับได้จริง ๆ ก็มีประโยชน์นี่นา ซึ่งเรามองว่า เราแปลกมาก ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงเอามันออกไปแล้ว แต่เรารู้โดยธรรมชาติเลยว่าปัญหาจะตกตะกอนมาในร่างใหม่ แล้วก็คุยกับมัน อยู่กับมัน ฝึกตัวเองให้หยุดคิด หยุดเศร้า ช่วงที่หมาตาย หาบ้านให้แมวเลยเป็นพาร์ทของการเรียนรู้อารมณ์ภายใน”

การตกตะกอน และพลังพิเศษของคนสมาธิสั้น

นอกจากนิสัยขี้สงสารและรักสัตว์ของชา เธอบอกว่าตัวเองเป็นคนสมาธิสั้นที่ชอบหาทำอะไรไปเรื่อย “สมมติว่า ช่วงนี้เรารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง นอนไม่หลับ ผอมแห้ง สิ่งที่คิดคือจะเอาความไม่มั่นใจพวกนี้ออกจากหัวได้ยังไง ก็เลยตัดสินใจเอาตัวเองไปถ่ายพอร์เทรต แล้วก็ดูสภาพตัวเองเลย พอเห็นออกมาเป็นรูปภาพจับต้องได้ หัวมันจะหยุดคิด นี่คือวิธีการควบคุมสมาธิสั้นของชา คุมความกังวลของตัวเอง”

ชาเล่าว่า พลังเหนือมนุษย์ของคนสมาธิสั้นพาตัวเธอให้ได้ทำอะไรเยอะมาก ๆ ที่สำคัญเซนส์ของคนสมาธิสั้นแบบเธอจะรับรสชาติ รับกลิ่น และเป็นคนที่ละเอียดมากกว่าคนอื่น “การเป็นคนสมาธิสั้นมันทำให้เราได้เปิดเซนส์ ชาอินกับการฟังเพลง กินอาหาร การดมกลิ่น ซึ่งกลิ่นเป็นเรื่องนึงที่ชาให้ความสำคัญมาก เพราะเราคิดว่า เราทำงานกับระบบความคิดมาด้วยมันเลยพาเราไปไกล”

ชาขยายความเรื่องเซนส์ให้เราฟังต่อว่า เธอเป็นคนที่ละเอียดกับการให้ความสำคัญกับกลิ่น เพราะเธอเป็นไมเกรน ทุกกลิ่นในบ้านเลยต้องพิถีพิถันในการเสือกสรรมาก เธอเลยต้องหาไปเรื่อย ๆ ว่า ตัวเองเหมาะกับกลิ่นไหน ทั้งน้ำหอมที่ตัวเองใช้ รวมถึงกลิ่นหอมที่ใช้ภายในบ้าน ซึ่งกลิ่นหอมใหม่ล่าสุดของ PAÑPURI ในคอลเลกชัน Burnout Antidotes Wellness Fragrance Series ได้แก่ THE FIRST ที่โดดเด่นในการช่วยเพิ่มความสงบจากกลิ่น Olibanum ที่ผสมเข้ากับกลิ่นธูปหอม, KINDRED กลิ่นหอมแบบ Floral จากกลีบดอกกุหลาบ และ INTENTION กลิ่นหอมนุ่มลึกที่ช่วยสร้างความสมดุลและมั่นคงจาก Sandalwood ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการช่วยผ่อนคลายและเยียวยาความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตของเธอ

“อย่างกลิ่น KINDRED จากคอลเลกชัน Burnout Antidotes Wellness Fragrance Series ของ PAÑPURI อันนี้รอด เพราะชาชอบอะไรที่มันเบา ยิ่งเบามันยิ่งน่าค้นหา ด้วยความที่กลิ่นกุหลาบมันไม่เลี่ยน เติมได้เรื่อย ๆ มันเหมือนช่วยเพิ่มช่องว่างให้จินตนาการเราไปได้ต่อ ชาว่า กลิ่นนี้มันเวิร์กกับระบบความคิดเราที่เป็นคนแบบนี้เลย ดมแล้วเรารู้สึกว่ามันทำให้เรานึกถึงที่ที่โปร่ง กว้าง มันพาเราไปได้ถึงขนาดนั้นจริง ๆ”

“ส่วนตัว INTENTION ตอนแรกที่ได้กลิ่นคือชอบเลย มันเป็นคาแรกเตอร์ที่ชอบตอนดม จะออกไม้ ๆ หน่อย แต่ว่าพอลองทา ชารู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้พาเราจินตนาการไปต่อเท่าตัวคุณกุหลาบ KINDRED ตัวนี้เขาพาเราไปต่อได้ไกลเลย”

จากการพูดคุยกับชาในช่วงสุดท้ายของวันนี้ ทำให้เราได้เข้าใจว่า สภาพจิตใจและร่างกายมันแทบจะไม่ได้แยกออกจากกันเลย เพราะหากร่างกายเราเหนื่อยสิ่งที่อยู่ภายในของเราก็แย่ ขณะเดียวกันความเครียดที่เกิดขึ้นภายในใจก็อาจส่งผลออกมาทางร่างกายได้เช่นกัน ที่สำคัญคือเราต้องคอยแวะสำรวจสภาพจิตใจ ทำความเข้าใจ และหาวิธีผ่อนคลายให้กับตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งกลิ่นหอมของ PAÑPURI น่าเข้ามาช่วยตอบโจทย์ความผ่อนคลายและคลายความเหนื่อยล้าในโลกปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ดื่มด่ำกับการเปิดตัวครั้งแรกในการทำน้ำหอม Wellness Fragrance รวมไปถึงการดูแลจิตใจอย่างลึกซึ้งด้วยกลิ่นหอมใหม่จากปัญญ์ปุริ ทั้งสามกลิ่นในคอลเลกชัน Burnout Antidotes Wellness Fragrance Series ได้ที่ปัญญ์ปุริทุกสาขา หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, Twitter, Instagram, Weibo ในชื่อ @panpuriofficial และ Line @PANPURI