Eduardo “Teddy” Williams โลกไม่ได้ต่าง–ห่างกันขนาดนั้น สำหรับนักทำหนังข้ามพรมแดน

Post on 22 September 2025

แค่ในหนังยาวสองเรื่อง เราก็ได้เดินทางไปไกลถึงอาร์เจนตินา โมซัมบิก ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา เปรู และไต้หวัน ผ่านสายตาของเอดูอาร์โด “เท็ดดี้” วิลเลียมส์ (Eduardo “Teddy” Williams) ผู้กำกับเจ้าของรางวัล Golden Leopard – Filmmakers of the Present จากเทศกาลภาพยนตร์โลการ์โน ปี 2016

“ก่อนมาทำหนัง ผมจินตนาการกว่าประเทศอย่างเซียร์ราลีโอนหรือเวียดนามจะต้องเป็นอีกโลก แปลกแตกต่างสุด ๆ ไปเลย แต่พอไปที่นั่น ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับพื้นที่ และไม่รู้สึกว่าที่ต่าง ๆ แปลกประหลาดจากกันขนาดนั้น พอได้ไปเจอได้พูดคุย ผมก็พบว่าหลายอย่างเราคล้ายกันมาก คุณก็รู้… คนหนุ่มสาวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะชอบทำอะไรเหมือน ๆ กัน”

ในเดือนกันยายนนี้ เท็ดดี้เดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย โดยบางกอก คุนส์ฮาเลอได้จัดฉายภาพยนตร์ El auge del humano (The Human Surge) ทั้งภาคแรกและภาคสาม รวมถึงผลงานหนังสั้นของเขา ที่ล้วนเต็มไปด้วย “การเดินทาง” ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางทางกายภาพ เหมือนการออกไปสู่สถานที่ใหม่ ๆ การเดินทางทางความคิด หรือแม้แต่การเดินทางผ่านภาษาของภาพยนตร์ เรามักเห็นภาพวัยรุ่นที่กำลังเดินไปยังที่ใดที่หนึ่ง (ซึ่งกินเวลาไม่น้อย) ได้ยินบทสนทนาที่ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องชัดเจน และเห็นพวกเขาจ้องมองแสงจากหน้าจอคอมหรือมือถือ ซึ่งเป็นประสบการณ์ร่วมของคนรุ่นนี้ ที่ดูราวกับพาเราก้าวข้ามพรมแดนประเทศไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย

“การมองว่าประเทศอื่นแตกต่างจากเรามากเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แน่นอนว่ามันมีความแตกต่างอยู่ แต่พอได้ไปถึงและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริง ๆ ผมกลับเจอสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย จนทำให้รู้ว่า บางทีเราควรตระหนักด้วยว่าประเทศต่าง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงโลกในจินตนาการที่ถูกวางภาพไว้เท่านั้น

“อินเทอร์เน็ตช่วยให้เราเชื่อมต่อกับผู้คนที่อยู่ไกลได้ก็จริง แต่การใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไปก็เป็นปัญหาเหมือนกัน บางครั้งแม้ผมจะออกไปข้างนอก แต่ก็ยังคิดในแบบเดียวกับเวลานั่งอยู่หน้าคอม วิธีการคุยกันในแชทออนไลน์ ยังเผลอกลายมาเป็นวิธีที่เราพูดกับคนจริง ๆ ด้วย
“แม้คุณจะใจลอยหรือคิดเรื่องอื่นขณะดูคนเดินอยู่ในหนัง แต่จริง ๆ แล้วคุณยังคง ‘คิดภายในหนัง’ อยู่ คุณอยู่กับเสียง กับจังหวะ แม้ไม่ได้ตั้งใจดูอย่างจดจ่อ คุณอาจย้อนคิดถึงสิ่งที่พวกเขาพูดไปก่อนหน้านี้ ภายในบริบทและจังหวะของหนัง และบางทีคุณก็อาจกลับมาอยู่กับช่วงเวลาของการเดินนั้นอีกครั้ง”

“บรรยากาศรอบตัวมีความสำคัญจริง ๆ และมันเปลี่ยนไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเรา สิ่งเหล่านี้เราอาจไม่ได้สังเกตอย่างตั้งใจตอนดูหนัง แต่ก็ยังส่งผลต่อเรา เช่น จังหวะที่เปลี่ยนไปในแต่ละพื้นที่ หรือเสียงระหว่างการเดิน แม้คุณจะไม่ทันสังเกต แต่สิ่งเหล่านี้ก็สามารถกระทบต่อวิธีคิดของคุณได้”

“ผมสนใจที่จะถ่ายทอดให้เห็นว่าผู้คนกำลังพูด แต่สิ่งที่พวกเขาพูดอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด บทสนทนาของพวกเขามักสับสนและไม่ได้เล่าเรื่องชัดเจนเหมือนการอธิบายเหตุการณ์ ผมชอบแสดงให้เห็นว่านี่คือเสียงพูดคุยของเรา แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของเสียงที่ใหญ่กว่า เหมือนกับที่เราเห็นผู้คนอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น”

ในการสนทนากับ GROUNDCONTROL เท็ดดี้เล่าถึงวิธีจัดวางภาษาพูดในภาพยนตร์ของเขา เหตุผลที่เขาเลือก (หรือไม่เลือก) ศึกษาพื้นที่และวัฒนธรรมก่อนเริ่มทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นสากลและไม่สากลของแต่ละพื้นที่บนโลก แรงกดดัน จังหวะ และการไล่ระดับในงานของเขา ตลอดจนกระบวนการคิดขณะทำหนัง และความสำคัญของการเดินในภาพยนตร์

GROUNDCONTROL: “เท็ดดี้ มีเรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจผม ระหว่างที่ผมอ่านบทสัมภาษณ์เก่าของคุณ คือคุณมักตั้งคำถามกับภาษาหรือคำพูด ว่าบางทีมันอาจสื่อสารได้ไม่ดีเท่าภาษาภาพ… แล้วที่เรามานั่งคุยกันแบบนี้ คุณจะยังตอบคำถามผมไหม?”

Teddy: “ไม่ ๆ (หัวเราะ) ไม่ต้องห่วงครับ ผมพูด…พูดเยอะด้วย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันน่าสนใจหรือเปล่า ตอนเริ่มต้นนี่มันยากมาก ๆ ผมประหม่าสุด ๆ แค่จะพูดชื่อตัวเองใส่ไมโครโฟนเวลา Q&A ยังแทบไม่กล้าเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดด้วยซ้ำว่า ถ้าการเป็นคนทำหนังมันต้องพูดเยอะขนาดนี้ ผมคงไม่ทำดีกว่า (หัวเราะ) แต่ผมชอบพูดให้คนที่สนใจงานของผมฟังนะ”

GROUNDCONTROL: “ในหนังของคุณมีบทสนทนาเยอะมาก แต่ก็เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ท่ามกลางองค์ประกอบทางภาพ เสียง และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย องค์ประกอบเหล่านี้ทำงานสัมพันธ์กันอย่างไรในหนังของคุณ?”

Teddy: “ใช่ครับ ผมคิดอย่างนั้นจริง ๆ กับภาษาพูด ผมเริ่มทำหนังเพราะอยากสื่อสารผ่านภาพและเสียงเป็นหลัก ไม่ใช่คำพูด แม้จะมีคนคุยกันเยอะในหนัง แต่มันอยู่ที่ ‘วิธี’ ที่พวกเขาพูด สิ่งที่พวกเขาพูด และวิธีที่หนังแสดงมันออกมามากกว่า

“ผมสนใจที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนกำลังพูด แต่สิ่งที่พวกเขาพูดอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด บทสนทนาของพวกเขามักสับสนตลอดเวลา และไม่ได้ทำหน้าที่เล่าเรื่องเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“โดยปกติแล้ว ระดับเสียงพูดของคนใกล้เคียงกับเสียงรอบตัว ผมชอบแสดงให้เห็นว่านี่คือเสียงของเรา แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของเสียงที่ใหญ่กว่า เหมือนกับที่เราเห็นผู้คนอยู่ในสภาพแวดล้อม
“เราส่งเสียงออกไปได้ แต่เสียงของเราก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น”

GROUNDCONTROL: “สำหรับคนทำหนังที่ทำงานกับหลายท้องถิ่นและหลายวัฒนธรรม คุณคงได้เห็นและได้ยินสิ่งต่าง ๆ มามากมาย คุณใช้ประสาทสัมผัสของตัวเองอย่างไรเวลาไปยังสถานที่ใหม่ ๆ และสิ่งที่คุณมักสังเกตเห็นคืออะไรบ้าง?”

Teddy: “ส่วนใหญ่ผมมักเดินทางไปยังที่ที่ไม่คุ้นเคย บางครั้งผมรู้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานที่หรือผู้คนที่ผมจะไปเจอ แต่หลังจากนั้นผมเปิดกว้างมาก ผมไม่ค่อยค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานที่ล่วงหน้า เพราะอยากค้นพบและเรียนรู้จากการอยู่ที่นั่นจริง ๆ กับผู้คนที่เจอ และสิ่งที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกับผม มากกว่าการไปพร้อมกับความคิดหรืออคติที่มีอยู่แล้ว

“เวลาที่ ‘คิด’ ถึงหนัง ผมมักนั่งอยู่กับคอมหรือเดินเล่น อยู่ในโลกเสมือนหรืออยู่ในหัวมากกว่า แต่พอถึงเวลาที่ ‘ทำ’ หนัง มันกลายเป็นเรื่องทางกายภาพมาก ๆ มันเกี่ยวข้องกับผู้คนที่ผมเจอ หลายครั้งก็เจอโดยการเดินไปเรื่อย ๆ แบบสุ่ม ผมเลยชอบปฏิสัมพันธ์แบบนี้มาก

“ผมอยากเดินทางไปทุกที่ แล้วทำความเข้าใจว่าประเทศนั้นเป็นอย่างไร หรือควรเป็นอย่างไร ถึงแม้ผมจะพอมีความคิดเกี่ยวกับสถานที่เหล่านั้น แต่ผมพยายามเปิดกว้างที่สุด สิ่งนี้ช่วยให้ผมสำรวจความคิดของตัวเอง เมื่อไปถึงแล้วและคุยกับผู้คน บางครั้งความคิดเก่าที่เคยชอบก็ไม่สามารถใช้ได้หรือไม่น่าสนใจอีกต่อไป และสิ่งใหม่ ๆ ก็เข้ามาแทน

“ผมชอบการผสมผสานแบบนี้มาก สิ่งที่ผมทำโดยปกติคือเดินไปเรื่อย ๆ แบบสุ่ม แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

GROUNDCONTROL: “แสงจากหน้าจอและการออกไปเดินข้างนอกมักถูกมองว่าเป็นคู่ตรงข้ามในหนังของคุณ คุณมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร?”

Teddy: “แน่นอนครับ แต่ละคนก็มีวิธีจัดการเรื่องเหล่านี้แตกต่างกันไป สำหรับผมมันคืออย่างละครึ่ง บางครั้งมันก็ส่งเสริมกันและกัน อินเทอร์เน็ตมีประโยชน์มากในการเชื่อมต่อกับผู้คนที่อยู่ไกล แต่การใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไปก็เป็นปัญหาเหมือนกัน

“บางครั้งแม้ผมจะออกไปนอกบ้าน วิธีคิดแบบที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็ยังอยู่ วิธีการคุยกันในแชทออนไลน์ก็เผลอกลายมาเป็นวิธีที่เราพูดกับคนจริง ๆ ด้วย และบางครั้งสิ่งนี้ก็ส่งผลต่อเวลาที่ผมเขียนบทหนังเหมือนกัน”

GROUNDCONTROL: “ดูเหมือนว่าการทำหนังของคุณในแง่หนึ่งก็เป็นวิธีการเชื่อมต่อกับผู้คนด้วยใช่ไหม?”

Teddy: “ในทางหนึ่ง ใช่ครับ อย่างที่ผมบอก ตอนเริ่มทำหนัง ผมเชื่อมต่อกับผู้คนที่ไม่ได้อยู่ใกล้ตัวผ่านอินเทอร์เน็ต พอเริ่มทำหนัง ผมก็เดินทางออกนอกประเทศ และผมชอบมันมาก ๆ จนทำให้ผมอยากทำหนังในประเทศอื่น ๆ ด้วย
ในบางมุม มันก็เป็นความอยากรู้อยากเห็น อยากพบปะผู้คนในบริบทที่แตกต่าง ให้หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขยายออกไปเรื่อย ๆ”

GROUNDCONTROL: “ดูเหมือนว่าจากการเดินทางไปแต่ละที่ จะมีความเป็นสากลบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ปรากฏอยู่ใช่ไหม?”

Teddy: “ส่วนหนึ่งก็ใช่ครับ แต่แน่นอนว่ามีความแตกต่างด้วย ผมไม่อยากพูดว่าทุกอย่างเหมือนกันไปหมด แต่ก็มีความรู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกัน และมันช่วยให้ผมบอกเล่าความรู้สึกนี้ได้อย่างมีประโยชน์

“ก่อนมาทำหนัง ผมเคยจินตนาการว่าประเทศอย่างเซียร์ราลีโอนหรือเวียดนามคงเป็นอีกโลก แปลกและแตกต่างสุด ๆ แต่พอไปถึงจริง ๆ ผมกลับรู้สึกเชื่อมโยงกับพื้นที่ และไม่คิดว่าที่ต่าง ๆ จะประหลาดแตกต่างกันขนาดนั้น พอได้ไปเจอผู้คนและพูดคุย ผมก็พบว่าหลายอย่างคล้ายกันมาก คุณก็รู้… คนหนุ่มสาวทุกที่ก็มักจะชอบทำอะไรเหมือน ๆ กัน

“การมองว่าประเทศอื่นแตกต่างจากเรามากเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แน่นอนว่ามันมีความแตกต่างอยู่ แต่พอได้ไปถึงและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริง ๆ ผมกลับเจอสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย จนทำให้รู้ว่า บางทีเราควรตระหนักด้วยว่าประเทศต่าง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงโลกในจินตนาการที่ถูกวางภาพไว้เท่านั้น”

GROUNDCONTROL: “ในแง่หนึ่ง การทำแบบนี้ก็มีความเป็นการเมืองอยู่ในตัว แค่การนำหลายประเทศมาร้อยเรียงไว้ในหนังเรื่องเดียว ก็ดูเหมือนจะท้าทายมุมมองใหม่ ๆ ของผู้ชมแล้ว”
Teddy: “แน่นอนครับ ยิ่งกับประเทศที่ไม่ค่อยถูกเชื่อมโยงกันบ่อย ๆ อย่างอาร์เจนตินา โมซัมบิก และฟิลิปปินส์ ผมคิดว่าในหลาย ๆ ครั้ง เรามักจะมองไปยังประเทศเดิม ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือจีน รัสเซีย และมหาอำนาจอื่น ๆ

“แต่ในขณะเดียวกัน เวลาผมเดินทางไปทำงานในประเทศต่าง ๆ ผู้คนก็ไม่ได้รู้จักอาร์เจนตินามากนักเหมือนกัน นอกจากเรื่องฟุตบอล (หัวเราะ)”

“ในแง่หนึ่ง เราเลยเหมือนอยู่ในเงื่อนไขหรือสถานะเดียวกัน เวลาไปสถานที่เหล่านี้ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรนักเกี่ยวกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศของผมเหมือนกัน

“ในหนังของผม ประเทศเหล่านี้เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง เราเฝ้าตามประเทศต่าง ๆ ซึ่งดูคล้ายกันมาก และการเชื่อมโยงนี้คือส่วนสำคัญหนึ่งของมัน… การเชื่อมต่อสิ่งที่เราไม่ค่อยพบนักอย่างง่ายดาย”

GROUNDCONTROL: เกือบจะง่ายเกินไปด้วยซ้ำในความเห็นของผม

Teddy: “ตอนนี้การเดินทางเชิงกายภาพมันง่ายขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ และในมิติของอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อไปยังที่ต่าง ๆ ก็ง่ายขึ้นแล้วเช่นกัน ผมคิดว่าการเดินทางเหล่านี้สะท้อนให้เห็นโลกที่เราอาศัยอยู่ ในรูปแบบของการผสมผสานที่แตกต่างกัน ทั้งระหว่างประเทศและผู้คนแต่ละคน”

GROUNDCONTROL: และการเดินทางเหล่านั้นในหนังของคุณก็มักจะใช้เวลามากอยู่เสมอ… เคยมีคนเรียกหนังของคุณว่าหนังช้า (Slow Cinema) ด้วยใช่ไหม

Teddy: “ใช่ครับ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจังหวะแบบนี้จะถือว่าปกติหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบกันเลย ตอนแรกผมทำมันตามสัญชาตญาณ เกือบทุกอย่างในหนังของผมเริ่มต้นจากสัญชาตญาณ บางทีผมก็เคยคิดจะลองทำแบบอื่นดู แต่ที่ยังทำอยู่ก็เพราะผมชอบมัน

“ทุกวันนี้มีวิดีโออยู่รอบตัวเรามากมาย แต่ทุกอย่างมันเร็วไปหมด ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่จะได้คิดในจังหวะที่ช้า และอยู่ในจังหวะช้าแบบนั้นได้”

GROUNDCONTROL: สำหรับคุณ หนังเป็นเหมือนการสร้างความเป็นจริงรูปแบบใหม่ขึ้นมามากกว่าการเลียนแบบความเป็นจริงหรือเปล่า?

Teddy: “แน่นอนครับ มันเป็นการผสมผสานทั้งสองอย่าง ผมมักคิดเวลาจะทำหนังว่าอยากทำอะไรจริง ๆ ระหว่างการแสดงสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับโลก หรือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความจริง กับสิ่งที่ผมอยากให้เป็น ผมสามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แต่สุดท้ายผมก็ทำทั้งสองอย่างในรูปแบบที่แตกต่างกัน มีทั้งส่วนที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความจริง และส่วนอื่น ๆ ที่ห่างไกลจากนั้นโดยสิ้นเชิง”

GROUNDCONTROL: “คุณมักอธิบายหนังด้วยคำศัพท์ที่คล้ายกับนักดนตรีอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างแรงกดดัน (Tension) เรื่องจังหวะ (Rhythm) หรือการไล่ระดับ (Dynamic) แนวคิดเหล่านี้มาจากไหน และคุณใช้มันอย่างไร?”

Teddy: “ขอยกตัวอย่างเรื่องจังหวะหนังที่ช้าของเราที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ผมชอบหนังที่ให้ผมได้เดินทางเข้าไปในความคิดของตัวเองด้วย ไม่ได้พยายามดึงความสนใจของเราอยู่ตลอดเวลา — ผมเบื่อหนังแบบนั้นมาก — ผมอยากให้หนังดึงความสนใจของผมในบางช่วงเวลา ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่แตกต่างกัน แล้วปล่อยให้ผมเข้าไปในหัว เชื่อมโยงกับสิ่งอื่น ๆ แล้วค่อยกลับมาที่หนัง จากนั้นก็กลับไปที่ความคิดของผม สำหรับผม นั่นน่าสนใจกว่าการถูกบังคับให้อยู่กับหนังตลอดเวลา
“บางทีหนังมันก็สว่างขึ้น บางทีมันเร็วขึ้น หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คุณก็เริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และสนใจมันมากขึ้น แต่ผมคิดว่าผมสังเกตจังหวะเหล่านี้เวลาดูหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ผมชอบมากกว่าชีวิตจริง

“อย่างใน The Human Surge ผมมีโครงสร้าง จุดเริ่มต้น ฉากแรก ฉากสุดท้าย และฉากที่เชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ ซึ่งฉากเหล่านี้ในบริบทของหนังจะดึงความสนใจของผู้ชมให้กลับมาอยู่กับเรื่องราว

“มันเหมือนกับคุณกำลังดูผู้คน แล้วอยู่ดี ๆ ก็เข้า ๆ ออก ๆ ไปในโพรงกระต่ายเพื่อสังเกตพวกเขา ผมคิดว่านั่นทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลกใจและสนใจ ถ้าช่วงก่อนหน้านั้นคุณใจลอยไปคิดเรื่องอื่น คุณอาจได้ยินสิ่งที่น่าสนใจสำหรับตัวเอง เริ่มคิดถึงมัน และเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่ถ้าไม่สนใจ ก็แค่ปล่อยผ่านไป อาจไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ

“มันไม่ใช่การบอกธีมหนังว่า ‘โอเค หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้นะ’ และทุกคนต้องพูดถึงแต่ประเด็นนั้นตลอดเวลา มันมีความเป็นไปได้มากมายอยู่ในบทสนทนา อยู่ในสิ่งอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในหนัง”

GROUNDCONTROL: “บางทีผมก็เสียดายเหมือนกัน เวลาดูหนังของคุณ ผมกำลังคิดถึงบทสนทนาในฉากก่อนหน้า แต่ก็ต้องหันมาสนใจบรรยากาศและผู้คนในฉากต่อไป ทำให้ต้องควบคุมความคิดตัวเองอยู่ตลอด”

Teddy: “มันน่าจะขึ้นอยู่กับวิธีคิดของแต่ละคนครับ แต่ผมคิดว่า แม้คุณจะใจลอยหรือคิดเรื่องอื่นในขณะที่มีคนกำลังเดินอยู่ในหนัง คุณก็กำลัง ‘คิดภายในหนัง’ อยู่ คุณอยู่ที่นั่นกับเสียง กับจังหวะ แม้ไม่ได้ตั้งใจดูอย่างจดจ่อ คุณอาจย้อนคิดถึงบางสิ่งที่พวกเขาพูดไปก่อนหน้านี้ ภายในบริบทและจังหวะของหนัง แล้วบางครั้งคุณก็กลับมาที่ช่วงเวลาการเดินของพวกเขา

บรรยากาศรอบตัวมีความสำคัญจริง ๆ และมันเปลี่ยนไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเรา สิ่งเหล่านี้เราอาจไม่ได้สังเกตอย่างตั้งใจตอนดูหนัง แต่ก็ส่งผลต่อเราได้ เช่น จังหวะที่เปลี่ยนไปในพื้นที่ต่าง ๆ หรือเสียงระหว่างการเดิน แม้คุณจะไม่ทันสังเกต แต่มันก็ส่งผลต่อวิธีคิดของคุณได้”

GROUNDCONTROL: เราน่าจะคุยกันเรื่องหนังกันมามากพอแล้ว ผมอยากรู้เกี่ยวกับการเดินของคุณอีก พอจะบอกได้ไหมว่าคุณชอบไปเดินที่ไหนอีกบ้าง?

Teddy: “ตอบยากมากเลยครับ ผมชอบทั้งเมืองและป่า แต่ที่นึกถึงขึ้นมาก่อนคือป่าแอมะซอนในประเทศเปรู อาจเพราะมันแตกต่างจากสิ่งที่ผมคุ้นเคยที่สุด ผมมาจากเมือง สำหรับป่าแอมะซอน เสียงที่นั่นน่าทึ่งมาก ความรู้สึกถึงชีวิตที่มีอยู่รอบตัวมันบ้ามากจริง ๆ และผมก็ชอบมาก
ผมค้นพบว่าการเดินสำคัญต่อการคิดของผมมาก เวลาคิดอะไรไม่ออก การไปเดินก็ช่วยได้เยอะ แต่ผมไม่ได้เดินแค่เพื่อคิดนะ แค่เดินไปที่ไหนสักแห่งนั่นแหละ”