ศิลปินเชิงแนวความคิดวัย 61 ปีคนนี้ มองว่าตัวเอง “Performative” ตลอดเวลา
เราพบ คามิน เลิศชัยประเสริฐ ในเสื้อมูจิสีดำ หน้าแกลเลอรีภาพถ่าย (แม้ไม่ได้ถือมัทฉะติดมือมา) แต่ “การแสดง” ในความหมายของเขา อาจต่างไปจากที่หลายคนกำลังพูดถึงในกระแสปัจจุบัน
“สมัยก่อนผมคิดว่าศิลปะกับชีวิตแยกขาดจากกัน เลยพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตลงในงาน แต่ภายหลังผมเริ่มเข้าใจว่า ทุกขณะในชีวิตก็คือการแสดง เราแสดงภายใต้กฎหมาย ภายใต้ศีลธรรม ทำให้เราต้องมีสติ... การเป็นมนุษย์ก็คือการแสดง”
คามินเป็นที่รู้จักจากผลงานที่สะท้อนทั้งคุณค่าของงานฝีมือและวิถีปฏิบัติทางพุทธอย่าง “นั่ง(เงิน)” ประติมากรรมรูปคนนั่ง(สมาธิ) ที่สร้างจากเงิน จำนวน 366 ชิ้น ทำใน 366 วัน ซึ่งถูกเก็บสะสมใน Guggenheim นิวยอร์ก หรืองานศิลปะอย่าง “เวลาและประสบการณ์” ของเขาเป็นเหมือนโครงการมากกว่าชิ้นงาน เพราะมันคือการพิมพ์รอยเท้า/ระบายสีด้วยมือ ผ่านวันแต่ละวัน จนครบ 365 วัน 365 ชิ้น เพื่อเป็นหลักฐานของการใช้ชีวิต
เขายังเป็นที่รู้จักจากการก่อตั้งมูลนิธิ The Land Foundation ร่วมกับ ฤกษ์ฤทธิ์ ติระวานิช เพื่อเปลี่ยนนาข้าวให้เป็นพื้นที่ศิลปะ อีกทั้งยังริเริ่มพิพิธภัณฑ์ The 31st Century Museum of Contemporary Spirit ที่ใช้ร่างกายและจิตใจเป็นอีกสถานที่ของศิลปะ วลี “ทุกอย่างคือศิลปะ” จึงดูจะปรากฏเด่นชัดทั้งในชีวิตและผลงานของเขา บทสนทนากับคามินเผยให้เห็นแผนที่ทางความคิดที่เชื่อมโยงศิลปะ ชีวิต สื่อ เวลา การแสดง และสังคม อย่างเป็นระบบ

“ศิลปะมีอยู่แล้วในทุกส่วนของชีวิต เพียงแต่การยอมรับหรือคุณค่า ขึ้นอยู่กับสายตาของผู้อื่น ไม่ใช่เรา”
“สมัยเรียน ภาพถ่ายยังไม่ถูกนับว่าเป็นศิลปะ เราไม่มีความรู้จะอธิบายว่าทำไม แต่วันนี้ผมพูดได้ว่ามันคือการสร้างสรรค์ มันทำให้เราคิด เป็นกระบวนการที่ช่วยคลี่คลายความทุกข์ นั่นก็คือศิลปะแบบหนึ่ง”
“ศิลปะไม่ใช่เพียงการ ‘ทำ’ แต่คือความคิด สิ่งที่ขับเคลื่อนทั้งศิลปะและชีวิตจริง ๆ คือพลังงาน ความคิด และเจตจำนงที่ดีต่อโลก ต่อมนุษย์ ต่อสังคม หรือแม้แต่ต่อตัวเอง ‘การกระทำ’ อาจเหมือนเครื่องจักร แต่ความคิดและเจตนาที่อยู่เบื้องหลังต่างหากคือสิ่งสำคัญ ว่าเราทำเพื่ออะไร”
“ความงามที่แท้คือสภาวะสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เหมือนเวลาเราเห็นพระอาทิตย์ตก หากจิตใจไม่สงบ ความงามก็แปรเป็นความเศร้าได้ สมดุลเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพียงแต่เราอาจไม่เข้าใจมัน”
“กล้องทำให้ความคิดสมบูรณ์ขึ้น ขับเคลื่อนชีวิต ให้เราสื่อสาร แก้ปัญหา หรือตอบโจทย์บางอย่างได้จริง หากขาดเครื่องมือสร้างสรรค์เช่นกล้อง ความคิดอาจไม่กลายเป็นประสบการณ์อย่างเต็มที่”
“แต่ละวัยก็มีความเข้าใจชีวิตของมันเอง เด็กก็เข้าใจแบบหนึ่ง เราก็อีกแบบ มันคือความรู้ต่อความจริงในเชิงสัมพันธ์ระหว่างเวลาและสถานที่ ความเป็นมนุษย์ในแต่ละวัยมีค่าเท่ากัน”
“เดิมทีผมพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตอยู่เสมอ แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งเข้าใจว่า การเขียน การบันทึก หรือกิจกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน ล้วนเป็นศิลปะอยู่แล้ว เป็นชั่วขณะ เป็นการแสดง”
“ชีวิตไม่ใช่เพียงการแสวงหาผลประโยชน์ทางกายภาพ แต่คือองค์รวมที่มีจิตวิญญาณและความรู้สึก เราสามารถมองทุกสิ่งให้กว้างขึ้นได้ และต่างก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ทั้งผู้ทำงานภาพ เสียง กวีนิพนธ์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ เราล้วนอยู่ร่วมกันในองค์รวมของสังคม”
“คำถามคือ แล้วเราเอง เกิดมาเพื่ออะไร มีทักษะอะไร และมีเจตนาจะทำสิ่งใด?”


GROUNDCONTROL: ศิลปะคืออะไร
คามิน: สำหรับผม ศิลปะคือเทคนิคหรือกระบวนการในการทำความเข้าใจตัวเอง สังคม และธรรมชาติ การใช้ศิลปะก็คือการใช้ชีวิต การทำงานศิลปะก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ต่างจากการเขียนไดอารีบันทึกประสบการณ์ เพียงแต่ศิลปะก้าวไปไกลกว่านั้น เพราะมันช่วยให้เราได้พัฒนาความเข้าใจต่อสัจจะหรือความจริง ผ่านสิ่งที่เรามอง วิเคราะห์ หรือนำเสนอ
คุณค่าของศิลปะสำหรับผมอยู่ตรงที่มันสามารถเยียวยาและบำบัดใจ ทำให้เราเข้าใจชีวิตลึกซึ้งขึ้น เปิดพื้นที่ให้ครุ่นคิดถึงสัจจะ ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปจนถึงประเด็นสังคมและการเมือง และที่สำคัญ มันทำให้เราได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เราเรียนรู้กับผู้อื่น
GROUNDCONTROL: ชีวิตคืออะไร
คามิน: แน่นอนว่าทุกคนย่อมให้นิยามคำว่า “ชีวิต” แตกต่างกัน สำหรับผม ชีวิตคือการดำรงอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและสังคม เราต้องเกื้อหนุน ไม่เบียดเบียนหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หากแบ่งปันได้ก็แบ่งปัน ผมพูดถึงชีวิตก็จริง แต่ศิลปะก็มีลักษณะคล้ายกัน ความงาม ความจริง ความดี ที่เรามักกล่าวถึงในศิลปะ ล้วนคือกระบวนการหรือความคิดสร้างสรรค์ในมิติต่าง ๆ เปรียบได้กับน้ำที่อาจเป็นไอ เป็นน้ำแข็ง หรือเป็นของเหลว แม้แปรสภาพหลากหลาย แต่ก็ยังเป็นสิ่งเดียวกัน ศิลปะก็คือชีวิต เพียงดำรงอยู่ในมิติที่ต่างออกไป
ศิลปะยังสะท้อนความสมดุลระหว่างภายในกับภายนอก การรับรู้ความจริง ความงาม และความดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ “ความงามที่แท้” คือสภาวะสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เหมือนเวลาเรามองพระอาทิตย์ตก หากใจไม่สงบ ความงามนั้นก็กลายเป็นความเศร้า ความสมดุลภายในกับโลกภายนอกจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญ
การทำงานศิลปะหลากหลายรูปแบบทำให้ผมค่อย ๆ เข้าใจว่า ความงามที่แท้ไม่ใช่ความสวยในเชิงรูปธรรมตามที่เราเคยเรียนรู้ตอนเด็ก ๆ มันไม่ใช่เพียงการมองเห็นสิ่งใดว่าสวยหรือไม่สวย เพราะแต่ละคนก็มีสมดุลไม่เหมือนกัน สิ่งที่ใครบางคนมองว่าสวย อาจไม่ใช่สำหรับอีกคนหนึ่ง ความงามจึงขึ้นอยู่กับความสมดุลเฉพาะตัวของแต่ละคน
GROUNDCONTROL: เมื่อไรเราถึงจะเจอสมดุล
คามิน: สมดุลเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา เพียงแต่หลายครั้งเราไม่อาจเข้าใจหรืออธิบายมันออกมาได้ มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อเราเติบโต ผ่านการทำงาน การวิเคราะห์ แยกแยะ สังเกต และเรียนรู้ เราจึงค่อย ๆ ทำความเข้าใจมันได้มากขึ้น


GROUNDCONTROL: ภาพถ่ายคืออะไร
คามิน: ตอนผมเป็นนักเรียน ภาพถ่ายยังไม่ถูกมองว่าเป็นศิลปะ โดยเฉพาะในสายตาครูอาจารย์ ผมต้องเอาภาพถ่ายไปทำเป็นภาพพิมพ์ เติมเส้น สี หรือใส่น้ำหนักเข้าไป ถึงจะได้รับการยอมรับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ผ่านเกณฑ์ องค์ความรู้ของสังคมไทยเมื่อสามสี่สิบปีก่อนยังไม่เห็นค่าภาพถ่าย เพราะมองว่ามันแค่กดชัตเตอร์ก็ได้แล้ว ไม่ได้ใช้แรงหรือฝีมือเหมือนการทำภาพพิมพ์ ผมก็ตีความเอาเองว่าเขาคงคิดแบบนั้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วงานที่ผมส่ง ถ่ายเองทั้งหมด จัดองค์ประกอบเองทุกอย่าง ก็เลยต้องต่อสู้กันพอสมควร
ศิลปะมีอยู่แล้วในทุกสิ่งของชีวิต แต่การที่มันจะได้รับการยอมรับหรือถูกให้คุณค่า ขึ้นอยู่กับผู้อื่น ไม่ใช่เรา
ครั้งหนึ่งเราอาจยังไม่เข้าใจพอที่จะอธิบายว่าทำไมภาพถ่ายจึงเป็นศิลปะ แต่วันนี้ผมมองว่ามันคือการสร้างสรรค์ มันทำให้เราคิด เกิดกระบวนการเรียนรู้ในชีวิตที่ช่วยคลายความทุกข์ และเพียงเท่านั้นก็นับว่าเป็น “ศิลปะ” รูปแบบหนึ่งแล้ว
งานชุดแรก ๆ ของผม ซึ่งจัดแสดงในนิทรรศการนี้ด้วย ก็เป็นเหมือนการปลดปล่อย ปลดปล่อยความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสียแม่ไปในอุบัติเหตุ ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่น มัวแต่ใช้ชีวิตเพลิดเพลิน ไม่ทันคิดว่าท่านจะจากไป ความรู้สึกผิดทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเกิดมาทำไม ความทุกข์คืออะไร งานจึงกลายเป็นทั้งบันทึก การเยียวยา และการเรียนรู้ในเวลาเดียวกัน
การทำงานเหล่านั้นมีกระบวนการเฉพาะของมัน เช่น ผมอยากพูดถึงความตายที่ดำรงอยู่ในร่างกายทุกขณะ ตอนแม่เสียชีวิต ขาของท่านบาดเจ็บรุนแรง และตามประเพณีไทย–จีน เราต้องทำกงเต๊ก สร้าง “ขากระดาษ” เผาไปพร้อมกันเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์ นั่นทำให้ผมเห็นความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับความตายชัดเจนขึ้น และสร้างงานขึ้นมาจากหุ่นประติมากรรมเพื่อตีความสิ่งนั้น กระบวนการทำงานเต็มไปด้วยรายละเอียด ตั้งแต่การปั้น คิด ออกแบบแสง ไปจนถึงการล้างและอัดภาพในห้องมืด ทุกขั้นตอนต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด
แต่ศิลปะไม่ใช่เพียงการ “ลงมือทำ” เท่านั้น ศิลปะคือความคิดด้วย สิ่งที่ขับเคลื่อนทั้งศิลปะและชีวิตจริง ๆ คือพลังงาน ความคิด และเจตจำนงที่ดีต่อโลก ต่อมนุษย์ ต่อสังคม หรือต่อตัวเราเอง การกระทำอาจเป็นเหมือนเครื่องจักร แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือความคิดและเจตนาที่อยู่เบื้องหลัง ว่าเราทำไปเพื่ออะไร และทำไปเพราะอะไร
GROUNDCONTROL: เครื่องมือทางศิลปะสัมพันธ์กับแนวคิดหรือเจตนาของเราอย่างไร
คามิน: ยกตัวอย่างกล้อง มันช่วยทำให้ความคิดของเราสมบูรณ์ขึ้น และยังขับเคลื่อนบางสิ่งในชีวิต ความคิดที่เคยเป็นเพียงนามธรรมก็ถูกสื่อออกมาได้จริง แก้ปัญหา หรือตอบโจทย์บางอย่างได้ หากปราศจากเครื่องมือสร้างสรรค์เช่นกล้อง ความคิดเหล่านั้นก็อาจไม่กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้เต็มที่
แต่ชีวิตเรามีประสาทสัมผัสมากมาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แต่ละคนก็ถนัดต่างกัน บางคนใช้ภาพ บางคนใช้เสียง หรือกลิ่น ไม่จำเป็นต้องวาดภาพหรือปั้นประติมากรรมเพียงอย่างเดียว การเขียนบทกวี เล่นดนตรี ปรุงอาหาร หรือแม้แต่สร้างสรรค์น้ำหอม ล้วนส่งผลต่อประสบการณ์ชีวิตทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับเจตนาที่เราทำ
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “ประสาทสัมผัสทางใจ” ในวัยนี้ ผมไม่ได้สนใจเทคนิคมากเท่าการใส่ใจในเจตนา ถ้าอธิบายตามพุทธศาสนา เจตนาคือสิ่งที่ก่อให้เกิดกรรม หากจิตไม่เป็นกุศล กรรมที่เกิดขึ้นก็ไม่ดี หลายครั้งเราอาจไม่เข้าใจมันด้วยซ้ำ แต่ก็ยังทำไปตามแรงขับของจิตไร้สำนึก

GROUNDCONTROL: พุทธศิลป์คืออะไร นิทรรศการนี้ใช่หรือเปล่า
คามิน: ต้องอธิบายก่อนว่า พุทธศาสนาพูดถึง “กฎธรรมชาติ” พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบและอธิบายกฎนั้น เราจึงเรียกว่าพุทธศาสนา แต่แท้จริงกฎธรรมชาติเหล่านี้ปรากฏอยู่ในทุกสิ่ง และสามารถถูกอธิบายในมิติอื่นได้เช่นกัน มันอาจอยู่ในฟิสิกส์ ปรัชญา หรือศาสตร์แขนงต่าง ๆ ซึ่งแม้จะไม่เรียกมันว่าพุทธศาสนา แต่เป้าหมายก็เหมือนกัน คือการอธิบายธรรมชาติในแบบของตนเอง
ดังนั้น งานเก่า ๆ ที่ถูกนำมาจัดแสดงในครั้งนี้ ผมอาจยังไม่ได้สนใจศาสนาโดยตรงขณะทำ แต่สนใจประสบการณ์แห่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งหากมองในภายหลัง ก็สามารถตีความได้ในมิติของพุทธศาสนาเช่นกัน
ผมเพิ่งมาสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจังเมื่อราว 20–30 ปีก่อน ผ่านการปฏิบัติวิปัสสนาและงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตภายใน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมสามารถย้อนวิเคราะห์และอธิบายประสบการณ์ทางศิลปะได้ชัดเจนขึ้น เหมือนกับเรื่องภาพถ่ายที่ผมเคยเล่าว่า สมัยก่อนเรายังไม่รู้พอที่จะอธิบายกับครูว่าทำไมมันจึงเป็นศิลปะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรามีเครื่องมือทางความคิดมากขึ้น ก็อธิบายมันได้
แม้ในวัยนั้นเราจะมีความรู้ทางศิลปะน้อยกว่าครู หรือยังไม่เข้าถึงประสบการณ์ทางศาสนาเท่าปัจจุบัน แต่ผมคิดว่าเราล้วนมี “ความเป็นมนุษย์” เท่ากัน เด็กก็มีความเข้าใจชีวิตในแบบของเขา เราก็มีของเรา ความรู้นั้นเป็นความจริงที่สัมพันธ์กับสถานที่และเวลา มันคือความเป็นมนุษย์ของเราในวัยนั้น ที่ “เท่ากัน” กับตัวเราในวัยนี้




GROUNDCONTROL: เวลาคืออะไร
คามิน: ช่วงหนึ่งหลังจากที่ผมกลับจากสหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1990 ผมสนใจแนวคิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์กับเวลา แต่ละคนรับรู้เวลาไม่เหมือนกัน และหากปราศจากประสบการณ์ เวลาแทบจะไม่มีอยู่ ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเจ้าหญิงนิทราที่หลับยาวเป็นปี สำหรับเธอ เวลานั้นก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย สรุปได้ว่า เรารู้จักหรือเข้าใจเวลาได้ผ่านประสบการณ์เท่านั้น
เพราะเหตุนี้ ผมจึงอยากทำงานทุกวัน เพื่อให้ชีวิตผม “มีอยู่” ทุกวัน นั่นคือที่มาของงานชุดหนึ่งในนิทรรศการ ซึ่งผมสร้างขึ้นจากการทำงานต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน
ผมอยากเข้าใจด้วยว่าชีวิตคืออะไร และอยากยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง ว่าความคิดหรือการกระทำสามารถทำให้เรามีอยู่จริงได้อย่างไร จึงเกิดเป็นงานหลายรูปแบบ ทั้งชุด “เวลาและประสบการณ์” ที่ถ่ายทอดสิ่งที่พบเห็นลงบนผืนภาพเขียน ภาพถ่ายที่บันทึกทุก 15 นาที ไปจนถึงการเดินทางที่ถอดออกมาเป็นงานชุด “นิราศไทยแลนด์”
GROUNDCONTROL: ชีวิตเปลี่ยนไปไหมเมื่อเริ่มทำงานทุกวันทุกเวลา
คามิน: มันกลายเป็นว่า จากเดิมที่ผมพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตอยู่ตลอดเวลา ผมเข้าใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่า การเขียน การบันทึก หรือกิจกรรมประจำวันที่เราทำในชีวิต ล้วนเป็นศิลปะอยู่แล้ว มันคือชั่วขณะ คือการแสดง (perform)
เราแสดงชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายและศีลธรรม ผมจะไปกอดใครหรือไปต่อยใครโดยไม่ยั้งไม่ได้ เพราะเรามีกฎเกณฑ์เหล่านั้น และทุกคนก็ต้องแสดงอยู่ใต้ข้อจำกัดแบบเดียวกัน
การแสดงชีวิตมันคล้ายความฝันมากกว่าความจริง พอตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แต่เมื่อเราเข้าใจว่ากำลังแสดงอยู่ นั่นอาจกลายเป็นความจริงอีกครั้ง เราจะรู้วิธีใช้ชีวิตที่เหลือ และเมื่อเห็นผู้อื่นทำอะไร เราก็เข้าใจเหตุผลของเขา เช่น เขาอาจโตมากับครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ จึงทำงานหนัก เขาอาจมีพ่อแม่ที่มีอำนาจ จึงแสดงก้าวร้าว หรือเขามีการศึกษาบางอย่างก็มีแนวคิดแบบนั้น พอเราเข้าใจ เราก็ไม่โกรธ เพราะคิดว่า “ถ้าโตมาแบบเขาในสภาพแบบเขา เราอาจจะเลวกว่าเขาอีก” (หัวเราะ) การเข้าใจเช่นนี้ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเก่งกว่าหรือด้อยกว่าคนอื่น แต่เห็นความสัมพันธ์ของทุกคนในสังคม ที่เราทุกคนต่างกำลังแสดงอยู่
เราจะพบความจริงอีกว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงชั่วคราว ไร้สาระ ทุกคนเล่นไปตามบท เราไม่สามารถยึดอะไรเป็นของจริงได้ สิ่งที่ทำได้คือทำให้ดีที่สุดในจุดที่เรายืน แนวคิดเหล่านี้สำหรับผมได้มาจากการนั่งวิปัสสนาและทบทวนตัวเอง
ชีวิตคนเรามิใช่เพียงผลประโยชน์ทางร่างกาย แต่เป็นองค์รวม มีจิตวิญญาณและความรู้สึก เราสามารถมองทุกสิ่งให้กว้างขึ้น และเราต้องพึ่งพากัน ทุกคน ไม่ว่าจะทำงานภาพ เสียง งานกวี คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา หรือเศรษฐศาสตร์ เราต่างอยู่ร่วมกันในองค์รวมของสังคม
คำถามคือ แล้วเราเองเกิดมาเพื่ออะไร มีทักษะอะไร และมีเจตนาอยากทำอะไร?

นิทรรศการ “KAMIN LERTCHAIPRASERT - A Retrospective through Photography”
การทบทวนผลงานภาพถ่าย ของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ
จัดแสดงตั้งแต่วันนี้ - 7 ธันวาคม 2568
ที่ ห้อง HOP PHOTO GALLERY
MMAD ชั้น 2 มันมัน ศรีนครินทร์
